ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) - ตอนที่ 335 น่าอายจริงๆ
บทที่ 335
น่าอายจริงๆ
“จนกว่านางจะยอมรับ” หวังฉิงกล่าวอย่างเย็นชา
“ไม่นะองค์ชาย ไม่นะเจ้าคะ ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ ไม่ใช่ข้านะเจ้าคะ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถอะ” สาวใช้ร้องไห้ตะโกนสุดเสียงพร้อมทั้งมองไปที่ทหารที่กำลังเตรียมที่จะเดินตรงเข้ามาหาเธอ
แท่งเหล็กที่เปล่งประกายอยู่ในมือของทหารทำให้รู้สึกเย็นยะเยือก
สาวใช้พยายามที่จะเก็บกดความเจ็บปวดในหัวใจและพยายามวิ่งไปหลบที่เสา เธอยอมที่จะตายตอนนี้กว่าต้องทนทุกข์กับการทรมานที่น่ากลัว
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะทันได้ขยับไปไหน
“โอ๊ย” เสียงร้องอย่างโหยหวนดังขึ้นมา
แม้แต่นางสนมที่ปกติแล้วมักจะให้แม่นมใช้เครื่องมือพวกนี้ทรมานคนอื่นก็ยังต้องเอาป้าเช็ดหน้าขึ้นมาบังตาและทนไม่ได้ที่จะมองอีกครั้งด้วยซ้ำ
มีเพียงหวังฉิงเท่านั้นที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขาเกือบที่จะต้องเสียผู้หญิงอันเป็นที่รักไป แค่นั้นก็ทรมานมากพอแล้ว
ทันใดนั้นสาวใช้ที่เกือบอยากจะกัดลิ้นตัวเองเพื่อฆ่าตัวตายก็หันไปเห็นรอยยิ้มแสยะของแม่นมที่อยู่ข้างหลังเธอ
ตอนที่องครักษ์กำลังจะเริ่มลงมือทรมานด้วยแท่งเหล็กเป็นรอบที่สอง สาวใช้ก็ตะโกนร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ข้าจะพูด ข้าจะพูดแล้ว อย่าเข้ามานะ อย่าทำอะไรข้าเลย” สาวใช้พลังของตัวเองทั้งหมดตะโกนร้องไปที่องค์ชายที่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้อย่างขี้เกียจ
หวังฉิงยกมือขึ้นเล็กน้อย องครักษ์หยุดมือทันทีและยืนนิ่ง
“พูดมา” น้ำเสียงเย็นชาของหวังฉิงดังออกมา
สาวใช้มองไปในทิศทางของฟางเสี่ยวโหรวอย่างระวัง และความคิดของเธอก็นึกขึ้นมาได้ ในตอนนั้นเธอไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้นางจำได้แล้วว่าเรื่องเหรียญเงินนั่นมันแปลกๆ พอมีคนบอกเธอเรื่องเหรียญเงินที่ตกเป็นใครจะไม่ก้มไปเก็บบ้างล่ะ ในตอนนั้นเธอโลภเอง กระหายอยากที่จะได้เงินทั้งๆที่ไม่ใช่ของตัวเอง
ไม่คิดเลยว่าเธอแทบจะต้องเอาชีวิตมาแลกเพียงเพราะเงินแค่นั้น
สายตาของฟางเสี่ยวโหรวเย็นชาและจ้องตรงไปที่ดวงตาของสาวใช้ เธอจ้องไปที่นางอย่างดุดันเพื่อเป็นการเตือนนางไม่ให้พูดอะไรไร้สาระ
หลังจากที่จ้องอยู่นั่น เธอก็เผลอมองไปที่แม่นมที่อยู่ข้างหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ ดูเหมือนเธอจะถามแล้วไม่ใช้เหรอว่ามีช่องโหว่หรือเปล่า?!
