ลำนำพระเจ้าขวดโหล - ตอนที่ 5 เก้าบรรณารักษ์
“เราคือพระเจ้า” เธอกล่าว
“ท่านกล่าวความเท็จ” เขาเอ่ย
“เรามิอาจกล่าวความเท็จ” เธอแย้ง
“เช่นนั้น ความใดเล่าที่ท่านกล่าว” เขาถาม
“ความนั้นคือ—”
“ผู้ดูแลหอสมุดมีกฎที่ต้องปฏิบัติตามอยู่สิบข้อด้วยกัน”
ทันทีที่ปืนถูกลั่นไก เสียงปรบมือก็ดังขึ้นหนึ่งครั้ง
เสียงปรบมือหนึ่งครั้งจากคนหนึ่งคน
เสียงปรบมือนั้น หยุดเวลาเอาไว้
“…..ก็บอกแล้วว่าอย่าเอาขนมปังคนอื่นไปโดยพลการ”
คนที่ทำแบบนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเด็กผู้ชายที่อยู่กลางวงทะเลาะของสองคนก่อนหน้านี้
เด็กผู้ชายในเครื่องแบบนักเรียนเซนต์เอลิยา ส่วนสูงไม่มากนัก บุคลิกท่าทางเหมือนเด็กเกเร เส้นผมสีดำแซมขาวเด่นสะดุดตา ในอ้อมอกมีถุงขนมปังฝรั่งเศสจากร้านฮอปส์คิน แววตาดูไม่สบอารมณ์นัก
เด็กชายหยิบขนมปังออกจากมือของลุงเจ้าของร้าน จากนั้นจึงเอ่ยปากพูด
“เป็นนายอีกแล้วสินะ ยัยนั่นไปไหนซะล่ะ”
เด็กชายพูดในขณะที่กำลังฟาดขนมปังฝรั่งเศสไปยังหลังคอของนักเลง
“หืม ยังไม่ได้เจอยัยนั่นอีกเหรอ แปลกแฮะ” เด็กชายหันมาพูดกับผม จากนั้นจึงลากร่างนักเลงที่ไร้สติไปกองไว้กับพื้น
“ผู้ดูแลหอสมุดมีกฎที่ต้องปฏิบัติตามอยู่สิบข้อด้วยกัน”
เด็กชายไหว้แล้วจุดไฟเผาร่างของนักเลงนั้นจนเป็นผงธุลี
“น่ารำคาญชะมัด แผนนั่นจะใช่ได้จริง ๆ เหรอ” เด็กชายพึมพำกับตัวเอง
“เฮ้อ…..สัญญาต้องเป็นสัญญาสินะ” เด็กชายถอนหายใจ “กฎข้อแรกของหอสมุดคือต้องแนะนำตัวกับคู่สนทนา”
เด็กชายเดินมาตรงหน้าผม
“เจอกันครั้งที่สิบสามแล้วนะ ฉัน โอเทลโล” เด็กชายแนะนำตัวเองแบบส่ง ๆ ‘วันนี้ผิดกฎไปสี่ข้อ โดนยัยนั่นเอาตายแน่’ เด็กชายบ่นกับตัวเองแล้วเดินจากไปมีเสียงปรบมือดังขึ้นอีกหนึ่งครั้ง และแล้ว ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ
.
.
.
.
.
เมื่อกี้มัน…..
“ลัวร์? ลัวร์? ได้ยินฉันไหม นี่! ลัวร์?”
แมรีที่ก่อนหน้านี้วิ่งไปบังกระสุน ตอนนี้กลับมาอยู่ที่เดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จะฝูงชนที่รุมล้อม นักเลงที่เข้ามาหาเรื่อง หรือแม้แต่เจ้าของร้านขนมปังคู่กรณี ทั้งหมดหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ-อื้ม ได้ยินแล้ว ขอโทษที” ผมตอบแมรีไปทั้งที่ตัวเองยังสับสนอยู่
“ฉันเป็นห่วงแทบแย่ อยู่ ๆ นายก็ยืนตัวแข็งไปแบบนั้น คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นซะอีก” แมรีแสดงสีหน้าโล่งใจออกมา
สรุปเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…..หรือว่าจะเป็น…..ภาพหลอน?
“ที่นี่คือบ้านของฉันเอง! ร้านขนมปังอันดับหนึ่งในย่านนี้ ส่วนนี่พ่อฉัน มาริโอ ฮอปส์คิน พ่อ นี่เพื่อนใหม่หนูเอง ชื่อลัวร์ นามสกุลซันดรา”
แมรีลากตัวผมเข้าไปในร้านขนมปัง ที่เคาน์เตอร์ร้านมีคุณลุงคนนั้นยืนรอต้อนรับลูกค้าอยู่ เป็นพ่อของแมรีอย่างที่คิดไว้เลย
คุณลุงที่เป็นพ่อของแมรีพอได้ยินชื่อของผมก็ตากระตุกแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ มีแค่ตอบรับด้วยคำว่า ‘อืม’ แล้วก็เงียบไป คงจะไม่ใช่คนที่มนุษยสัมพันธ์ดีเท่าไหร่นัก ไม่ต่างกับผมหรอก
ผมกล่าวทักทายไปตามมารยาท แต่คุณลุงทำเป็นไม่ได้ยิน
โกรธอะไรผมหรือเปล่านะ
“อย่าถือสาพ่อฉันเลยนะ เขาก็เป็นแบบนี้แหละ” แมรีพูดระหว่างที่เดินไปหยิบขนมปังฝรั่งเศสที่อยู่ในตู้กระจก “พ่อ อันนี้หนูขอนะ ถือซะว่าเป็นสินค้าตัวอย่างสำหรับลูกค้าประจำในอนาคต”
“เอาไปเถอะ ยังไงก็ขายไม่ออกอยู่แล้ว วันนี้เจ้าหนูนั่นก็คงจะไม่มาแล้วล่ะ” คุณลุงตัดพ้อ
“เจ้าหนูนั่น? พ่อหมายถึงเด็กที่ย้อมสีผมแปลก ๆ คนนั้นเหรอ”
“จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ มีแต่เจ้าหนูนั่นแหละที่ซื้อขนมปังฝรั่งเศสร้านเรา”
เด็กคนนั้นหมายถึงคนก่อนหน้านี้สินะ ที่ชื่อ…..
