หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ - ตอนที่ 103 คนนั้นใช่ลู่จือสิงหรือป่าว?
ฉีซิ่วหรานมองมาที่ฉันจนฉันไม่กล้าหลบสายตา
ฉันส่ายหัวแล้วบอกไปว่า “ตั้งแต่ออกจากเมื่องนี้ฉันก็ไม่คิดจะกลับมาอีกแล้ว”
ถ้าไม่ใช่เพราะลู่จือสิงแกล้งฉัน ทั้งชีวิตนี้ฉันก็ไม่มีวันกลับมาที่นี้ อย่างนี้ก็ไม่ต้องเจอหน้าลู่จือสิงไปตลอดชีวิตไง
ฉันยอมรับลู่จือสิงตายยากจริง ผ่านไปตั้งปีหนึ่งแล้ว ยังอยู่ในใจฉันเหมือนเดิม ไม่ก็เพราะฉันมันกาก ผ่านมาตั้งปีหนึ่ง ยังไม่เคยเอาลู่จือสิงออกจากใจได้สักที
“ดึกแล้ว กลับไปพักผ่อนเหอะ”
ฉันคิดว่าเขาจะพูดอะไรต่ออีก แต่กลับไม่พูดเพียงแค่เอามือมาลูบหัวฉัน
มันทำให้ฉันตกใจเล็กน้อย ฉันเตรียมพร้อมที่จะตอบคำถาม'เป็นแฟนกันไหม'แต่เขากลับบอกให้ฉันไปพักผ่อนได้แล้ว
เขาน่าจะดูออกว่าฉันกำลังกังวลอะไร ละเขาก็พูดเสริมอีกว่า “ไม่ต้องคิดมาก กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้บินเช้าเลยนะ ”
ความคิดเมื่อกี้ทำให้รู้สึกว่าร้อนไปทั้งหน้า ลุกขึ้นโดยไม่กล้าสบตาเขาแล้วเดินออกไป
นี้ฉันกำลังคิดอะไรอยู่เนี้ย!!
เพียงเพราะถูกลู่จือสิงทำแบบนี้ใส่ เลยจะตอบรับฉีซิ่วหรานเหรอ?
การกระทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมนะ ฉันบ้าไปแล้วจิงๆ
ฉันยกมือตีหัวเบาๆ ฉันจะไม่ยอมให้ตัวเองคิดเรื่องแบบนี้อีก
เพราะว่าต้องรีบกลับไป ฉันให้ฉีซิ่วหรานจองตั๋วของเมืองDตอนเช้าสิบโมง ดังนั้นวันที่สองก็ตื่นเช้าเตรียมตัวไปเลย
ก่อนที่จะขึ้นเครื่อง ฉันอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง
ปีก่อนฉันก็เป็นเช่นนี้ ตอนนั้นคิดว่าจะไม่ได้กลับมาอีก แต่ก็ถูกลู่จือสิงบังคับให้กลับมาอีกครั้ง
แต่ฉันแน่ใจว่าการกลับไปครั้งนี้ จะไม่มีทางกลับมาอีกต่อไป
"ไปเถอะ!"
