แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) - ตอนที่ 77: ผลกรรมที่สมควรได้รับ
“อึ๊ก…! ดันไปปลุกยักษ์หลับให้ตื่นจนได้”
สเตฟาเนียพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืน ท่ามกลางเศษซากลังกระดาษกับแผ่นโฟมชิ้นเล็ก ๆ ที่คอยทับถมลงบนเรือนร่าง สภาพร่างกายนั้นบอบช้ำสาหัสสากรรจ์ไปด้วยบาดแผลจากการถูกฟาดฟันพร้อมโชกเลือด ในขณะที่ขาทั้งสองเริ่มแสดงอาการโงนเงนจนแทบจะค้ำยันตัวเองไม่ไหว
ต่อให้ต้องสะบักสะบอมเจียนตายสักเพียงใด แม่มดสาวนัยน์ตาสีม่วงก็ไม่อาจปลงใจยอมรับความพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้อยู่ดี หาไม่แล้วชีวิตเธออาจถึงคราวจบสิ้นด้วยน้ำมือของเพื่อนผู้ซึ่งเคยเป็นสหายร่วมรบเป็นแน่ จึงตัดสินใจเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เพื่อหยุดยั้งความบ้าคลั่ง โดยการยื่นแขนซ้ายออกไปทางด้านข้างเปล่งเสียงร่ายคาถาสั้น ๆ
“Veni ad me! (จงมาหาเรา)”
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจเดียว ไม้กวาดด้ามยาวประจำตัวซึ่งถูกวางทิ้งเอาไว้อยู่ตรงมุมห้อง ก็ได้ลอยตัวพุ่งฝ่าหมอกควันเข้ามาอยู่ในอุ้งมือของสเตฟาเนีย ไม่รอช้าเธอจึงพลันจัดแจงถืออาวุธเตรียมพร้อมรับศึกโจมตีทันที ทว่าเนื่องจากกลุ่มควันภายในห้องเก็บของนั้นคอยปกคลุมทั่วบริเวณและบดบังทัศนวิสัย แม่มดสาวเลยไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้ตามอำเภอใจ ท่ามกลางภัยอันตรายที่มองไม่เห็น
ทันใดนั้นเอง ฮิคาริในร่างของสตรีแห่งรากษสสีขาวได้พุ่งฝ่าหมอกควันเข้ามาแบบฉับพลันทั้งที่ไม่ทันจางหาย ง้างดาบคาตานะคู่ใจขึ้นเหนือศีรษะหมายจะฟาดฟันอริศัตรู สเตฟาเนียรีบสไลด์ฝีเท้าโยกตัวหลบไปทางด้านขวา ทำให้รอดพ้นจากการโจมตีชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ก็มิอาจหลีกหนีพลังแห่งคมดาบล่องหนได้โดยสวัสดิภาพ
ฉัวะฉัวะ เปรี้ยง!!
“อ๊าย!!”
สายลมมรณะเมื่อสักครู่นี้ได้กระแทกเข้ากับกำแพงห้องจนแตกระแหงกลายเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่ โดยที่ตัวศัสตราวุธหาได้สัมผัสกับสิ่งนั้นโดยตรงแต่อย่างใด ทว่ามันกลับสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง จนแม่มดสาวนักปรุงยาเองยังไม่อาจหลีกหนีพ้น อีกทั้งบาดแผลตื้น ๆ ถูกซ้ำรอยเดิมให้ลึกมากยิ่งขึ้น รสชาติความเจ็บปวดซึ่งตอกย้ำเข้ามา ส่งผลทำให้เธอแทบจะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปในบันดล
ซามูไรสาวผมยาวสลวยสีขาวโพลนซึ่งกำลังตกอยู่ภายใต้อารมณ์โทสะ เร่งตวัดปลายคมดาบเล็งไปยังคู่ต่อสู้หวังจ้วงแทงใส่เป้าหมายอย่างไม่รีรอ ขณะเดียวกันบุตรีแห่งไซตอนได้นำสองมือบางจับด้ามไม้กวาดเล่มยาวให้กระชับ ควงสะบัดหมุนวนตามเข็มนาฬิกาเพื่อปัดป้องการโจมตีให้พ้นทางพลางก้าวเท้าเบี่ยงตัวทางขวา ก่อนจะตวัดปลายอาวุธเล็งไปยังลำคออีกฝ่ายแบบช่ำชอง ทั้งที่ตัวเองกำลังบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย
ฮิคาริอาศัยความยืดหยุ่นของร่างกายเอนตัวไปทางด้านหลังเพื่อโยกหลบ ทำให้รอดพ้นจากปลายด้ามไม้กวาดอย่างหวุดหวิด อีกทั้งการเคลื่อนไหวของสเตฟาเนียทื่อลงอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมจะสู้ ยุวสตรีแห่งยักษาสีขาวจึงสบโอกาสนี้เหวี่ยงสองแขนง้างคาตานะขึ้นเหนือศีรษะ แล้วสะบัดฟาดฟันเล็งไปยังหัวไหล่อริศัตรู
