เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1533 ไม่นับญาติกับพวกเขา + ตอนที่ 1534 ออกเดินทางแต่เช้าตรู่
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1533 ไม่นับญาติกับพวกเขา + ตอนที่ 1534 ออกเดินทางแต่เช้าตรู่
ตอนที่ 1533 ไม่นับญาติกับพวกเขา + ตอนที่ 1534 ออกเดินทางแต่เช้าตรู่
ตอนที่ 1533 ไม่นับญาติกับพวกเขา
ในอีกด้าน ตู้ฝานที่ออกมาจากตลาดมืดเดินตามหลังเฟิ่งจิ่ว สายตาสอดส่องไปรอบๆ แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “นายท่าน คนที่สะกดรอยตามเราเมื่อครู่น่าจะไปแล้วขอรับ”
“อืม” เฟิ่งจิ่วรับคำอย่างไม่สนใจ ในสมองกลับกำลังคิดว่าในเมื่อรู้ว่ายาทิพย์อยู่ที่ใด เช่นนั้นก็เตรียมตัวไปเอามาเลย แต่ทางเจ๋อ…
ไม่รู้ว่าเขาจะไปนานขนาดไหน? หากยังไม่กลับมาในเร็วๆ นี้ เธอก็อยากจะออกเดินทางไปก่อน
“ตู้ฝาน เมืองซุ่นเหยียนระยะทางห่างจากที่นี่เท่าไร?” เธอเอียงคอหันไปถาม
ได้ยินอย่างนั้น ตู้ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่ง คำนวณในใจ แล้วตอบว่า “ไปกลับต้องใช้เวลาครึ่งเดือนขอรับ ถึงจะเดินทางโดยขี่กระบี่บิน อย่างเร็วไปกลับก็ต้องใช้เวลาแปดเก้าวันขอรับ”
เขาหยุดพูดครู่หนึ่ง แล้วอธิบายอีกว่า “จากที่นี่ไปถึงเมืองซุ่นเหยียนถือว่าใกล้แล้ว หากไปภูผาสวรรค์ ไปกลับเกรงว่าจะต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือน ภูผาสวรรค์เป็นถิ่นของผู้เฒ่าเทียนจี ได้ยินมาว่าบนนั้นมีหิมะตกปกคลุมยอดเขาตลอดปี หนำซ้ำยังมีงูพิษสัตว์ร้ายปรากฏตัว แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับเซียนเหินก็ยังไม่กล้าบุกเข้าไปส่งเดช
ยิ่งมีข่าวลือหนึ่งว่าไว้ว่าผู้เฒ่าเทียนจีชำนาญการทำนายด้วย สามารถทำนายลิขิตสวรรค์ได้ สร้างอุปสรรคบนฟ้าหลายชั้น เพื่อกีดกันคนนอกไม่ให้เข้าไปรบกวนการฝึกบำเพ็ญของเขา หากต้องการขึ้นไปบนฟ้า เกรงว่าจะไม่ง่าย”
เฟิ่งจิ่วฟังเงียบๆ เดินทอดน่องอย่างใจเย็น ระหว่างทางกลับ เดินผ่านร้านขนมร้านหนึ่ง ยังเข้าไปซื้อขนมกลับไปด้วย
ครั้นกลับเข้ามาในลานบ้าน เธอถือขนมเดินเข้าในเรือน “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว ท่านดู ข้าซื้อขนมที่เพิ่งออกจากเตาสดๆ ร้อนๆ มาให้ท่านด้วย”
ซั่งกวนหวั่นหรงที่อยู่บนเตียงลุกขึ้นนั่ง มองดูเฟิ่งจิ่วที่แต่งกายเป็นชายเดินเข้ามา ดึงมือของเธอให้นั่งลงข้างเตียงของนาง “กลับมาเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? เจ้าออกไปทำธุระราบรื่นดีหรือไม่?”
