เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1413 ภารกิจ + ตอนที่ 1414 แออัด
ตอนที่ 1413 ภารกิจ + ตอนที่ 1414 แออัด
ตอนที่ 1413 ภารกิจ
เธอแอบเดินตามไปเงียบๆ เดินมาได้พักหนึ่งก็พบว่านางกำลังขึ้นไปบนยอดเขาชั้นเก้า
ดึกขนาดนี้แล้ว ไปทำอะไรที่ยอดเขาชั้นเก้ากัน?
เธอนึกสงสัย มองดูเงาร่างสีขาวเบื้องหน้าเดินขึ้นไปบนยอดเขาชั้นที่เก้าด้วยฝีเท้าเบาหวิว อดขมวดคิ้วไม่ได้ เธอเคยขึ้นไปที่ยอดเขาชั้นเก้าครั้งหนึ่ง ด้านบนกลับไม่มีเขตอาคม แต่มีผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณเฝ้าอยู่สองคน อีกทั้งด้านในยังมีค่ายกลสังหารอยู่มากมาย หากบุกเข้าไปโดยพลกาล ไม่มีทางรอดแน่นอน!
ทว่า ด้านหน้ามีผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณเฝ้าอยู่ ด้านหลังกลับไม่มี ครั้งที่แล้วเธอก็ขึ้นไปจากข้างหลัง กลับไม่ได้ทำให้คนบนยอดเขาชั้นเก้าแตกตื่นสักคน
มองดูท่านแม่ของเธอเดินเข้าไปในประตูบนยอดเขาชั้นเก้าจากที่ไกลๆ เห็นผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณสองคนนั่งขัดสมาธิและหลับตาอยู่ตรงนั้น เธอครุ่นคิด แล้วถอยออกไปเงียบๆ ตั้งใจจะแอบขึ้นไปบนยอดเขาชั้นเก้าจากด้านหลังยอดเขาชั้นแปดเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
หน้าผาหลังเขามีเขตห้ามบิน นอกจากบริเวณเขตห้ามบิน หากขี่กระบี่บินลงมาจากชั้นเก้าขอเพียงเลี่ยงเขตห้ามบินตรงนั้นไปได้ก็ไม่มีปัญหา บริเวณอื่นล้วนสามารถบินได้ แต่กลับบินขึ้นไปถึงยอดเขาไม่ได้ ดังนั้นหากจะขึ้นข้างบนจากหน้าผาหลังเขา มีเพียงวิธีเดียวนั่นก็คือปีน
ระหว่างปีนขึ้นไป ร่างกายของเธอแนบติดหน้าผา บังเอิญเหยียบหินก้อนที่ไม่แน่นเท้าจึงลื่น ร่างกายร่วงลงด้านล่างเล็กน้อย
เธอคว้าก้อนหินไว้ได้ แล้วเหลือบมองก้อนหินที่กลิ้งตกลงไปแวบหนึ่ง จากนั้นก็ปีนขึ้นไปอีกครั้ง ในใจลอบคิด น่าจะผูกเชือกไว้ตรงนี้สักเส้น จะได้ปีนขึ้นจากข้างหลังสะดวกหน่อย!
ผ่านไปไม่นานก็มาถึงข้างบน หลบหลีกค่ายกลพลางเก็บงำกลิ่นอายแล้วมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่
ที่พักของซานหยางจื่อไม่ได้เป็นถ้ำ แต่เป็นสวนไผ่แห่งหนึ่ง สวนไผ่อยู่ท่ามกลางป่าไผ่ผืนกว้างดูเงียบสงบมาก ไผ่ในนั้นเป็นไผ่วิญญาณ อีกทั้งในป่าไผ่ยังมีค่ายกลปิดกั้นไม่ให้คนนอกเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกด้วย ทว่า สำหรับเธอค่ายกลเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากผ่านค่ายกลในป่าไผ่มาได้อย่างง่ายดาย ก็มาถึงบริเวณสวนไผ่แห่งนั้น คราวก่อนเธอเคยแอบเข้ามาครั้งหนึ่ง แต่กลับไม่เห็นซานหยางจื่อผู้นั้น ทว่าตอนนี้ กลางดึกสงัดแสงไฟในสวนไผ่กลับยังสว่างจ้า ยังคงเห็นเงาร่างของท่านแม่เธอทอดอยู่บนกำแพงภายใต้แสงไฟ
เห็นเช่นนั้น เธอกลั้นหายใจแล้วแอบเข้าไปใกล้ๆ อยากเห็นว่าพวกเขาทำอะไรอยู่ข้างใน? มีเรื่องใดที่ต้องคุยกันยามดึกดื่นเช่นนี้?