ชื่อ…..
ชื่อ…..?
ชื่ออะไรนะ?…..นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
แล้วก่อนหน้านี้…..มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า
ผมมาที่นี่กับแมรี รู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น
แต่เกิดอะไรขึ้นล่ะ?
ทำไมแมรีถึงทักว่าผมยืนเหม่ออยู่คนเดียวล่ะ?
เดี๋ยวนะ…..มีแค่ผมกับแมรีที่มาตลาดด้วยกันเหรอ?
ทำไมรู้สึกเหมือนว่า…..มีอะไรขาดไป—
“ลัวร์! เป็นอะไรไปน่ะ สีหน้าดูไม่ดีเลย”
“เอ๊ะ!?”
ที่นี่มัน…..ที่ห้องพัก
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ก่อนหน้านี้ยัง…..
“ตั้งแต่กลับมาที่หอฉันเห็นนายนั่งเหม่ออยู่ตลอดเวลาเลย ที่ย่านการค้ามันมีอะไรเหรอ”
ผม? นั่งเหม่อ? ที่หอพัก? ไม่สิ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงจำเรื่องอะไรก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยล่ะ
“เอาเถอะ ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องส่วนตัวของนายหรอก เอาเป็นว่า…..ถ้ามีปัญหาอะไรก็ปรึกษากันได้นะ อย่างน้อยเราก็เป็นรูมเมตกัน อ้อ! แล้วก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกันด้วย”
น้ำเสียงของเจมส์ทำให้ผมผ่อนคลายลงได้บ้าง
“ถ้ายังไงก็นอนก่อนเถอะ เดี๋ยวตื่นมาเรื่องร้าย ๆ ก็หายไปเอง” พูดจบ เจมส์ก็ปิดไฟ
ทั้งห้องมืดสนิท ให้ความรู้สึกวังเวงจนน่าขนลุก
แว็บนึงในความมืดนั้น สมองผมพลันคิดไปถึงเหตุการณ์อะไรสักอย่างในย่านการค้า
ผมเดินเข้าไปในร้านขนมปัง
เดินลึกเข้าไปในส่วนที่ไม่ใช่หน้าร้าน
ค่อย ๆ เดินเข้าไป
ทันใดนั้น ก็รู้สึกราวกับว่ามีสายตานับพันจ้องมองอยู่ในความมืด
รู้สึก…..ราวกับว่าที่นี่ยังมีใครอื่นอยู่อีก
ผมล้มตัวลงนอน แต่พยายามเท่าไหร่ก็หลบตาไม่ลง
‘อีกสิบสองวัน’ เสียงกระซิบที่คุ้นเคยแว่วเข้าหูมา เสียงระฆังดังก้องบอกเวลาเที่ยงคืน
และแล้วค่ำคืนนี้ก็ผ่านพ้นไป
“จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า”
“ขอข้าวขอแกง”
“ขอแหวนทองแดง”
“ผูกมือน้องข้า”
“จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า”
“ใครขอข้าวขอแกงท้องแห้งหนอ”
“ร้องจนเสียงแห้งแหบถึงแสบคอ”
“จันทร์จะขอให้เราก็เปล่าดาย”
“จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า”
“จันทร์เจ้าจัญไร”
“ข้าวแกงมิให้”
“จันทร์ไยใจดำ”
[มุมมองโอเทลโล.]