ในตอนนี้แม่นมเองก็ดูจะหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย เมื่อพูดเรื่องเหตุผล อีกฝ่ายก็ไม่มีหลักฐานและไม่มีใครจะมาโทษเธอได้ด้วย
แต่ไม่คิดเลยว่าองค์ชายจะเป็นคนมาตรวจสอบด้วยตัวเอง เมื่อดูจากอารมณ์ของหวังฉิง ต่อให้นายหญิงของเธอไม่ยอมรับ เธอก็กลัวว่านางจะหนีไม่รอดอยู่ดี
“พูดมาสิ เป็นใบ้หรือไง?” หวังฉิงจ้องอยู่ไม่นานแต่ก็ยังไม่เห็นว่าสาวใช้จะพูดอะไรจนเขาเกือบจะหมดความอดทน
“ข้าผิดเอง วันนี้ตอนที่ข้ากำลังเดินไประหว่างทาง…” สาวใช้คิดว่าจะบอกเรื่องแม่นมวันนี้
“ท่านหวังฉิง ข้าชอบสาวใช้คนนี้มาก ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของนางจะมาจากครอบครัวเล็กๆที่อยู่นอกเมืองทางเหนือ พวกนางทำไปเพราะความยากจนหรือเปล่า?” ฟางเสี่ยวโหรวรีบพูดขัดคำพูดของสาวใช้ขึ้นมาทันทีด้วยเสียงเรียบๆ
เพียงประโยคสั้นๆแต่ทะลุเข้าไปถึงใจสาวใช้ เธอเข้าใจความหมายโดยนัยในทันที ถ้าเธออยากที่จะให้ครอบครัวปลอดภัย เธอจะต้องพูดดีๆ พูดง่ายๆคือเธอจะต้องรับโทษทั้งหมดเพียงคนเดียว
มันจบแล้ว เธอไม่รอดแน่!
“ข้าไม่ยกนางให้เจ้าหรอก ส่วนเจ้า พูดมา” หวังฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
สาวใช้กัดฟันแน่นอย่างโหดร้าย เธอคุกเข่าลงและโขกหัวกับพื้นไปสามครั้ง “องค์ชาย ข้าทำเองทั้งหมด ข้าแค่อยากที่จะตาย” เธอหวังว่าองค์หญิงโหรวจะตอบแทนครอบครัวเธออย่างงามกับเรื่องที่เธอยอมรับผิดเองทั้งหมด
ชาตินี้เธอเป็นลูกสาวที่อกตัญญู ดังนั้นชาติหน้าเธอจะขอเกิดเป็นวัวเป็นม้าเพื่อมาตอบแทนบุญคุณ
“ฝีมือเจ้าเองเหรอ กล้าดียังไง?” หวังฉิงโกรธเกรี้ยว
สาวใช้ขดตัวอยู่กับพื้น ไม่ส่งเสียงอะไรออกมา ตอนนี้ต่อให้เธอพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
ในสังคมแบบนี้ ไม่มีพื้นที่ให้พวกทาสได้มีปากเสียงหรอก
หวังฉิงโมโหมากแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ความโกรธเข้ามาบังตาจนไม่เหลือเหตุผล
เมื่อกี้เห็นได้ชัดว่าสาวใช้อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อองค์หญิงผู้อ่อนโยนพูดออกมา นางก็กลับปิดปากเงียบ
หวังฉิงมองไปที่ฟางเสี่ยวโหรวอย่างสงสัย
สีหน้าของฟางเสี่ยวโหรวสงบนิ่ง นางไม่ได้มีร่องรอยของความสำนึกผิดเลย
แน่นอนว่าเธอไม่กลัว การที่จะหลอกคนอื่นได้ เธอต้องหลอกตัวเองให้ได้ก่อน
สาวใช้คนนี้ยอมรับผิดไปแล้วและเรื่องต่อมามันก็แน่นอนอยู่แล้ว ตราบใดที่เธอทำท่าทางปกติไว้ ถ้าถูกจับได้เธอก็แค่ปฏิเสธไม่ยอมรับ
“ถ้าเจ้าทำเรื่องนี้จริงๆ งั้นก็อย่าคิดว่าจะได้ตายง่ายๆ เจ้าจะได้รับการดูแลอย่างดีเลย” เรื่องแค่นี้น่าจะทนได้
สาวใช้ทำสีหน้าบิดเบี้ยว ต่อให้มีการสืบสวนอีกครั้ง เธอก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดีใช่ไหม?!