ฉีซิ่วหรานสกิดฉันเบาเบา ฉันจึงหันกลับมา แล้วเดินไปขึ้นเครื่อง
เมื่อเครื่องบินออก ฉันหลับตาลงเอียงหัวไปด้านที่ ฉีซิ่วหรานมองไม่เห็น ว่าน้ำตาฉันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะตัดลู่จือสิงออกจากใจ
กลับมาถึงเมืองD ฉันพุ่งเข้าไปหาเป้ยเปยทันที
และพาเป้ยเปยไปบ้านฉีซิ่วหรานบ่อยๆจนลืมเรื่องแหวนไป
ถ้าไม่ติดอยู่ว่าทนายความของลู่จือสิง โทรมาหาฉัน ฉันคงลืมเรื่องนี้ไปสนิท
ผ่านไปหนึ่งเดือน ทนายความลู่จือสิงโทรมาอีกครั้ง
ฉันเข้าใจความหมายของลู่จือสิง เขายอมรับเงินที่ฉันเสนอไป
ราคาของแหวนสองแสนกว่า แต่เนื่องจากมีความสำคัญเป็นพิเศษ เลยให้ฉันคืนสามแสนกว่า
สำหรับเรื่องนี้ ฉันไม่มีข้อต่อรองใดๆ ฉันก็โอนเงินไปให้เขาในวันนั้นเลย
เดินทีฉันคิดว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว คาดไม่ถึงว่าฉันไปคิดไปเอง
วันนี้ฉันกับฉีซิ่วหรานพาเป้ยเปยไปฉีดวัคซีน ฉัมองไปมีคนคนหนึ่งยืนอยู่ ท่าทางเหมือนลู่จือสิงมาก
เดือนธันวาของเมืองDหิมะก็เริ่มตกแล้ว เมื่อคืนนี้เป็นหิมะครั้งที่สองในเมือง D
ใต้ตึกบ้านฉันมียามเฝ้าตลอด และยังต้องสแกนลายนิ้วมือถึงจะเข้าได้ และลู่จือสิงเข้าไม่ได้หรอกเพราะไม่ได้ลงทะเบียนลายนิ้วมือไว้
ตอนที่ฉันเห็นเขา ฉันคิดว่าฉันตาฝาด :"ฉีซิ่วหราน คุณดูสิว่าคนนั้นใช่ลู่จือสิงหรือป่าว?"
"ใช่"
ฉันเพิ่งถามจบฉีซิ่วหรานก็ตอบฉันอย่างรวดเร็ว และเขาก็สังเกตเห็นลู่จือสิงด้วย
ฉันมองมาที่เป้ยเปยรู้สึงกังวล:"ทำไงดี ถ้าเขาเห็นพวกเรา เป้ยเปย……"
ฉีซิ่วหรานหันมาหาฉัน:"ไม่เป็นไร ฉันพาเป้ยเปยกลับก่อน ลู่จือสิงคงไม่เห็นเหรอ"
คิดไปคิดมามีทางเดียวเท่านั้น:"งั้นฉันล่อเขาออกไปก่อน"
ฉีซิ่วหรานพยักหน้าแล้วอุ้มเป้ยเปยไปจากฉัน:"มีอะไรก็โทรมานะ"
"ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีอะไรหรอก"
ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ทำไม สำหรับฉันแล้วแค่เขาไม่เห็นเป้ยเปยก็ดีมากแล้ว ไม่มีเรื่องไหนสำคัญเท่าเรื่องนี้แล้ว
หลังจากซิ่วหรานพาเป้ยเปยกลับแล้ว ฉันก็เปิดประตูลงจากรถ
ไม่เจอกันเดือนกว่า ผมของเขายาวขึ้นนิดหน่อย สวมเสื้อยืดยาวสีดำและเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ ไม่รู้ว่ายืนนานแค่ไหนแล้ว บนเสื้อของเขาเต็มไปด้วยหิมะ
เขามีบุหรี่อยู่ในมือและมองเข้าไปข้างๆ ก็มีก้นบุหรี่ยี่ห้อเดียวกันหลายอันวางอยู่บนที่เขี่ยบุหรี่
"คุณมานี้ทำไม!!"
ฉันเก็บอารมณ์แล้วเข้าไปหาเขา เขาเงยหน้าขึ้นมา สายตาเต็มไปด้วยความหนาวเย็น:"มาหาแหวน"
"ฉันคืเงินคุณแล้วไง!"
"นั้นคือของที่ยายเก็บไว้ให้ฉัน ให้แค่คนในตะกูลลู่เท่านั้น เธอคิดว่าเงินหลักแสนจะแก้ไขทุกอย่างให้กระจ่างได้จริงหรอ?"
คำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี :"ลู่จือสิง ??นี้คุณหมายความว่ายังไง คุณแกล้งฉันแบบนี้ มันทำให้คุณมีความสุขเหรอ? หรือว่าเบื่อมาก เลยไม่อยากให้ฉันมีชีวิตที่ดีใช่ไหม?"
เขามองมาที่ฉันด้วยสายตาที่แวววาว:"ฉันขอขึ้นไปหาแปปนึงได้ไหม แหวนวงนั้นยายผมเก็บไว้ให้ภารยาในอนาคตของผม แต่ตอนนี้มันหายแล้ว ผมรู้สึกผิดต่อยาย"
ฉันเป็นคนที่อ่อนไหวง่าย โดยเฉพาะลู่จือสิง ถ้าเขาเล้าโลมฉันในตอนนี้ ฉันไม่มีทางเปิดประตูก็ให้เข้าแน่นอน
เขาพูดดีๆแบบนี้กันฉัน จนฉันพูดอะไรไม่ออก ฉันก็ยอมทำตามที่เขาขอ
"คุณกังวลอะไร ซูยุ่น?"
คำพูดแบบนี้อีกแล้ว ฉันแค่รู้สึกตลก:"ไม่มีอะไรให้รู้สึกกังวล"
"งั้นคุณก็ให้ผมขึ้นไปสิ!"
ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากให้เขาขึ้นไป แต่ในห้องเต็มไปด้วยของของเป้ยเปย ถ้าฉันให้เขาขึ้นไปฉันไม่รู้จะอธิบายยังไง
เห็นฉันลังเล สีหน้าของลู่จือสิงก็เปลื่ยน:"ในบ้านฉันมีแขก ฉันไม่สะดวกเท่าไหร่"
ฉันเม้มปากไม่พูดอะไร
เขาหัวเราะเยาะ:"ซูยุ่น ผมเดินทางมาทำธุระ แล้วก็ว่าจะมาหาดู บ้านเธอมีคนหรือไม่มีมันไม่เกี่ยวกับผมนะ เราเลิกกันแล้ว คุณจะคิดอะไรเยอะ?"
ยิ่งพูดกับเขายิ่งไม่รู้เรื่อง ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ :"ฉันให้เวลาคุณแค่ครึ่งชั่วโมงนะ"
เป้ยเปยคงจะหิวแล้วแหละ ฉันยังต้องให้นมอีก
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร สีหน้าลู่จือสิงดูไม่ค่อยดี
ฉันสแกนลายนิ้วมือ แล้วรอลิฟต์ลงมา
เป้ยเป้ยโตขึ้นเรื่อยๆ ของเล่นที่ฉันกับฉีซิ่วหรานซื้อก็มากขึ้น ดีนะที่ก่อนออกมาฉันเก็บกวาดแล้ว
ระหว่างขึ้นไป ฉันและลู่จือสิงไม่ได้พูดคุยอะไรเลย
พอเปิดประตู ฉันหันไปหาแล้วเขา:"ฉันให้เวลาคุณแค่ครึ่งชั่วโมงนะ"
เขามองฉันแล้วถามว่า:"ห้องนอนเธออยู่ไหน?"
ฉันชี้ไปที่ห้องนอน แต่ไม่ได้ตามเขาไป
รู้สึกไม่ค่อยไว้ว่างใจสะเท่าไหร่เลยตามเข้าไปดู
ตอนที่ฉันเข้าไปเขายังไม่ลงมือหา เพียงยืนเฉยๆอยู่ข้างเตียงเด็ก
ฉันตกใจมาก รีบเดินเข้าไปหาเขาแล้วทำตัวนิ่งเข้าไว้:"คุณยังไม่เริ่มหาอีกเหรอ ตอนที่ฉันมาคุณก็……"
"ทำไมถึงมีเตียงเด็ก?"