“ข้าแวะไปที่ตลาดมืดมา ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเยือนนายแห่งตลาดมืดเสียหน่อย แต่เขาไม่อยู่ ข้าเลยนั่งครู่หนึ่ง สอบถามเรื่องยาทิพย์สองชนิดนั้นจึงค่อยกลับมา ระหว่างทางก็แวะซื้อขนมมาให้ท่านด้วย”
เธอเปิดกล่องแล้วหยิบขนมที่ยังมีควันลอยกรุ่นออกมา “ท่านชิมดู”
เห็นอย่างนี้ ซั่งกวนหวั่นหรงยิ้มๆ รับไปกัดหนึ่งคำ สัมผัสกรุบกรอบผสมผสานกับกลิ่นหอมหวน แม้แต่นางที่กำลังอยู่ในระหว่างฟื้นตัวกินแล้วยังรู้สึกว่าอร่อย
“อร่อย กรอบมาก แล้วก็หอมมากด้วย”
“ข้าได้กลิ่นหอมนี้บนถนนก็เลยเดินเข้าไปซื้อ” เธอยิ้มตาหยี หยิบขึ้นมากินหนึ่งชิ้น พลางบอกว่า “ท่านแม่ ข้าให้คนที่ตลาดมืดส่งจดหมายกลับไปแล้ว ท่านพ่อจะได้ไม่ร้อนใจ”
“เจ้าให้คนส่งจดหมายกลับไปแล้วหรือ?” ซั่งกวนหวั่นหรงชะงัก ท่าทางลังเลเล็กน้อย “จะทำให้พ่อเจ้ากังวลหรือไม่?”
เธอโบกมือ “ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้าบอกเขาแล้วว่าท่านไม่เป็นไร รอพวกเราสะสางเรื่องราวทางนี้เสร็จก็จะกลับไป ท่านยังไม่รู้ ตอนนี้ท่านพ่อเป็นเจ้าแคว้นปกครองราชวงศ์เฟิ่งหวง บ้านเมืองสงบสุขนัก แคว้นรอบข้างและกลุ่มอำนาจต่างๆ ล้วนเป็นมิตรกับเรา”
“เช่นนั้นก็ดี” นางคลายใจ พยักหน้ายิ้มๆ
เฟิ่งจิ่วกินขนม พลางเงยหน้ามองนาง แล้วพูดว่า “แต่ท่านแม่ ข้ามั่นใจได้เลย เมื่อถึงเวลานั้นท่านกลับไปอยู่พร้อมหน้ากับท่านพ่อที่ราชวงศ์เฟิ่งหวง ตระกูลซั่งกวนจะต้องไปตามหาท่านแน่ เมื่อก่อนตอนที่พวกเขารู้ว่าข้าคือภูตหมอ ยังอยากจะสานสัมพันธ์กับข้าด้วย! แต่ข้าไม่ได้สนใจพวกเขา”
ได้ยินอย่างนั้น ซั่งกวนหวั่นหรงหน้าเครียด “ไม่จำเป็นต้องนับญาติกับพวกเขา ข้าไม่มีครอบครัวเช่นนั้น!”
………………………………….
ตอนที่ 1534 ออกเดินทางแต่เช้าตรู่
พวกเขาไม่เห็นแก่สายเลือดครอบครัว ทำลายการแต่งงานของนาง ทำให้ครอบครัวของนางแตกแยก แล้วยังขังนางไว้ในจวนเพื่อหลอมยาให้พวกเขา หากเป็นครอบครัว จะทำอย่างนั้นกับนางได้อย่างไร
ตัวนางต้องทนทุกข์มากมายด้วยน้ำมือพวกเขา นางจะไม่มีวันยอมให้ลูกสาวของนางกับเฟิ่งเซียวถูกพวกเขารังแกอีกครั้งแน่! ครอบครัวอย่างนั้น นางไม่อยากนับญาติด้วย ตั้งแต่ติดตามซานหยางจื่อออกมาจากตระกูลซั่งกวนแล้ว
“เอาเถิดท่านแม่ พวกเราอย่าพูดถึงพวกเขาเลย ข้ามีเรื่องหนึ่งจะพูดกับท่าน” เธอกุมมือนางแล้วบอก
ซั่งกวนหวั่นหรงยิ้มๆ มองเธอด้วยแววตาอ่อนโยน “เรื่องใดหรือ? เจ้าว่ามา”
“ข้าตั้งใจจะเดินทางไปที่เมืองซุ่นเหยียน ดูว่าโรคร้ายของท่านเจ้าเมืองอาวุโสคือโรคอะไร หากช่วยเขารักษาได้ ก็จะได้ยาทิพย์มาไม่ยาก หากรักษาไม่ได้ ข้าต้องคิดหาทางอื่นอีก ถ้าข้าออกเดินทางแล้ว ก็น่าจะตรงไปที่ภูผาสวรรค์ด้วยเลย ไปครั้งนี้น่าจะต้องใช้เวลาสองสามเดือน ฉะนั้น…”
ถึงหลายวันมานี้เธอจะรักษานางจนร่างกายเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ออกเดินทางครั้งนี้ต้องใช้เวลาสองสามเดือน อย่างไรก็ยังเป็นห่วงนางอยู่ดี