โชคดีที่แม่มดสาวผมสีส้มเอี้ยวลำตัวหลบไปทางด้านซ้ายแบบฉิวเฉียด หาไม่แล้วเธออาจต้องเสียแขนข้างถนัดเป็นแน่ แต่ไม่ทันที่ตนจะหาจังหวะเพื่อโต้ตอบกลับคืน นักรบวีรสตรีผู้เลือดร้อนก็พลันยกขาขวาซัดใส่สีข้างฝั่งซ้ายแบบไม่ทันตั้งตัว ร่างของเด็กสาวนักปรุงยาจึงปลิวกระเด็นปะทะกับชั้นวางของซึ่งตั้งอยู่ริมผนังเข้าอย่างจังเสียงดังโครม
สเตฟาเนียเซถลาแทบล้มทั้งยืน พยายามพยุงร่างตนเอาไว้โดยใช้ไม้กวาดด้ามยาวคอยค้ำยันพื้นด้วยอาการทุลักทุเล ฮิคาริไม่ยอมปล่อยให้คู่ต่อสู้ได้พักหายใจแม้เพียงวินาทีเดียว เธอตั้งท่าหันศัสตราวุธชี้ไปยังเป้าหมาย ตามด้วยแผดเสียงคำรามเร่งฝีเท้าพุ่งเข้าหาหวังจะเผด็จศึกในครั้งนี้ พร้อมทะลุทะลวงทุกสรรพสิ่งที่ขวางหน้า
“ลงนรกไปซะ!”
“Confinium! (คาถาพันธนาการ) ”
บุตรีแห่งไซตอนรีบขยับแขนขวายกปลายนิ้วชี้ใส่ศัตรูสะกดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย สตรีแห่งรากษสจึงตกอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุม ทว่าเทพธิดาแห่งชัยชนะหาได้เข้าข้างสเตฟาเนียไม่ ฮิคาริได้ตั้งสมาธิเพิ่มพูนกระแสจิตให้แกร่งกล้าทำให้พื้นซึ่งเหยียบย่ำอยู่สั่นสะเทือน ค่อย ๆ แตกร้าวทรุดตัวลงไปทีละน้อย ราวกับว่ามีน้ำหนักมหาศาลคอยกดทับจนยากจะต้านทาน
“ย้ากกกกก!!”
ท้ายที่สุดซามูไรสาวได้หลุดพ้นจากการถูกจองจำ สร้างความประหลาดให้กับสเตฟาเนียเป็นอย่างมาก สำหรับเธอนั้น ฮิคาริถือเป็นนักเรียนแม่มดฝึกหัดคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่สามารถคลายอำนาจคาถาพันธนาการได้ด้วยตนเอง เพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ และอาจเป็นผู้ใช้จิตที่เก่งกาจที่สุดในหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานรองจากศาสตราจารย์ยาโรสลาฟเลยก็ว่าได้
ทว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมามัวยืนประทับใจ ในขณะที่ฮิคาริกำลังหายใจเหนื่อยหอบด้วยความเมื่อยล้า หลังจากรีดเร้นพลังจิตทั้งหมดเมื่อสักครู่พร้อมทั้งเปิดเผยช่องโหว่ สเตฟาเนียสบโอกาสนี้พุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้พลางง้างไม้กวาดแม่มดเตรียมฟาดฟันใส่ โดยร่ายเวทมนตร์ “Hastam in iustitia! (หอกแห่งการพิพากษา) ” ลงไปยังศัสตราวุธเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการโจมตีขั้นสูงสุด
——เปรี้ยง!!
แม่มดสาวนัยน์ตาสีม่วงซัดอาวุธเข้าใส่หน้าท้องของวีรสตรีจอมดาบเวท ด้วยท่าเหวี่ยงแขนจากซ้ายไปขวาสุดแรงเกิด ปรากฏลำแสงสายฟ้าสีขาวสลับเงินพลันสว่างเจิดจ้า พร้อมทั้งเสียงกัมปนาทดังสนั่นกึกก้อง พลังซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาเทียบได้กับการตกลงมาจากตึกสูงหลายร้อยชั้น หรืออาจทวีรุนแรงเพิ่มมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำไป
น่าเศร้าที่การปะทะเข้าใส่กันเมื่อสักครู่นี้หาได้สร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้แก่ฮิคาริเลยแม้เพียงแค่ปลายเล็บ ยังคงยืนหยัดต่อต้านเอาไว้ได้โดยปราศจากอาการสะทกสะท้าน มีเพียงแค่ชายเสื้อตรงบริเวณหน้าท้องเท่านั้นที่โดนกระแสไฟฟ้าเผาไหม้จนฉีกขาด เผยให้เห็นพื้นที่เปลือยเปล่าตรงส่วนดังกล่าวอย่างชัดเจน
“ล… ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย?”