วันจันทร์ 1 พฤษภาคม ค.ศ.25xx
“—สำหรับพิธีปฐมนิเทศนักเรียนใหม่ก็จบลงเพียงเท่านี้ ต่อไปจะเป็นการมอบเข็มกลัดนักบุญมัวร์เตแก่นักเรียนที่ได้รับเลือกทั้งสองท่าน ขอเชิญนักเรียนมัธยมต้นปีหนึ่งห้อง F และนักเรียนมัธยมปลายปีหนึ่งห้อง A ที่ถูกรับเลือกก้าวขึ้นมาบนเวที ณ บัดนี้”
…..ครั้งที่สิบสาม
…..ครั้งที่สิบสามแล้วที่ต้องมาฟังอะไรซ้ำซากแบบนี้ ชาติที่แล้วฉันไปก่อกรรมอะไรไว้กัน
“ผู้ดูแลหอสมุดเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติ จงปฏิญาณตนต่อท่านอัครสาวก—”
ป้านี่ก็พล่ามอะไรไปเรื่อย จะพูดอะไรนักหนา เซนต์เอลิยาสมัยที่ตาแก่นั่นเป็น ผอ. ไม่เห็นต้องมีพิธีอะไรมากมายแบบนี้เลย
น่าเบื่อ จบจากพิธีก็ต้องไปแนะนำตัวกับพวกรุ่นพี่อีก
หอสมุดนักบุญมัวร์เตเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับเซนต์เอลิยา สมัยนั้นฉันทำงานเป็นอาจารย์ที่นี่ควบคู่ไปกับการเป็นนักวิจัย ส่วนไซโนะก็เป็นใครไม่รู้ที่ไปดีลกับตาแก่เพื่อสร้างหอสมุดของตัวเองขึ้นมา ฉันรู้จักกับไซโนะตั้งแต่ก่อนยัยนั่นก่อตั้งหอสมุดซะอีก
“‘หอสมุดนักบุญมัวร์เตเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับเซนต์เอลิยา สมัยนั้นฉันทำงานเป็นอาจารย์ที่นี่ควบคู่ไปกับการวิจัยเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ส่วนไซโนะก็เป็นใครไม่รู้ที่ไปดีลกับตาแก่เพื่อสร้างหอสมุดของตัวเองขึ้นมา ฉันรู้จักกับไซโนะตั้งแต่ก่อนยัยนั่นก่อตั้งหอสมุดซะอีก’ คิดอะไรแบบนี้อยู่เหรอเด็กใหม่~” ผู้ดูแลหอสมุดคนหนึ่งพูดความคิดของฉันออกมา
มัธยมต้นปีสองห้อง D อันโตนิโย ชื่อจริง ๆ คืออันโตนิโย เวเนติคัส เป็นพวกชอบพูดจายั่วโมโห เจอกันครั้งที่สิบสามแล้วก็ยังทำให้ฉันฉุนได้อยู่ จุดเด่นของคนคนนี้คือตาจิ้งจอกกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดูยังไงก็ไม่น่าไปคบด้วย
ทีแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงพูดความคิดคนอื่นออกมาได้ตรงขนาดนั้น ก็เลยลองแอบสืบดูถึงได้รู้ว่าไซโนะเลือกคนแบบไหนมาเป็นผู้ดูแลหอสมุด
เงื่อนไขที่หนึ่ง ผู้ดูแลหอสมุดจะต้องมีความเป็นเลิศด้านใดด้านหนึ่งจนถึงขีดสุด อย่างหมอนี่ถึงจะพูดจาน่าถีบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าจำเป็นก็สามารถพูดหว่านล้อมคนอื่นได้อย่างกับมีวาจาสิทธิ์
เงื่อนไขที่สอง ผู้ดูแลหอสมุดจะต้องมีความสามารถพิเศษบางอย่าง ความสามารถที่มนุษย์ปกติไม่น่าจะมีได้ ความสามารถของหมอนี่คือการอ่านใจ เป็นความสามารถที่น่ารังเกียจ—
“แหม~น่ารังเกียจก็แรงไปหน่อยมั้ง”
หุบปากไปเลย
ถึงจะบอกว่าความสามารถพิเศษแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นพลังเหนือธรรมชาติอะไรแบบนั้น ก็แค่พวกที่ฉลาดด้านนึงมาก ๆ จนดึงศักยภาพของร่างกายออกมาจนสุด การอ่านใจก็แค่การสังเกตเดาความคิดคนนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าจะได้ยินเสียงความคิดคนอื่นสักหน่อย แบบนั้นมันจะมีที่ไหน
ใช่ไหมล่ะ
…..ใช่ไหม?
อันโตนิโยเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
…..และเงื่อนไขสุดท้าย เงื่อนไขที่สาม ผู้ดูแลหอสมุดทุกคนจะต้องเกี่ยวข้องกับความเป็นและความตาย
“โอเทลโล” ผู้ดูแลหอสมุดอีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงชวนหลับ “ทำตัวให้สมเป็นเด็กหน่อย”
มัธยมปลายปีหนึ่ง ห้อง A แฮมเลต ชื่อจริง ๆ คือฮาเมโลเทีย แอนเดอร์สัน เป็นพวกทำตัวเบื่อโลก เข้าเป็นผู้ดูแลหอสมุดพร้อมกับฉันและสังเกตเห็นตัวจริงของฉันตั้งแต่แรก จุดเด่นของเธอคือแว่นกลมหนาเตอะ ตาลอยเหมือนคนไม่ได้นอน ผมกระเซอะกระเซิง โดยรวมเหมือนกับคนเพิ่งตื่นนอนแบบไม่เต็มอิ่ม
