ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - ตอนที่ 63 ไม่ยอมรับ
อวี้ถังเห็น ก็อดลอบส่ายหน้าในใจไม่ได้
หลี่จวิ้นกลับไม่เห็นอวี้ถัง
หลายวันมานี้ เขารู้สึกราวกับตัวเองฝันไป
เพราะสกุลอวี้อยากเกี่ยวดองกับคุณชายรองสกุลเว่ย คนลี้ภัยในที่นาของสกุลพวกเขาจึงเข่นฆ่าเอาชีวิตของคุณชายรองสกุลเว่ย เพราะสกุลอวี้ไม่ยินดีจะผูกสัมพันธ์กับสกุลเขา แม่ของเขาจึงส่งคนไปลักพาตัวคุณหนูอวี้ ทั้งเพราะคนลี้ภัยพวกนั้นมารีดไถ่เงินจากพี่ชาย พี่ชายเขาจึงเตรียมจะจัดการกับคนลี้ภัยพวกนั้น
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สกุลพวกเขายึดติดกับงานแต่งของเขาและสกุลอวี้ถึงเพียงนี้?
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่มารดาของเขาถึงขั้นใช้ทุกวิถีทางโดยไม่สนใจอะไรเพื่อให้บรรลุผลเช่นนี้?
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่พี่ชายเขาเปลี่ยนเป็นใจกล้าเหิมเกริม ไม่เคารพกฎบ้านกฎเมืองเช่นนี้?
หรือเป็นเพราะเขาโวยวายอาละวาดในบ้านเพื่อให้สามารถแต่งกับคุณหนูอวี้ได้?
แต่ยามที่เขาอาละวาดในบ้านเพราะไม่อยากไปเรียนหนังสือ มารดาและพี่ชายเขาก็ไม่ได้ยอมตามใจเขาถึงขนาดนี้?
แม้เขาจะเป็นผู้เกี่ยวข้องในเรื่องคนหนึ่ง แต่เรื่องงานแต่งของสกุลอวี้กลับไม่ได้ยึดมั่นดั่งมารดา
เขาไปโน้มน้าวมารดา มารดาไม่เพียงคิดว่าไม่ผิด แต่ยังกล่าวว่าเพราะตำแหน่งของบิดาไม่ใหญ่พอ มิเช่นนั้นศาลาว่าการจะกล้าออกหน้ายุ่งเรื่องนี้ได้อย่างไร
เขาเสียใจเป็นอย่างมาก ไปหาพี่ชาย พี่ชายกลับพูดว่าเขาโตแล้ว อย่าได้ไร้เดียงสาเช่นนี้อีก บางเรื่องหากไม่ใช่ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก ก็เป็นลมตะวันตกที่พัดกลบลมตะวันออก[1] แม้ว่าสกุลพวกเขาไม่รับคนลี้ภัยพวกนั้น ก็ย่อมมีคนอื่นรับอยู่ดี
เขาสับสนมึนงงไม่น้อย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่นานั้นก็เป็นของสกุลหลี่พวกเขา เป็นสกุลหลี่ของเขาที่รับคนลี้ภัยพวกนั้นไว้ ยามที่คนของศาลาว่าการไปตรวจสอบ ก็เกิดเรื่องในที่นาของสกุลหลี่ ไฉนพี่ชายของเขาจึงกล่าวคำพูดผลักภาระเช่นนี้ออกมาได้?
หูซิ่ง พ่อบ้านสามสกุลเผยมาเป็นแขกถึงเรือน เอ่ยว่าสกุลอวี้เชิญนายท่านสามของเขาให้เป็นคนกลาง พูดเกลี้ยกล่อมความหมางใจของทั้งสองสกุล เขารู้สึกไม่มีหน้าจะไปพบคนสกุลอวี้ พี่ชายเขากลับบังคับให้เขาตามมาด้วยกัน ทั้งยังปรึกษากับชิงเค่อ[2] ที่บิดาทิ้งไว้ให้ความช่วยเหลืออยู่ค่อนวัน กล่าวว่าคนลี้ภัยเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับสกุลพวกเขา เรื่องลักพาตัวคุณหนูอวี้ ยิ่งเป็นคำพูดไร้สาระ…ปฏิเสธเรื่องที่เคยทำมาทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง
หรือสกุลพวกเขาไม่ควรกระตือรือร้นให้ความร่วมมือกับสกุลเผย ให้คำตอบแก่คนในเมืองหลินอันหรอกรึ?
มารดาที่อ่อนน้อมถ่อมตนหายไปแล้ว พี่ชายที่ซื่อตรงใจกว้างก็หายไปด้วยเช่นกัน…
และพวกเขา ทำเพียงเพื่องานแต่งของเขาจริงๆ อย่างนั้นรึ?