ได้ยินอย่างนี้ ซั่งกวนหวั่นหรงยิ้มอย่างอ่อนโยน ตบหลังมือเธอเบาๆ “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด! ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ อยู่ที่นี่แม่ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างร่างกายก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว กลับเป็นเจ้า นี่เจ้าคิดจะไปเพียงลำพังหรือ? ในเมื่อจะไป ก็ให้โม่เจ๋อไปด้วย จะได้มีเพื่อนคอยช่วยเหลือกันระหว่างทาง”
“เจ้าค่ะ ข้ารู้ ข้าตั้งใจจะไปที่ตำหนักยมราชก่อนจะไปเมืองซุ่นเหยียน” เธอพยักหน้ายิ้มๆ แล้วบอกว่า “แต่ท่านวางใจได้ เหลิ่งซวง เหลิ่งหวาและตู้ฝานล้วนอยู่บ้าน พวกเขาจะดูแลท่านเอง”
“ได้ แม่เข้าใจแล้ว” ซั่งกวนหวั่นหรงมองเธอ แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจของผู้เป็นแม่ หลายปีผ่านไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าลูกสาวของนางกับเฟิ่งเซียวจะเติบโตมาได้โดดเด่นเช่นนี้
วันนี้ หลังจากเฟิ่งจิ่วจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ได้ทิ้งยากับยาน้ำบางส่วนไว้ให้พวกเหลิ่งหวา ขณะเดียวกันก็กำชับพวกเขาไม่ให้ลืมฝึกบำเพ็ญ เพราะหวังว่าพลังของพวกเขาจะพัฒนาขึ้นได้อีก
วันต่อมา ท้องฟ้ายังไม่สว่าง เธอที่เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็จูงเหล่าไป๋ออกจากประตูโดยมีทุกคนออกมาส่ง พลันนั้นก็ได้ยินเสียงไก่ขันดังมาจากลานบ้าน
ได้ยินเสียงไก่ขัน เฟิ่งจิ่วกระดกคิ้ว ชะงักฝีเท้า “เจ้าขนเขียวหรือ?”
“ใช่ขอรับนายท่าน ตั้งแต่มันมาอยู่ที่นี่ก็ร้องทุกวันเลยขอรับ” ตู้ฝานพูดยิ้มๆ เหลือบมองไปทางเจ้าขนเขียวที่กำลังยืนขันอยู่บนที่สูงในลานบ้าน
เฟิ่งจิ่วพยักหน้า “อืม ข้าได้ยินเสียงไก่ขันจริงๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นไก่บ้านอื่น แต่เจ้าขนเขียวเป็นตัวเมียนี่ ไก่ตัวเมียก็ขันด้วยหรือ?”
ซั่งกวนหวั่นหรงที่มีเหลิ่งซวงคอยประคองยิ้มๆ “วัตถุหรือสิ่งมีชีวิตในโลกวิญญาณย่อมไม่อาจเทียบกับสิ่งของทั่วไปได้ นั่นเป็นสตัว์วิญญาณเชียวนะ”
“นั่นก็จริง” เธอตบหัวเหล่าไป๋เบาๆ แล้วโอ้อวดกับท่านแม่ของเธอว่า “ท่านแม่ ท่านดูม้าตัวนี้ของข้า เป็นม้าที่ไม่ธรรมดาเลยล่ะเจ้าค่ะ” พูดจบ ตนเองก็หัวเราะเสียงดังก่อน
เหล่าไป๋ถูกหยอกล้อ ก็ทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูก แหงนหน้าขึ้น “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเหล่าไป๋มีหนึ่งเดียวในใต้หล้าเท่านั้น”
“เอาล่ะ พวกข้าต้องไปแล้ว” เฟิ่งจิ่วจูงเหล่าไป๋ออกจากประตูไป พูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านไม่ต้องมาส่งแล้ว”
“นายท่าน เดินทางปลอดภัยขอรับ” ตู้ฝานบอก
“ดูแลตัวเองดีๆ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องระวังตัว” ซั่งกวนหวั่นหรงกำชับ
“ข้าทราบเจ้าค่ะ” เธอเดินออกจากประตู กระโดดขึ้นหลังเหล่าไป๋ โบกมือให้พวกเขา จากนั้นก็ใช้สองเท้าแตะท้องม้า ก่อนจะหายลับไปบนถนนที่ยังมีคนแค่สองสามคนพร้อมกับเหล่าไป๋…
………………………………….