ส่วนเรื่องความเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ต้องเกริ่นก่อนว่าแอนเดอร์สันเป็นตระกูลเก่าแก่ที่คนเชื่อว่าเป็นตระกูลต้องสาป ไม่เคยมีเด็กผู้หญิงคนไหนที่เกิดมาในตระกูลนี้แล้วจะอยู่ได้เกินขวบเลย แฮมเลตเป็นคนแรกที่ทำลายความเชื่อนี้
หรือไม่ เธอก็อาจจะไม่ใช่เด็กของบ้านแอนเดอร์สัน
เดาว่าการโกงความตายทำลายมายาคติของเธอไปต้องตาให้ไซโนะเลือกมาเป็นหนึ่งในผู้ดูแลหอสมุด
ความสามารถของแฮมเลตคือการมองเห็นอดีตของคนอื่น มองเห็นว่าคนคนนั้นเคยผ่านอะไรมาแล้วบ้าง ไม่ใช่แค่ในชาตินี้แต่รวมถึงชาติก่อน ไม่ได้รวมแค่จักรวาลนี้แต่รวมถึงจักรวาลคู่ขนาน ต่อให้ความทรงจำของใครจะถูกลืมด้วยเหตุผลทางเทคนิก แฮมเลตก็จะเป็นคนเดียวที่เห็นความทรงจำนั้น
เพราะงั้น ถึงการย้อนเวลาจะเป็นการลบความทรงจำของผู้ไม่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาก่อนย้อนมาก็เหมือนเขียนความทรงจำที่ถูกลบทับกลับไปอยู่ดี
ก็…..ไม่ใช่ความสามารถเหนือมนุษย์เท่าไหร่ ในบรรดาผู้ดูแลหอสมุดทุกคน แฮมเลตเป็นคนที่ดูเหมือนบรรณารักษ์มากที่สุดแล้วด้วย จะเดาอดีตคนคงไม่ยากเท่าไหร่หรอก อ่านหนังสือมากขนาดนั้นคงจะมีประสบการณ์เรื่องนี้บ้างแหละ
…..แล้วก็อาจจะแค่โชคดีที่เดาถูก ต่อให้เดาไม่ถูกเจ้าตัวก็คงไม่รู้อยู่ดีใช่ไหมล่ะ ไม่มีใครในโลกนอกจากฉันที่รู้อดีตชาติตัวเองสักหน่อย
“รุ่นน้องสินะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมโรเมโอ อยู่ปี 3 ห้อง E เป็นหัวหน้าผู้ดูแลฝั่งมัธยมต้น”
ผู้ดูแลคนถัดมา ลูกรักไซโนะ โรเมโอ ราเมลอตต์ แมคเคอร์เบล ดูเป็นผู้เป็นคนมากที่สุด แต่งตัวดี บุคลิกสุภาพ ได้ยินว่าเก่งไปหมดทุกด้านขนาดที่ว่าไม่ต้องเข้าเรียนก็ยังได้เป็นอันดับหนึ่งของสายชั้น แต่เทียบกับผู้ดูแลคนอื่น โรเมโอดูธรรมดาจนเหมือนไม่มีจุดเด่นอะไรเลย
หรือควรจะเรียกว่าเหมือนคนปกติดี
ความสามารถของโรเมโอคืออะไรเจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ แต่ฉันรู้ และทุกคนก็น่าจะรู้
ว่ากันว่าถ้าสัมผัสทั้งห้ามันไม่เพียงพอสำหรับคนที่สมองพัฒนาเหนือมนุษย์ไปแล้ว สัมผัสที่หกก็จะเด่นชัดขึ้น โรเมโอคนนี้ก็น่าจะเป็นกรณีนั้นแหละ
สัมผัสที่หกจะทำให้เห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็น รู้อะไรที่ไม่ควรจะรู้ ได้ยินอะไรที่ไม่ควรจะได้ยิน พวกภูตผีวิญญาณจะปรากฏให้เห็นเป็นช่วง ๆ ไม่ชัดเจนนัก แต่กับคนที่มีสัมผัสที่หกเป็นสัมผัสหลักแบบโรเมโอ เหมือนว่าจะเห็นทั้งหมดนั้นแบบชัดเจนถึงขั้นสัมผัสและสื่อสารด้วยได้ด้วย อย่างกับใช้ชีวิตอยู่คนละมิติกับมนุษย์ทั่วไป
นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่เจ้าตัวแยกไม่ค่อยออกว่าไหนผีไหนคนจนไม่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถอะไรกันแน่
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไซโนะถึงอยากได้คนคนนี้ไว้ใกล้ตัว เหมือนจะได้ยินว่ากำลังปั้นเด็กนี่เป็นยมทูตประจำหอสมุดหลังจากตัวเองเกษียณด้วย
เหอะ อย่าหวังซะให้ยาก คนเป็นยัยนั่นไม่มีทางได้เกษียณหรอก หนี้ก็ยังจ่ายเขาไม่ครบ
พูดถึงเรื่องยมทูต ตามสามัญสำนึกของมนุษย์ทั่วไปก็น่าจะรู้ว่าคืออะไร แต่ยมทูตไม่ปรากฏตัวให้คนเป็นเห็นหรอก
ยมทูตมีด้วยกันสามประเภท หนึ่งคือยมทูตที่ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาร อธิบายง่าย ๆ ก็เหมือนคนส่งจดหมายที่จะเอาจดหมายไปส่งหน้าบ้านคนใกล้ตายอะไรแบบนั้น
สองคือยมทูตที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำวิญญาณ จะเป็นเหมือนคนขับรถเอาวิญญาณคนตายไปส่งนรก ส่วนใหญ่จะทำงานให้วิญญาณที่ดี
และสุดท้ายคือยมทูตที่ทำหน้าที่เป็นมือปราบวิญญาณ เป็นเหมือนตำรวจที่คอยจับตัววิญญาณร้ายไปส่งนรกในกรณีที่ผู้นำวิญญาณไม่สามารถรับมือได้
