หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ - ตอนที่ 57 ฉันไม่เข้าใจว่าคุณหมายความว่าอะไร
ในวันที่ฝังศพคุณปู่ วันนั้นในเมืองเอบรรยากาศแย่มาก ท้องฟ้าที่มืดมน สายลมหนาวที่พัดมากระทบใบหน้าราวกับเข็มแหลมคม
ลู่จือสิงยังไม่พูดอะไร ฉันยืนอยู่ข้างๆเขา มองดูหยาวตันตันและแม่ของเธอร้องไห้จนเกือบจะเป็นลม และไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกเศร้าไปด้วย
ตอนที่คุณปู่มีชีวิตอยู่ พวกเขาแทบไม่ได้มาเยี่ยมคุณปู่เลย ตอนคุณปู่เข้าโรงพยาบาลมีคนพูดถึงเรื่องดูแลคุณปู แต่ฉันไปอยู่เป็นเพื่อนคุณปูเกือบหนึ่งสัปดาห์ นอกจากลู่จือสิงแล้ว ฉันก็ไม่เห็นใครเลย
หลังจากฝังศพคุณปู่แล้ว ทนายก็เริ่มเปิดพินัยกรรม
แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคยสนใจเลยว่าพินัยกรรมจะมามีความเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน แม้ว่าฉันจะแต่งงานเข้าตระกูลลู่ แต่นี้เป็นเรื่องของตระกูลลู่ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย
แต่เมื่อได้ยินชื่อของฉัน "ซูยุ่น ได้รับหุ้น2.5%ของเฟิงเหิง ลู่จือสิง ได้รับหุ่น10%ของเฟิงเหิง…..ภายใต้ชื่อของลู่เจี้ยนเซิง…….."
"ซูยุ่นเหรอ ซูยุ่นมีสิทธ์อะไรที่จะมารับหุ้น"
คนที่เริ่มพูดคือลู่หงฉิง เธอพูดด้วยเสียงดังแทบต่างจากเสียงร้องไห้จะเป็นจะตายก่อนหน้านี้
ฉันเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร ทนายหันมองฉันแวบหนึ่ง "เพียงแค่เป็นพินัยกรรมของคุณท่านลู่เจี้ยนเซิง คุณท่านลู่เจี้ยนเซิงเขียนพินัยกรรมนี้ขึ้นเมื่อครึ่งเดือนก่อน คุณซูยุ่นก็มีสิทธิ์ได้รับมรดก"
"ซูยุ่น!ฉันเพิ่งจะเข้าใจว่านี้เป็นแผนของเธอ ตอนแรกเธอบอกว่าอาสาจะไปดูแลคุณปู่ ที่แท้เธอก็อยากได้หุ้นของคุณปู่"
หยาวตันตันในฐานะหลานสาว ได้รับเพียงคฤหาสน์ที่เป็นชื่อคุณปู่ เธอจึงไม่พอใจกับมรดกที่ได้รับเป็นธรรมดา
"ทนายจ้าว แม้ว่าผมจะสามารถเชื่อคุณได้ แต่หุ้นที่จือสิงและภรรยาได้รับนั้นมีจำนวนมาก ผมจึงจำเป็นต้องสงสัยในความถูกต้องของพินัยกรรมนี้"
คนที่พูดขึ้นมาคือลุงของลู่จือสิง
"มีเรื่องอะไรต้องสงสัย พ่อรักจือสิง หรือพี่จะคัดค้านคุณพ่อ"
ลู่เว่ยกั่วลุงขึ้นยืนประจันหน้ากับลุงของลู่จือสิง ฉันไม่คิดเลยว่า พินัยกรรมแค่ฉบับเดียว มันจะทำให้พวกเขาทะเลาะกันต่อหน้าคุณปู่
ลู่เวยกั่วพูดจบ คนอื่นๆก็พูดขึ้นมา ในที่สุดฉันก็เขาใจความหมายที่ลู่จือสิงพูดในวันนั้นแล้ว
นั้นเป็นแค่จุดเริ่มต้นจริงๆ และตอนนี้ ก็ยังไม่เจอจุดสิ้นสุด
บรรยากาศที่โศกเศร้าแบบเดิมหายไป พวกเขาเริ่มแสดงความเห็นแก่ตัว ฉันเห็นแล้วก็ได้แต่รู้สึกเศร้าใจแทนคุณปู่ และรู้สึกทุกข์ใจแทนลู่จือสิง