ดูเหมือนว่าการโจมตีแบบทุ่มสุดกำลังของสเตฟาเนียจะเปล่าประโยชน์ไปเสียแล้ว
ฮิคาริเหลือบสายตาอันคมกริบจับจ้องมองอริศัตรูซึ่งยืนอยู่ทางเยื้องซ้าย นัยน์ตาสีแดงฉานที่กำลังเพ่งเล็งใส่นั้นทำให้บุตรีแห่งไซตอนถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัวด้วยความหวั่นสะพรึง เมื่อเห็นว่าท่าไม่ดี สเตฟาเนียจึงพลันชักสองแขนดึงไม้กวาดแม่มดออกจากร่างเป้าหมายเพื่อเตรียมถอยหลังตั้งหลัก แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อสตรีแห่งรากษสยกมือขวาขึ้นมาไขว่คว้าอาวุธคู่ใจของเธอ
แม่มดสาวผมสีส้มผู้ซึ่งหมดทางหนีทีไล่และไม่ต้องการให้ศัสตราวุธถูกอริศัตรูแย่งชิงไป เธอตัดสินใจสู้ยิบตาโดยละมือขวาออกจากด้ามไม้กวาด แล้วกำหมัดง้างขึ้นหมายจะชกใส่ฝ่ายตรงข้ามให้ล้มลงไปนอนหมอบกับพื้น เช่นเดียวกับซามูไรสาวที่กำลังเหวี่ยงกำปั้นขวาพุ่งเข้ามาหาตน ทั้งที่ในมือยังคงกำด้ามดาบคาตานะเอาไว้มั่น ราวกับว่าต่างฝ่ายต่างอ่านความคิดของคู่ต่อสู้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
พลั่ก!!
สองนงเยาว์ต่างแลกหมัดชกเข้าที่แก้มซ้ายอย่างพร้อมเพรียงกัน ทว่าสเตฟาเนียกลับเป็นฝ่ายปลิวกระเด็นออกไปแทนพร้อมด้วยไม้กวาดประจำตัว ก่อนจะพุ่งชนเข้ากับผนังกำแพงห้องเสียงดังโครมบ่งบอกระดับความรุนแรงชัดเจน ทั่วบริเวณห้องเริ่มปกคลุมไปด้วยฝุ่นควันและเศษกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกครั้ง
ต่อให้การเคลื่อนไหวของเด็กสาวฝีปากจัดรายนี้จะรวดเร็วประดุจสายลมสักเพียงใด ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับพละกำลังอันหนักหน่วงของวีรสตรีจอมดาบเวทอยู่ดี
“อึ๊ก… แค่กแค่ก!”
สเตฟาเนียกระแอมออกมาเป็นเลือด มิหนำซ้ำยังหายใจรวยริน ร่างกายอันบอบช้ำของเธอนอนแผ่หลาอยู่บนกองแผ่นโฟมซึ่งปะปนไปพร้อม ๆ กับลังกระดาษ พยายามขยับลุกตัวให้อยู่ในท่านั่งโดยนำเอาแผ่นหลังแนบชิดพิงฝาผนัง พลางจับจ้องมองศัตรูที่กำลังเคลื่อนเท้าย่างกรายเข้ามาหาตนอย่างเยือกเย็น
ฮิคาริยกแขนขวาง้างของมีคมเล่มยาวขึ้นเหนือศีรษะ แล้วเร่งเหวี่ยงสะบัดลงไปตามแนวเฉียงทันที คลื่นอากาศระดับความเร็วเหนือเสียงถูกปลดปล่อยออกมาจากดาบคาตานะ กระแทกซัดใส่ร่างบุตรีแห่งไซตอนให้ติดอยู่กับมุมห้องจนกำแพงเริ่มบุบสลายกลายเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่ ราวกับถูกแรงดันมหาศาลซึ่งมองไม่เห็นกดทับเข้ามายากที่จะลุกขึ้นมาต่อต้าน
สิ่งที่เธอพอจะทำได้ในเวลานี้คือการกรีดร้องระบายความเจ็บปวดออกมาเท่านั้น
“อ… อ๊า!!”
“ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟไม่น่าไว้ใจคนอย่างหล่อนเลยด้วยซ้ำ ผู้หญิงปลิ้นปล้อนชอบหลอกลวงคนอื่นอย่างหล่อนน่ะตายไปซะได้ก็ดี!!”