ไซโนะก่อนที่จะมาเป็นบรรณารักษ์หอสมุดเคยทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาร แต่แทนที่จะเอาสารไปส่ง เธอดันล่อคนใกล้ตายไปหาแทน
ไซโนะเคยเปิดร้านหนังสืออยู่ช่วงหนึ่ง เป็นร้านหนังสือที่มีเฉพาะคนใกล้ตายจะได้เห็น แน่นอนว่าฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงจะไม่ได้ตายทันทีเหมือนกับรายอื่น ๆ ก็เถอะ แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็โดนลอบยิงด้วยเหตุผลทางการเมือง อันที่จริงก็มีลางอะไรแบบนี้มาตั้งนานแล้วด้วยแหละ เรื่องที่ฉันวิจัยออกจะสุ่มเสี่ยงขนาดนั้น
กลับไปที่ร้านหนังสือของไซโนะ ได้ยินมาว่าทำคนตายไปเยอะจนโดนวิญญาณเอาเรื่องไปฟ้องศาลสูงในนรกจนโดนปรับเป็นสถานะบุคคลล้มละลายเพราะแพ้คดี ร้านหนังสือก็เลยต้องปิดไปแล้วหันมาพึ่งใบบุญของโรงเรียนเปิดใหม่แทน แถมยังโดนห้ามทำงานผู้ส่งสารอีกต่อไป ก็เลยต้องผันตัวไปเป็นผู้นำวิญญาณควบตำแหน่งมือปราบ กลายเป็นงานหนักกว่าเดิมสองเท่า
พูดในภาษามนุษย์ก็คือบุคคลล้มละลายที่ต้องทำพาร์ทไทม์จ่ายหนี้ประทังชีวิตไปวัน ๆ นั่นแหละ
นอกจากไซโนะ เหมือนจะได้ยินว่าชาร์เลอมาญจน์ก็เคยทำงานเป็นยมทูตมือปราบ แต่เกษียณแล้วมาสอนหนังสือที่นี่แทน
ตอนนี้เหลือผู้ดูแลหอสมุดอีกสองคนที่ยังไม่ได้ไปทักทาย
คนแรก ปี 5 ห้อง D แม็คเบ็ธ อีกชื่อคือเบียร์ทริซ ทรอย พวกลูกคุณหนูผมเกลียวที่เห็นได้ทั่วไปในการ์ตูน พ่อเป็นนักการเมือง ลุงเป็นนักการเมือง ปู่ที่ตายไปแล้วก็เป็นนักการเมือง เป็นตระกูลนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลในประเทศ
ความสามารถของเธอคนนี้คือการมองเห็นอนาคต ถึงแม้ว่าอนาคตไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ก็เถอะ ไม่รู้ว่าจะเห็นไปทำไม ไร้ประโยชน์สิ้นดี
สิ่งที่เธอคนนี้กำลังมองเห็นคืออนาคตของพ่อกับลุงของตัวเองในอีกประมาณสองสัปดาห์ข้างหน้า ทั้งสองคนจะไปขอพรที่ศาลเจ้าดังแห่งหนึ่ง แล้วก็จะโดนวางยาพิษจนตายทั้งคู่
เธอพยายามจะเก็บอาการและความรู้สึกในใจจากการเห็นอนาคตนั้นเอาไว้ แต่ก็ปิดไม่มิด ทุกอย่างมันแสดงออกมาทางสีหน้าหมดแล้ว
ไม่ใช่ความเสียใจ แต่เป็นความเปี่ยมสุข
พ่อกับลุงของตัวเองกำลังจะตายแต่คนเป็นลูกกลับรู้สึกดีใจ ฉันยังไม่ได้สืบว่าเกิดอะไรขึ้นภายในครอบครัวนี้ แต่คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ
“…..ขอให้ผู้ดูแลหอสมุดทุกท่านมีสัมพันธ์อันดีต่อกันนะคะ สำหรับวันนี้เอาไว้เท่านี้ ทุกท่านออกไปจากห้องได้ ยกเว้นคุณโอเทลโลและคุณเลียร์ ทั้งสองคนรออยู่ก่อนนะคะ” ยังไม่ทันได้แนะนำตัวครบทุกคนไซโนะก็พูดขึ้น
“เอ๋~คุณไซโนะคร้าบ มีความลับอะไรทำไมถึงคุยกันแค่สามคนล่ะคร้าบ~เดี๋ยวนี้เลือกคน—โอ๊ย ทำอะไรของนายเนี่ย! หยุดนะ” อันโตนิโยทำตัวเหมือนอย่างเคย โรเมโอที่เป็นหัวหน้าทนดูไม่ไหวจนต้องลากตัวเขาออกไป “ขอโทษคุณไซโนะด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” โรเมโอโน้มตัวกล่าวขอโทษ
ไซโนะน่าจะชินกับท่าทีแบบนี้แล้วก็เลยไม่ได้ว่าอะไร ส่วนคนอื่น ๆ ก็ออกไปจากห้องกันหมดแล้ว
ได้เวลาเข้าเรื่องแล้วสินะ
“…..ทำไมยังไม่หยุดทำอะไรแบบนี้สักทีคะ คุณเลียร์ คุณโอเทลโล”
“แหม~พูดอะไรของเธอน่ะไซโนะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรสักหน่อย”
“การย้อนเวลาผิดกฎข้อที่หก อย่าคิดว่าไม่รู้นะคะ”
ผู้ดูแลหอสมุดคนสุดท้ายที่กำลังต่อปากต่อคำกับไซโนะอยู่ในตอนนี้คือหัวหน้าของผู้ดูแลหอสมุดทั้งหมด
มัธยมปลายปี 3 ห้อง B ลอร์เรล มาร์กาเรต รู้จักกันในนามเลียร์ หรือกษัตริย์เลียร์ผู้โง่เขลาจากวรรณกรรมเรื่องหนึ่งของเชคสเปียร์
ผู้หญิงคนนี้ฉลาดเป็นกรด แต่แกล้งทำตัวเหมือนไม่รู้อะไร