หลี่จวิ้นไม่รู้ว่าตัวเองตามพี่ชายเข้ามาในประตูใหญ่จวนสกุลเผยได้อย่างไร ทั้งยังมานั่งในห้องโถงของสกุลเผยได้อย่างไร เป็นเสียงโต้เถียงอย่างรุนแรงที่ดังข้างหูจึงทำให้เขาหวนสติกลับมา
ยามที่เขายังสับสนมึนงง สกุลหลี่และสกุลอวี้ก็ได้โต้แย้งกันมาค่อนวันแล้ว
นายท่านสามสกุลเผยที่นั่งอยู่ตรงกลางกลับเห็นได้ชัดว่ามีสีหน้าเรียบนิ่งอยู่บ้าง คล้ายว่าการโต้แย้งเบื้องหน้าไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอย่างสิ้นเชิง
ท่าทีของนายท่านสามคนนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่?
หลี่จวิ้นอดหันหน้าไปมองหลี่ตวนไม่ได้
หลี่ตวนยังคงคล้ายให้ความสำคัญกับเรื่องครั้งนี้
เขาเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีน้ำเงินปักไหมทองลวดลายค้างคาวและดอกไม้ที่เพิ่งตัดใหม่ไม่กี่วันก่อน ขับผิวของเขาให้ดูขาวสะอาด ใบหน้ากระจ่างใส ราวกับต้นอวี้ซู่ที่ลู่ลม โดดเด่นสง่างามเหนือผู้คน
ยามนี้สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมราวกับสีของฤดูใบไม้ร่วง กล่าวด้วยหน้านิ่งเรียบ “นายท่านอวี้ พวกเราพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรขอพวกเจ้านำหลักฐานออกมา มิเช่นนั้นข้าจะไปแจ้งทางการว่าพวกเจ้าใส่ร้ายผู้อื่น!”
หลี่จวิ้นได้ฟังก็สั่นสะท้านในใจ
สกุลอวี้ก็ไม่ใช่คนบ้าบิ่น ไหนเลยจะกล้าเชิญนายท่านสามสกุลเผยออกหน้าเป็นคนกลางโดยที่จับมือใครดมไม่ได้ นายท่านสามก็ไม่ใช่คนโง่ หากไม่มีหลักฐาน จะเข้ามายุ่งเรื่องนี้ได้อย่างไร?
จู่ๆ หลี่จวิ้นก็ฟื้นคืนสติกลับมา
เขาหันไปทางอวี้เหวิน
เห็นเพียงอวี้เหวินโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ ได้ยินหลี่ตวนพูดเช่นนี้ ก็ประสานมือคำนับไปทางนายท่านสามและพวกเศรษฐีชนบท ก่อนจะกล่าวกำชับอวี้หย่วน “เจ้าไปพาพยานเข้ามา”
อวี้หย่วนรับคำ ก่อนจะถอยออกไป
ในห้องโถงยังคงโต้เถียงกันเสียงเบา
ในใจอวี้ถังเต็มไปด้วยโทสะ
สกุลหลี่เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
แม้จะต้อนพวกเขาจนหลังชนกำแพง พวกเขาก็สามารถมองผ่านหลักฐานเหล่านั้นราวกับไม่มีอะไรได้ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับราวกับคนอื่นหูหนวกตาบอด หากถูกบีบเค้นอย่างหนัก ก็จะปัดความรับผิดชอบไปให้คนอื่น กล่าวว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งเป็นผู้เคราะห์ร้ายเช่นกัน
ชาติก่อน พวกเขาใช้วิธีเช่นนี้ไม่รู้ตั้งมากมายเท่าใด
ชาตินี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจให้พวกเขาทำสำเร็จเช่นนี้ต่อไป
นางมองไปที่เผยเยี่ยนแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เผยเยี่ยนที่ใช้หางตาสังเกตนางมาโดยตลอดอยากหัวเราะขึ้นมาอยู่บ้าง
เขารู้ว่านางไม่อาจหลบอยู่ในเรือนอย่างสงบเสงี่ยมได้หรอก
ยามที่นางก้มศีรษะ แต่งตัวเป็นบ่าวใช้เดินหลบอยู่หลังญาติผู้พี่ของตัวเองเข้ามาในห้อง เขามองพริบตาเดียวก็รู้แล้ว…เข้ามาในห้องโถงใหญ่เช่นนี้ ใครบ้างที่นำบ่าวรับใช้เข้ามา แทนที่จะเป็นคนสำคัญ ก็ต้องชมสกุลอวี้ที่ใจกล้า ทั้งโชคดีที่คนเหล่านั้นต่างให้ความสนใจกับเรื่องที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้เป็นครั้งแรก จึงไม่ได้ตระหนักถึงนาง มิเช่นนั้นยามที่นางเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ก็คงถูกคนจับได้แล้ว
แต่ขอเพียงเขาไม่พูด แม้ว่านางจะถูกคนมองออกก็ไม่สำคัญ พวกเขาเห็นว่าเผยเยี่ยนไม่กล่าวคำใด แปดถึงเก้าส่วนก็ย่อมทำเป็นไม่เห็นไปด้วย
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ คุณหนูใหญ่สกุลอวี้ผู้นี้ก็ยังคงทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้าง
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ นางไม่ได้เหลือบมองบุตรชายคนรองของสกุลหลี่แม้แต่แวบเดียว ทว่าแววตาที่มองหลี่ตวนกลับคล้ายดั่งสุมไปด้วยเปลวเพลิง อยากจะแผดเผาเขาอย่างไรอย่างนั้น
เวลานี้เผยเยี่ยนลูบคางตัวเอง
หรือคนที่คุณหนูอวี้ผู้นี้ต้องการแก้แค้นก็คือหลี่ตวน?