สตรีแห่งรากษสแผดเสียงเกรี้ยวกราดพร้อมทั้งใช้คมดาบฟาดฟันกลางอากาศปิดท้าย แม้นว่าตำแหน่งของทั้งคู่จะอยู่ห่างไกลกันราวห้าเมตร แต่เนื่องด้วยพลังแห่งจิตอันกล้าแกร่งของฮิคาริที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากคาตานะนั้น มีความคมกริบไม่ต่างจากศัสตราวุธชนิดอื่นใด ก็เพียงพอที่จะมอบบทลงทัณฑ์ให้กับเป้าหมายอย่างสาสม โดยไม่จำเป็นต้องแตะต้องตัวศัตรู
ตามปกติแล้วถ้าหากเป็นมนุษย์หรืออสูรระดับล่างโดยทั่วไป ร่างกายของพวกเขาคงต้องถูกฉีกขาดกลายเป็นเศษเนื้อชิ้นเล็ก ๆ ไปนับตั้งแต่การโจมตีครั้งแรก ทว่าสเตฟาเนียกลับมีเพียงบาดแผลจากการถูกของมีคมเชือดเฉือนเท่านั้น อย่างไรก็ดีต่อให้ร่างกายเธอจะถึกทนสักเพียงใด ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อความทรมานที่ได้รับมาอยู่ดี
ถ… ถ้าไม่รีบใช้สิ่งนั้นหยุดเธอล่ะก็…!
สเตฟาเนียนึกขึ้นได้เช่นนั้น รีบล้วงมือซ้ายหยิบนาฬิกาพกโบราณสีทองออกมาจากกระเป๋ากระโปรง เตรียมใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ขั้นสูงดังกล่าวเพื่อหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเวลาและทุกสรรพสิ่ง สำหรับตนแล้วนี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้รอดพ้นจากสถานการณ์คอขาดบาดตาย
——เปรี้ยง!!
คมดาบล่องหนได้พุ่งปะทะเข้าใส่ร่างอันบอบบางของเด็กสาวนัยน์ตาสีม่วง โดยไม่ทันได้แตะปุ่มเม็ดมะยมบนตัวเรือนเพื่อเริ่มทำงาน นาฬิกาถูกพัดปลิวออกจากมือลอยกระเด็นไปไกล ยากที่จะขยับตัวลุกขึ้นไขว่คว้ามันกลับคืนมา หนทางสุดท้ายที่จะหยุดยั้งความบ้าคลั่งของแม่มดอสูรร้ายสีขาวนั้นพลันดับสลายลงในพริบตา
ฮิคาริได้รับบทเรียนจากการต่อสู้ในครั้งนี้มากเพียงพอแล้ว การแสดงท่าทีใจอ่อนหรือความประมาทซ้ำซากนั้นจึงไม่มีให้เห็นอีกต่อไป และยังคงสะบัดดาบคาตานะทำร้ายอีกฝ่ายต่อไปตามอารมณ์โทสะ สเตฟาเนียเริ่มแน่นิ่งไม่ไหวติงใด ๆ ดูอิดโรยคล้ายขี้ผึ้งลนไฟไร้ซึ่งเรี่ยวแรงขัดขืน ราวกับว่าตนกำลังยินยอมน้อมรับความตายโดยดุษณี
“ขนาดท่านพ่อยังกล้าทรยศความเชื่อใจฉันได้ลงคอ แล้วนับประสาอะไรกับเผ่าปีศาจกัน! ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ฉันขอสาบานว่าจะฆ่าพวกหล่อนให้สิ้นซาก ถึงตอนนั้นฉันจะได้หลุดพ้นจากคำสาปนี่สักที!!”
แม้นจะเป็นเพียงประโยคสั้น ๆ แต่นั่นก็ทำให้สเตฟาเนียพอจะเข้าใจได้ ว่าเพราะเหตุใดสตรีแห่งอสูรร้ายสีขาวถึงเคียดแค้นชิงชังต่อเหล่าอสูร และพลันสำนึกขึ้นมาได้ว่าตนควรจะสารภาพความจริงทั้งหมดออกไปตั้งแต่แรก ไม่ใช่ประชดประชันใส่ด้วยถ้อยคำกวนประสาท ต่อให้ต้องทำไปเพื่อปกปิดความลับของตนเองก็ตาม
การมองเห็นของสเตฟาเนียเริ่มพร่ามัวและกลายเป็นสีเทา สติสัมปชัญญะค่อย ๆ เลือนหายไป จนร่างกายซึ่งโชกเลือดเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์นั้นไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดได้อีก ในขณะที่นัยน์ตาสีม่วงคอยจับจ้องฮิคาริซึ่งกำลังลงทัณฑ์ตนอย่างบ้าคลั่ง เด็กสาวผู้น่าสงสารก็ได้หวนนึกถึงอดีตอันดำมืดของตนขึ้นมาด้วยความสลดใจ
อา… นี่คือผลกรรมที่ฉันสมควรจะต้องได้รับงั้นสินะคะ สลาติก้า