ความสามารถของเธอคือการสื่อสารกับเทพเจ้า แต่ถ้าแค่สื่อสารเฉย ๆ ก็คงจะเหมือนพวกร่างทรงที่ไม่ได้ทำตัวมีประโยชน์อะไร สิ่งที่เธอคนนี้ทำคือการสื่อสารและต่อรองด้วยอะไรบางอย่างเพื่อใช้ประโยชน์จากเทพที่สื่อสารด้วย
…..หรือไม่ก็อาจเป็นแค่การตีสนิทเป็นเพื่อนแล้วอาศัยความเป็นเพื่อนมาใช้ประโยชน์
แน่นอนว่าการสื่อสารกับเทพต้องมีสื่อกลาง และสื่อกลางเทพก็ไม่ได้หาง่าย ๆ
ทุกคนที่เข้าเรียนที่เซนต์เอลิยาก็คงจะเคยได้ยินชื่อของ ‘สิบสองนักบุญ’ มาบ้าง ที่เห็นชัดน่าจะเป็นชื่ออาคารแต่ละอาคาร
ความจริงแล้ว ถึงจะเรียกว่าสิบสองนักบุญ แต่ก็ใช่ว่าทั้งสิบสองคนจะเป็นนักบุญจริง ๆ
ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดที่แน่ชัดนักหรอก แต่พอจะรู้มาบ้างว่าชื่อของนักบุญแต่ละคนมีที่มาจากอะไร
คนแรกคือเซนต์เอลิยา ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด สันนิษฐานว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้ก่อตั้ง
คนที่สอง เซนต์แพนดอรา แอบไปได้ยินว่ามีวีรกรรมอะไรสักอย่างเกี่ยวข้องกับเซนต์เอลิยา แต่ก็ไม่รู้อะไรมากกว่านั้น
คนที่สาม เซนต์ลูนาร์ เกี่ยวข้องกับเซนต์เอลิยาโดยตรง และเลียร์เคยบอกว่าลูนาร์เป็นชื่อของเทพที่ติดต่อไม่ได้องค์หนึ่ง
คนที่สี่ เซนต์น็อกเทิร์น คนนี้เดาได้ไม่ยาก น่าจะเป็นตัวตาลุงผู้ก่อตั้งเอง
คนที่ห้า เซนต์คลอส รู้จักกันในชื่อซานตาคลอส ดูผ่าเหล่าจากคนก่อนหน้าพอสมควร ไม่รู้เหมือนกันว่าเกี่ยวอะไรกับผู้ก่อตั้ง เดาว่าน่าจะชอบเป็นการส่วนตัว
คนที่หกและเจ็ด เซเลนากับชาร์ลีผู้แสวงบุญ ไม่รู้ว่าเป็นใคร
คนที่แปดและเก้า อาเธนส์และปีเตอร์สเบิร์กผู้สนองบุญ ปีเตอร์สเบิร์กเป็นครูที่ดูแลหอพักรุ่นแรก ฉันรู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัว แต่อาเธนส์…..ไม่ใช่ชื่อของมนุษย์ ในที่นี้อาจจะหมายถึงอะธีนาที่เป็นเทพแห่งปัญญา แต่เลียร์บอกว่าไม่ใช่
อันที่จริงก็พอจะเดาได้อยู่ว่าเป็นใคร…..ที่แน่ ๆ คือเกี่ยวข้องอย่างมากกับหอสมุดนักบุญมัวร์เต
คนที่สิบ เซนต์มัวร์เตหรือซานตามัวร์เต เป็นชื่อของเทพีแห่งความตายในตำนานหนึ่ง อาจจะหมายถึงตัวของไซโนะเอง…..หรือไม่ก็หมายถึงคนเดียวกับอาเธนส์ผู้สนองบุญ ไม่ทราบที่มาแน่ชัด
คนที่สิบเอ็ด เซนต์เอ็ดมุนด์…..□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□
และคนสุดท้าย นักบุญคนที่สิบสอง เซนต์กาเรีย เป็นคนที่เลียร์รู้จักดีที่สุด
เซนต์กาเรียหรือนักบุญกาเรียเป็นชื่อของอาคารมัธยมปลายปีหนึ่ง ภายในอาคารเต็มไปด้วยเครื่องหมายที่เกี่ยวกับเวลา ราวกับว่าเป็นสื่อกลางอะไรสักอย่าง
ตอนที่เรียนอยู่ปีหนึ่ง เลียร์ได้หลงเข้าไปในห้องนาฬิกาโดยบังเอิญ เป็นครั้งแรกที่เลียร์ได้ติดต่อกับเทพ
เทพีแห่งกาลเวลา กาเรีย คือชื่อของเทพองค์นั้น
“การย้อนเวลาไม่ได้ช่วยให้เส้นชะตาของใครเปลี่ยนไปได้ ทราบเรื่องนี้กันดีไม่ใช่เหรอคะ”
“ใครสนล่ะ~ฉันสัญญาไว้แล้วนี่นา แลกกับสื่อกลางสำหรับติดต่อกับเทพดวงจันทร์ คุ้มเห็น ๆ”
“โอเทลโล อย่าคิดว่าเงียบแล้วจะยอมปล่อยผ่านนะคะ สมรู้ร่วมคิดด้วยกันทั้งคู่ รู้ไหมว่ามันเสียหายขนาดไหน”
“ไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อยนี่—”
“ถ้าไม่ยอมรับผิดจะส่งเรื่องที่หนียมทูตมาเกิดใหม่ก่อนเข้ากระบวนการพิพากษาขึ้นศาลนรกนะคะ อุตส่าห์ยอมปล่อยผ่านเพราะเห็นว่าเป็นผู้มีพระคุณ แต่คราวนี้ไม่ยอมแล้วนะคะ”
พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว จะปฏิเสธยังไงได้
“…..ก็ได้ ยอมรับแล้วไงต่อล่ะ เธอก็รู้แต่แรกแล้วไม่ใช่รึไง”
นี่คือครั้งที่สิบสามที่มีบทสนทนาคล้าย ๆ กันเกิดขึ้น ไซโนะก็ใช่ว่าจะโดนลบความทรงจำจากการย้อนเวลาสักหน่อย จะถามย้ำ ๆ ไปทำไม
“ขอบคุณค่ะที่ตอบ ต่อจากนี้จะทำอะไรก็ช่วยระวังด้วย แล้วก็…..”