เขาจิบชาไปหนึ่งคำ
ก่อนจะเห็นอวี้ถังกระซิบกล่าวข้างหูอวี้หย่วนไม่กี่ประโยค อวี้หย่วนพยักหน้า เข้าไปพูดกับอวี้เหวินเสียงเบา อวี้เหวินที่เมื่อครู่ถูกหลี่ตวนย้อนจนพูดไม่ออก รับช่วงต่อจากคำพูดของนายท่านเว่ย เริ่มโต้แย้งหลี่ตวนขึ้นมาทันที
ผ่านไปพักใหญ่ อวี้เหวินตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกครั้ง
ทางพวกเขาก็เปลี่ยนตัวเว่ยเสี่ยวหยวนมาโต้เถียงหลี่ตวนแทน
สมแล้วที่หลี่ตวนเป็นลูกเขยที่สกุลกู้ถูกใจ ไม่เพียงแต่ฝีปากเป็นเลิศ ยังมีความสามารถพลิกแพลงสถานการณ์ ไม่นานก็ทำให้เว่ยเสี่ยวหยวนไปต่อไม่ถูก
หลี่ตวนประสานมือไพล่หลัง ยืดตัวตรงอยู่กลางห้องโถง มองดูเบื้องล่างอย่างดูแคลน คล้ายทระนงในความสามารถโต้แย้งของตัวเอง
อวี้ถังกระซิบกับอวี้หย่วนไม่กี่คำ อวี้หย่วนก็ขึ้นมาด้านหน้า โต้แย้งกับหลี่ตวนขึ้นมาอีกครั้ง
เผยเยี่ยนเห็นแล้วร้อนใจแทนคนของสกุลอวี้อยู่บ้าง
ไฉนผู้ชายหลายคนโต้เถียงกันยังสู้ผู้หญิงคนเดียวไม่ได้
หรือหลายปีมานี้ สกุลอวี้ก็ทำได้เพียงเกาะกินสมบัติเก่าของบรรพบุรุษไปวันๆ เท่านั้น!
หากคุณหนูอวี้ผู้นี้ยืนขึ้นมาเป็นตัวแทนของฝั่งสกุลอวี้ เผชิญหน้ากับหลี่ตวนได้ คงน่าสนใจไม่น้อยแน่
จู่ๆ เผยเยี่ยนก็รู้สึกหมดอารมณ์ขึ้นมา
เขาวางถ้วยไว้ที่มุมโต๊ะ ไม่เบาไม่แรงเกินไป
ในห้องโถงเงียบเป็นเป่าสากขึ้นมาชั่วขณะ สายตาของทุกคนมองมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
เผยเยี่ยนเมินเฉยราวกับมองไม่เห็น กล่าวกับเผยหม่านที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา “น้ำชาเย็นหมดแล้ว ให้พวกสาวใช้เปลี่ยนชาให้ทุกคนเสียหน่อย”
ทุกคนที่ต่างคิดว่าเขามีอะไรจะพูด
ท่าทีนี้ของเผยเยี่ยนคล้ายเด็กน้อยที่เล่นสนุกเกินไปแล้ว!
พวกคนสกุลหลี่ตื่นตัว ฝั่งอวี้เหวินใบหน้าดำคล้ำ พวกเศรษฐีชนบทที่มาร่วมฟังต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป ครุ่นคิดตรึกตรองในใจว่าถึงเวลานั้นควรจะยืนฝั่งไหนอย่างไร
แววตาดั่งคมมีดของอวี้ถังมองไปยังเผยเยี่ยนอย่างตรงๆ
เหตุใดเขาจึงมีท่าทีเช่นนี้ได้?
ไม่ตอบรับก็เป็นอีกเรื่อง พอตอบรับแล้ว ก็ควรจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจังตั้งใจ เที่ยงธรรม ซื่อตรงจึงจะถูก ทำอย่างสุกเอาเผากินเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
หรือนี่ก็เป็นอีกคนที่นางเข้าใจผิดเพราะภาพจำของชาติที่แล้ว?
————————–
[1]หากไม่ใช่ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก ก็เป็นลมตะวันตกที่พัดกลบลมตะวันออก อุปมาถึงการแข่งขันเอาชนะกัน
[2]ชิงเค่อ คือแขกที่คอยให้คำปรึกษา เสนอความคิดในบ้านผู้มีอิทธิพล