“เจ้าเป็นคนที่ข้าพากลับมาจากแคว้นระดับล่าง แล้วยังรับเป็นศิษย์ปิดสำนักอีกด้วย เจ้าต้องพยายามมากกว่าผู้อื่น จึงจะไม่เป็นการทรยศต่อการสั่งสอนที่ข้ามอบให้เจ้า”
ในเรือนไผ่ ชายวัยกลางคนที่นั่งหลังตรงกล่าวเสียงขรึม สายตาคมปลาบคู่นั้นจ้องซั่งกวนหวั่นหรงที่กำลังยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านหน้า พูดเสริมว่า “จำคำข้าไว้ ครั้งนี้เมื่อเข้าไปในดินแดนลับแล้ว เจ้าต้องเด็ดยาทิพย์ชั้นยอดสามอย่างนั้นมาให้ได้”
“เจ้าค่ะ” ซั่งกวนหวั่นหรงรับคำ จากนั้นก็ฟังคำสั่งของเขาอีกเล็กน้อย สุดท้ายถึงเห็นเขาหยิบยาขวดหนึ่งออกมา
“ในขวดนี้มียาอยู่หนึ่งเม็ด สามารถช่วยให้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังขั้นกลางได้เร็วที่สุด ครั้งนี้เมื่อเข้าไปในดินแดนลับแล้ว ข้ามีภารกิจอื่นมอบหมายให้บรรดาศิษย์พี่ของเจ้าแล้ว เจ้าแค่ทำตามคำสั่งที่ข้ามอบหมายให้ก็พอ”
“เจ้าค่ะ ศิษย์ทราบแล้ว ขอบพระคุณท่านอาจารย์” นางรับยาขวดนั้นไป แล้วกล่าวว่า “หากท่านอาจารย์ไม่มีอะไรจะให้ศิษย์รับใช้แล้ว ศิษย์ขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
“ไปเถิด!” ซานหยางจื่อโบกมือ เป็นเชิงบอกให้นางไปได้
ด้านนอก เฟิ่งจิ่วที่แอบมองจากที่ลับ และได้ยินบทสนทนาของทั้งสองเอนตัวไปข้างหลังเบาๆ ซ่อนตัวในความมืดมองดูท่านแม่ของเธอเดินออกมาจากเรือนไผ่หลังนั้น แล้วเดินลงเขาไป
นัยน์ตาของเธอไหวระริก หันมองไปทางเรือนไผ่แวบหนึ่ง
………………………………….
ตอนที่ 1414 แออัด
เห็นท่านแม่ของเธอจากไปแล้ว เธอชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็กลับลงไปทางด้านหลังเขา…
เช้าวันต่อมา เมื่อเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วเธอก็มุ่งหน้าไปยังถ้ำของเฉินเต้า คำพูดที่ว่าเขาจะตื่นเช้า เธอไม่ค่อยเชื่อนัก ถึงอย่างไรเธอก็อยู่ที่นี่มาได้ช่วงหนึ่งแล้ว ยังไม่เคยเห็นเขาตื่นเช้ามาก่อนเลย
“กุ๊กๆ กุ๊กๆ”
เจ้าขนเขียวไม่รู้โผล่มาจากที่ใด เดินตามเธอพลางส่งเสียงร้องกุ๊กๆ
เห็นอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วเหล่มองแวบหนึ่ง “ไปไกลๆ เลย วันนี้ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้าหรอกนะ”
“กุ๊กๆ กุ๊กๆ…” เจ้าขนเขียวเดินตามอย่างไม่สนใจ สองขาสั้นๆ ย่างก้าวเดิน ร่างกายกลมๆ ส่ายไปส่ายมา ตามเฟิ่งจิ่วไปยังถ้ำของเฉินเต้า
ตามคาด ขณะที่ทุกคนมุ่งหน้าไปรายงานตัวที่ค่ายกลเคลื่อนย้าย เธอเข้ามาในถ้ำของเฉินเต้า พบว่าเขายังคงนอนหลับสบายอยู่
มองดูเงาร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงอย่างไม่คิดจะรักษาภาพพจน์สักนิด เธอได้แต่ส่ายหน้า ขณะกำลังจะปลุกเขาให้รีบตื่น ก็เห็นเจ้าขนเขียวที่เดินตามเธอเข้ามากระโดดขึ้นไปบนเพียง จากนั้นก็ยืดคอ และแหกปากตะโกนเสียงดัง