ฉันจับลู่จือสิงไว้แน่น แล้วเขาก็ก้มลงมามองฉัน พลางเดินไปด้านหน้า "ถ้ามีความสงสัยในพินัยกรรมของคุณปู่ พวกคุณก็สามารถไปตรวจสอบได้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม วันนี้เป็นวันฝังศพคุณปู่ ใครกล้ามาสร้างความวุ่นวาย อย่าหาว่าผมทำเกินไป"
ลู่จือสิงพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น กลุ่มคนต่างก็เงิยบลงทันที
และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของลู่จือสิงหรือเป็นเพราะไม่มีอะไรจะทะเลาะกันแล้ว
ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันผ่านช่วงหลายวันนี้มาได้ยังไง แต่ก้รู้สึกคุ้นชินกับมันแล้ว
เรื่องของคุณปู่ถือว่าจบไป แต่เรื่องของฉันกับลู่จือสิง……….
ในช่วงค่ำ ฉันนอนไม่หลับ เมื่อลุกขึ้นมาก็พบว่าลู่จือสิงที่ควรจะนอนอยู่ข้างๆไม่ได้อยู่บนเตียง
ฉันรู้ว่าเรื่องของคุณปู่มันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับลู่จือสิง ฉันกลัวมาโดยตลอดว่าความกดดันของเรื่องนี้จะทำให้เขากดดันตัวเองจนล้มป่วย…….
เมื่อฉันเดินมาที่ห้องโถงก็เห็นลู่จือสิงนั่งสูบบุหรี่อยู่ริมหน้าต่าง เขาไม่ได้เปิดไฟ แสงของพระจันทร์ส่องกระทบใบหน้าของเขา กลิ่นไอรอบตัวเขาดูเย็นชามาก
ฉันเห็นแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ ฉันเดินตรงไปและเรียกเขา "ลู่จือสิง"
เขาไม่ได้พูดตอบ เพียงแต่ดับบุหรี่มวนนั้นไป และทิ้งลงถังขยะด้านข้าง
ฉันคดว่าเขาไม่อยากพูด คิดอยากจะชวนเขาให้กลับไปนอน แต่กลับได้ยินคำพูดของเขา "ผมถูกคุณปู่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโต"
เสียงอันไพเราะนั้นเต็มไปด้วยความหดหู่ แค่ได้ยินฉันก็รู้สึกเศร้าใจแล้ว "ฉันรู้"
ตอนที่ฉันได้อยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ คุณปู่ได้เล่าเรื่องของลู่จือสิงให้ฟังไม่น้อยเลย
ตอนเด็กๆลู่จือสิงก็เป็นเหมือนเด็กหนุ่มธรรมดาๆ ที่ชอบซุกซน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่ปกป้องเขาไว้ จงฮุ่ยหรานคงรังแกเขาจนน่าสังเวช
เห็นเขาเป็นแบบนี้ฉันจึงไม่รู้จะบอกหย่ากับเขายังไง
หลังจากพินัยกรรมของคุณปู่ถูกเปิด ผู้ถือหุ้นบางคนของเฟิงเหิงถูกเปลี่ยนสถานะ
แม้ลู่จือสิงจะไม่ได้บอกฉัน แต่ในงานศพวันนั้น ฉันก็รู้ได้ว่าวันนี้เขามีชีวิตที่เลวร้้าย
ก่อนหน้านี้เขาสามารถดำรงตำแหน่งได้อย่างมั่นคงเพราะมีคุณปู่หนุนหลังอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีคุณปู่แล้ว ลู่จือสิงก็เหมือนจะต้องต่อสู้อย่างดุเดือดกับคนในเฟิงเหิง
เมื่อฉันตื่นขึ้นมา ลู่จือสิงก็ไปบริษัทแล้ว
ฉันมองไปที่กระเป๋าเดินทางตรงผนัง ฉันยังไม่ได้หยิบสิ่งของอะไรออกมา ส่วนใบหย่าได้ถูกลู่จือสิงฉีกทิ้งไไปแล้ว
ฉันไม่รู้ว่าจะถือโอกาสช่วงนี้พูดเรื่องหย่ากับลู่จือสิงดีไหม คุณปู่จากไปถือเป็นเรื่องที่หนักมากสำหรับลู่จือสิง….
ฉันลังเลอีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องฟ้องหย่าลู่จือสิง จู่ๆลู่ป่ายถงพี่ของลู่จือสิงก็นัดเจอฉัน
ฉันไม่ได้ประทับใจอะไรในตัวลู่ป่ายถง ดังนั้นฉันจึงปฏิเสธผ่านโทรัพท์ไป แต่ลู่ป่ายถงกลับบอกว่าเขามีรูปบางรูปในมือที่ฉันต้องสนใจ
ลู่ป่ายถงส่งรูปให้ฉันทางอีเมล เป็นรูปของลู่จือสิงกับจ้าวชิงหรานที่ถ่ายในคฤหาสน์หมายเลข 7 ในวันนั้น
ฉันบอกไม่ได้ว่าตัวเองสนใจอะไร แต่ต้องบอกว่าลู่ป่ายถงทำสำเร็จแล้ว
ฉันนัดเจอเขาวันนี้ตอนบ่ายสาม พอบ่ายสองโมงฉันก็ออกจากบ้าน
"ซูยุ่น"
ลู่ป่ายถงมาถึงนานแล้ว เขายิ้มให้ฉัน แตาฉันกลับยิ้มไม่ออก "คุณลู่ ฉันไม่เข้าใจเจตนาของคุณ"
เขายิ้ม "ไม่ได้มีเจตนาอะไร เพียงแค่อยากให้ของขวัญ เธอวางใจเธอ ผมลบรูปนี้ทิ้งไปแล้ว รูปนี้จะไม่มีอีก ผมแค่อยากเจอญาติเท่านั้น"
ฉันถอนหายใจ วันนี้ที่ออกมาเจอลู่ป่ายถง ก็กลัวว่ารูปที่เขามีจะนำปัญหามาให้ลู่จือสิง
"ฉันไม่คิดว่าเราสองคนมีเรื่องอะไรต้องเจอกัน"
เขาไม่พูดอะไร แต่ส่งตั๋วใบหนึ่งให้ฉัน "ผมรู้ว่าคุณเป็นคนฉลาด ลี่เป็นเงินห้าสิบล้าน ผมอยากซื้อหุ้นในมือคุณทั้งหมด"
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ฉันถึงได้รู้สึกว่าช่างน่าขำ "คุณลู่ คุณดูถูกฉันมาเกินไปแล้ว ฉันไม่ได้ต้องการชีวิตที่ยิ่งใหญ่หรือร่ำรวย ฉันกลับรู้สึกกลัวมัน"
ลู่ป่ายถงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากที่ฉันเข้าใจจุดประสงค์ของเขา ฉันจึงไม่ได้อยากจะพูดคุยกับเขาต่อ "ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อน"
"เดี๋ยวก่อน"
ฉันหันกลับไปมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ "คุณลู่คงจะไม่บอกว่าในมือคุณยังมีรูปอีกหรอกนะ"
"คุณต้องการเท่าไหร่"
ที่แท้ก็ยังไม่ยอมแพ้ ฉันยิ้ม "ขอโทษด้วย คุณลู่ ฉันรู้สึกว่าหุ้นในมือฉันค่อนข้างมีค่า"
"ผมได้ยินมาว่าคุณกำลังจะหย่ากับลู่จือสิง"