ไซโนะกระดิกนิ้วเหมือนกับเรียกหรือสั่งอะไรสักอย่าง
รู้สึกเหมือนมีลมแรงพวยพุ่งอยู่ในห้อง กระดาษเปื้อนน้ำหมึกที่ไซโนะกองไว้ข้างโต๊ะทำงานลอยกระจายไปทั่ว พู่กันขนสัตว์ที่จุ่มหมึกดำลอยขึ้นและละเลงน้ำหมึกไปบนกระดาษเหล่านั้นจนดำสนิท ก่อนที่กระดาษแต่ละแผ่นจะแปะไปทั่วผนังจนทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิด
ภายในกระดาษหมึกดำนั้น ปรากฏดวงตานับหมื่นพันกำลังจับจ้องมาที่พวกเราพลางส่งเสียงร้องโหยหวนและคำสาปแช่งราวกับเป็นเสียงจากนรก
“…..โปรดจำไว้ว่าปิศาจกำลังจ้องมองอยู่”
ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน ไซโนะก็พูดประโยคหนึ่งออกมา
สิ้นประโยคนั้น ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด
ดวงตาในความมืดมิดนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงความมืดบริสุทธิ์
“ผู้ดูแลหอสมุดมีกฎที่ต้องปฏิบัติตามสิบข้อด้วยกัน”
กฎข้อที่สิบของผู้ดูแลหอสมุด หากทำผิดกฎข้อใดก่อนหน้า ให้เอ่ยประโยคข้างต้นออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นไซโนะทำอะไรแบบนี้
กฎข้อที่หนึ่ง จงแนะนำตัวกับคู่สนทนาทุกครั้งไป
กฎข้อที่สอง จงนำพาดวงวิญญาณกลับเข้าสู่กระบวนการพิพากษาโดยไม่มีข้อแม้
กฎข้อที่สาม จงกระหายความรู้ไม่สิ้นสุด
กฎข้อที่สี่ จงถือชีวิตและความตายเป็นคติประจำใจ
กฎข้อที่ห้า ชะตาชีวิตไปอาจเปลี่ยนแปลงได้
กฎข้อที่หก ห้ามยุ่งกับเส้นเวลา
กฎข้อที่เจ็ด ห้ามนำพาความตาย
กฎข้อที่แปด จงเป็นผู้ดูแลหอสมุดไปตราบจนชีวิตจะหาไม่
กฎข้อที่เก้า จงจัดเรียงหนังสือให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเสมอ
และกฎข้อที่สิบ หากทำผิดกฎ ให้กล่าวถึงกฎสิบข้อที่ต้องปฏิบัติตาม
“สิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตอนนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎข้อที่ห้า เป็นการฝ่าฝืนโชคชะตา” ไซโนะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “หากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจทำผิดกฎข้อนี้ มีโทษประหารสถานเดียว”
“กระดาษพวกนี้กันได้แค่ภาพกับเสียง ตราบใดที่น้ำหมึกยังไม่จาง ต่อให้ท่านผู้นั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ไซโนะเงียบไปครู่หนึ่ง เงียบซะจนได้ยินเสียงกลืนน้ำลายกับเสียงหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
บรรยากาศที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรก่อนหน้านี้กลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาได้ทันตา
“…..ถ้าอยากจะแก้ไขโชคชะตาของใครบางคน ก็พอจะมีอยู่วิธีนึงนะคะ”
ไซโนะสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ต้องตามหา□□□□□□□□□□ให้เจอ…..จากนั้น—”
วันพุธ 24 พฤษภาคม ค.ศ.25xx
ทุกอย่างดูจะผิดแผนไปหมด
วันนี้เป็นวันที่หมอนั่นเข้าเรียนวันแรก มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น
เลียร์บอกว่าหมอนั่นมาตัวคนเดียว ไม่มีใครติดมาด้วย ทำให้ที่นั่งกินข้าวในวันนี้เปลี่ยนไปจากครั้งก่อน ๆ