“เอ้ก อี้เอ้ก! กุ๊กๆๆๆ…”
ได้ยินเสียงไก่ขันนั่น แล้วยังเห็นเจ้าขนเขียวแหงนหน้าตะโกนเสียงดัง มุมปากของเธอกระตุก เอาเถิด ปล่อยมันไปก็แล้วกัน! เรื่องการปลุกคนเจ้าขนเขียวรู้ดีที่สุดแล้ว
“กุ๊กๆๆ…”
“เสียงไก่ขันมาจากไหนแต่เช้า?” เฉินเต้างึมงำ พลิกตัวแล้วตวัดฝ่ามือ เจ้าขนเขียวกระโดดขึ้น จากนั้นก็ยืนเหยียบอยู่บนตัวเขา
“กุ๊กๆๆ…”
“โอ๊ย! หนวกหู!” เขากระเด้งตัวขึ้นนั่งด้วยความหงุดหงิด เมื่อลืมตาที่แฝงไว้ด้วยความโกรธขึ้นมา ก็เห็นเฟิ่งจิ่วยืนจ้องเขาอยู่ข้างเตียง เขาชะงักงันไปครู่หนึ่ง
“เฟิ่งจิ่ว? อ๊ะ! วันนี้ต้องไปดินแดนลับ! สวรรค์! ข้าตื่นสายแล้วๆ เจ้ารอข้าเดี๋ยว ไม่นานก็เสร็จแล้ว” ขณะพูดก็รีบวิ่งเข้าไปล้างหน้าบ้วนปากในห้องน้ำ จากนั้นจึงสวมใส่เสื้อผ้าอย่างรีบร้อน หลังจากรวบเส้นผมสีหมึกขึ้นใช้รัดเกล้าเสียบเข้าไปแล้วค่อยเดินมาตรงหน้าเฟิ่งจิ่ว
“เป็นอย่างไร? เท่านี้ก็ได้แล้วกระมัง?”
“หัวเบี้ยวแล้วขอรับ” เฟิ่งจิ่วชี้รัดเกล้าบนหัวของเขา
ได้ยินเช่นนั้น เฉินเต้าถมึงตากว้าง เป่าหนวดเลขแปดสองเส้นนั้น “หัวเบี้ยวอะไรกัน? พูดจาดีๆ ไม่เป็นหรืออย่างไร!” เขาจัดรัดเกล้าบนหัวใหม่ พลางเดินออกไปข้างนอก
“เร็วเข้า เดี๋ยวจะตามคนอื่นเขาไม่ทัน” เขาเรียกเฟิ่งจิ่วให้รีบเดิน ทั้งสองเดินไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้าย ระหว่างทางบังเอิญเจอลั่วเหิงที่ใส่เสื้อผ้าไม่เข้าที่เข้าทางเหมือนเฉินเต้า
“ศิษย์พี่ลั่ว ท่านก็ตื่นสายหรือขอรับ?” เฟิ่งจิ่วตะโกนทักทาย
“เจ้าเองหรือ เจ้ามาทำอะไรแต่เช้า…” เสียงพูดชะงักหยุด หันไปมองเฉินเต้าแวบหนึ่ง แล้วถาม “เฟิ่งจิ่ว นี่เจ้าคงไม่ได้คิดจะตามศิษย์พี่เฉินเข้าไปในดินแดนลับหรอกกระมัง?”
ได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งจิ่วคลี่ยิ้ม “ศิษย์พี่ลั่ว ท่านฉลาดจริงๆ”
ได้ยินอย่างนั้น ลั่วเหิงอึ้งงัน “ไม่ใช่กระมัง? เจ้าเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐาน ระดับผู้ฝึกตนอย่างเจ้าเข้าไปในดินแดนลับ เจ้าไม่กลัวเข้าได้ออกไม่ได้ แล้วสุดท้ายต้องกลายเป็นปุ๋ยให้ยาทิพย์ในนั้นหรือ?”
เฟิ่งจิ่วกระตุกมุมปาก ไม่พูดอะไร
เฉินเต้าเหลือบมองลั่วเหิงแวบหนึ่ง กล่าวว่า “ห่วงตัวเองก็พอ พูดอะไรไปเรื่อย! เฟิ่งจิ่ว เร็วเข้า ไม่ต้องสนใจเขา” ขณะพูด ก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
“อ้าว รอข้าด้วยสิ จะได้มีเพื่อนไปด้วยกันพอดี” ลั่วเหิงตะโกน แล้วรีบตามพวกเขาไป
ตอนที่พวกเขาสามคนมาถึงที่นี่ คนอื่นๆ ต่างมากันครบแล้ว คนสามร้อยกว่าคนยืนล้อมกันอยู่ที่นี่ บ้างก็กระซิบกระซาบกันเสียงเบา บ้างก็จ้องพิจารณาอีกฝ่าย เสียงจอแจทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูคึกคักเป็นพิเศษ
………………………………….