ไม่เคยเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นในลูปก่อนหน้า
เย็นวันนี้ หมอนั่นจะไปที่ย่านการค้ากับลูกสาวร้านขนมปังโดยที่มีใครอีกคนตามไปด้วย ไม่ได้ไปกันแค่สองคน และจะเป็นการเยี่ยมชมร้านขนมปังที่ปกติดีทุกอย่าง แต่ครั้งนี้แปลกไป
“เห้ยตาแก่! ไหนอะค่าคุ้มครอง ก็บอกแล้วไงว่าต้องจ่ายทุกเดือน”
พวกมาเฟียที่เกี่ยวข้องกับตระกูลทรอย หลังผู้นำตายก็เอาใหญ่เชียว
ลูปก่อนหน้าไม่เห็นมีแบบนี้
“ค่าคุ้มครองอะไร! เอ็งไปใครมาจากไหนเนี่ย ที่นี่ร้านขายขนมปัง ถ้าไม่อยากให้เอาขนมปังยัดปากก็ไสหัวออกไป เกะกะคนอื่นเค้า”
เรื่องที่ตาลุงนี่เอาขนมปังที่ฉันเพิ่งซื้อมาไปเป็นอาวุธก็ไม่เคยมีเหมือนกัน
เหลือบไปมองที่ฝูงชนก็เห็นหมอนั่น…..มากันแค่สองคนแฮะ ไม่มีเด็กคนนั้นมาด้วยอย่างที่เลียร์บอกจริง ๆ
เหตุการณ์ตรงหน้าก็ชักจะบานปลายไปใหญ่ เริ่มจะมี…..ปืน? เดี๋ยวก่อนสิ เล่นยาแรงกันแต่เริ่มเลยเหรอ
แล้วยัยลูกสาวร้านขนมปังที่ยืนดูอยู่ก่อนหน้านี้ แค่พริบตาเดี๋ยวก็พุ่งตัวออกมารับกระสุนแทนพ่อตัวเองแล้ว
ไม่ได้ จะให้ตายกันตั้งแต่ตอนนี้ไม่ได้
ถ้าตายก่อนกำหนดแบบนี้เดี๋ยวแผนก็เสียหมดพอดี
“ผู้ดูแลหอสมุดมีกฎที่ต้องปฏิบัติตามอยู่สิบข้อด้วยกัน”
เป็นอีกครั้งที่ต้องทำผิดกฎข้อที่หก แต่ก็ช่างเถอะ อุตส่าห์ชนะพนันกับ□□□□□ก็ต้องใช้โอกาสที่ได้มาให้คุ้ม
เครื่องหยุดเวลานี่กว่าจะสร้างได้ก็ทุลักทุเลไม่ใช่น้อย วิจัยเท่าไหร่ก็ดูห่างไกลจากความเป็นจริงเหลือเกิน ถึงขั้นต้องเอาโอกาสที่ชนะพนันไปแลกกับ□□□□□□□□□□□□□□□จาก□□□□□ถึงจะสร้างเจ้านี่ออกมาได้ ในที่สุดก็ได้ใช้สักที
“เป็นนายอีกแล้วสินะ ยัยนั่นไปไหนซะล่ะ”
ถามเป็นมารยาท อยากรู้นิดหน่อย แต่หมอนั่นตอบไม่ได้หรอก
ระหว่างที่รอดูปฏิกิริยาตอบกลับ ฉันก็ลองทำอะไรฆ่าเวลา
ตอนที่แลกเปลี่ยนความรู้กับ□□□□□ เห็นว่าถ้าใครถูกสังหารในระหว่างหยุดเวลาจะถูกลบตัวตนออกไปจากเหตุการณ์ในตอนนั้น ไม่รู้ว่าถึงขั้นลบตัวตนในเหตุการณ์อื่นด้วยไหม หรือแค่ทำให้เหตุการณ์ตรงหน้าไม่เคยเกิดขึ้น
จะเป็นแบบไหนก็ใกล้เคียงกับการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาทั้งนั้น
ฉันเอาขนมปังที่ซื้อมาเป็นอาวุธในการสังหารมาเฟียตรงหน้า ขนมปังนี่แข็งขนาดฆ่าคนได้จริง ไม่อยากจะเชื่อเลย
“ผู้ดูแลหอสมุดมีกฎที่ต้องปฏิบัติตามอยู่สิบข้อด้วยกัน”
ให้มาท่องกฎทุกครั้งที่ทำผิดกฎแบบนี้น่ารำคาญชะมัด
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หรือว่าแผนที่ไซโนะพูดถึงจะได้ผลจริง ๆ
ตราบใดที่เหตุการณ์ไม่ทับซ้อนกับลูปก่อนหน้า ผลอาจจะดีหรือแย่กว่าเดิมก็ได้ อย่างกรณีนี้คงจะเรียกว่าแย่กว่าเดิม
ถ้าฉันไม่อยู่ตรงนี้ก็คงมีคนตายไปแล้ว
…..หรือไม่โชคชะตาก็ถูกกำหนดให้ฉันมาอยู่ตรงนี้ ไม่อาจรู้ได้เลย
กลับถึงหอสมุดต้องถาม□□□□□ให้รู้เรื่อง
แล้วก็…..สัญญากับ□□□□□ไว้แล้วว่าจะทำผิดกฎให้น้อยที่สุด
“กฎข้อแรกของหอสมุดคือต้องแนะนำตัวกับคู่สนทนา” ฉันพูดกฎขึ้นมาดัง ๆ ให้หมอนั่นได้ยิน
และจากนั้นก็กล่าวคำทักทายพื้นฐานของผู้ดูแลหอสมุด
“เจอกันครั้งที่สิบสามแล้วนะ ฉัน โอเทลโล”