เพียงแค่ว่าความสงสัยในตัวองค์หญิงเสี่ยวโหรวเริ่มจะมากขึ้นๆทุกวัน ถ้าเรื่องนี้เป็นฝีมือนาง ต่อให้นางเป็นลูกสาวของรัฐมนตรี เขาก็จะไม่ปล่อยนางไปแน่
“ไปจากที่นี่ซะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ต่อไปพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่ตำหนักหิมะอีก”
หลังจากเรื่องหายนะนี้ คนที่เหลือก็มีร่องรอยของความว่างเปล่าแต่ถ้าพวกเขาไม่โต้แย้งอะไรในที่สุดพวกเขาก็จะรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้
ส่วนมู่หรงก็อยู่ในห้องตลอดแต่ก็ยังรับรู้เรื่องทั้งหมด
แต่น่าจะพูดได้ว่าเธอไม่สนใจเรื่องการต่อสู้ในตำหนักพวกนี้หรอก
จนกระทั่งช่วงบ่าย หวังฉิงก็กลับมาเยี่ยมที่ตำหนักหิมะอีกครั้ง
“เป็นไงบ้าง? มีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า?” เขาหยุดให้เสี่ยวฉิงทำความเคารพแล้วเดินตรงไปที่ข้างเตียงของมู่เทียน เขาถามออกมาอย่างอ่อนโยน
มู่หรงเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ร่างกายเธอต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้สีหน้าเธอซีดเซียวได้ขนาดนี้
“ข้าไม่เป็นไร” มู่หรงส่ายหัวเล็กน้อย
“จะไม่เป็นอะไรได้ยังไงล่ะ? แล้วสีซีดเผือดของเจ้านี่มันอะไรล่ะ?” หวังฉิงแตะไปที่ใบหน้าของเธออย่างเจ็บปวด
มู่หรงเสวี่ยพยายามฝืนทนที่จะไม่ปัดมือเขาออกและกระซิบออกมาเสียงเบา “หวังฉิง ข้าคิดว่าข้าคงจะไม่มีวันได้เจอเจ้าอีกแล้ว”
“ไร้สาระ เจ้าจะต้องอยู่ไปอีกเป็นร้อยปีเลยแล้วหลังจากนี้เจ้าก็จะได้เห็นหน้าข้าทุกวันด้วย” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงรักใคร่ หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่กระจายตัวไปทั่วอย่างอดไม่ได้
ในที่สุดนางก็เปิดใจให้เขาแล้วหรือเปล่า?! ถึงแม้เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความหวังในหัวใจ
“ดีแล้ว เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนที่ข้าจะสลบไป สิ่งที่โผล่ขึ้นมาในใจข้าก็คือหน้าเจ้า รู้ไหมว่าข้ากังวลมากแค่ไหนว่าต่อไปข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีก?” ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเปล่งประกายราวกับอัญมณี พร้อมด้วยร่องรอยของความเศร้าและความตื่นตระหนก
เมื่อได้เห็นหัวใจของหวังฉิงก็แตกเป็นเสี่ยงๆและอดไม่ได้ที่จะกอดมู่เทียนไว้อย่างอ่อนโยน ริมฝีปากบางตรงเข้าไปจู่โจมริมฝีปากที่ซีดเผือดของมู่เทียน
มู่หรงเสวี่ยสะดุ้งไปชั่วขณะ แต่แล้วเธอก็เป็นคนเริ่มที่จะยืดมือที่บอบบางออกและจับไปที่คอของหวังฉิง
ลิ้นอ่อนนุ่มที่แสนหวานยังเกินต้านทานได้เหมือนแต่ก่อนถูกหวังฉิงรุกเข้าไปเกี่ยวพันไว้ได้ก่อน
สาวใช้ที่อยู่ในห้องเมื่อได้เห็นต่างก็มีสีหน้าที่แดงระเรื่อจนเธอต้องหันหลังไปแต่ก็ยังเห็นใบหูที่แดงระเรื่อ
หวังฉิงเกือบที่จะขาดสติไปชั่วขณะเพราะมัวแต่บ้าคลั่งอยู่กับรสชาติหอมหวานที่เขาเฝ้าคิดถึงมาแสนนาน
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้มู่เทียนยังไม่แข็งแรงเท่าไร เขาก็คงจะกดเธอให้อยู่เบื้องล่างเขาและมอบความรักให้เธออย่างสุดซึ้งไปแล้ว
เวลาผ่านไปนานก่อนที่หวังฉิงจะปล่อยริมฝีปากที่บวมของเธอ
“น่าอายจริงๆ!” มู่หรงรีบเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้ทันที ไม่สามารถที่จะมองสายตาร้อนรุ่มของหวังฉิงได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า” หวังฉิงเก็บความสุขไว้ไม่อยู่ เมื่อได้เห็นท่าทางน่ารักของมู่เทียน เขาก็หัวเราะออกมาทันที
มู่หรงเสวี่ยเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวตัวเองไว้เพื่อปิดบังอาการของตัวเองในตอนนี้
สายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนของหวังฉิงชัดเจนมากขึ้นไปอีก “ไม่ต้องเขินหรอก ออกมาเถอะ ไม่มีใครหัวเราะเจ้าหรอก” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างอ่อนโยนเหลือเกินจนทำให้คนที่ได้ฟังแทบจะตัวเหลวเป็นน้ำไปเลย
หัวใจที่แข็งเป็นหินได้ทลายลงแล้ว! หวังฉิงไม่เคยมีความสุขเท่าตอนนี้มาก่อนเลย ผู้หญิงที่นอนคลุมหน้าอยู่บนเตียงตอนนี้ยอมที่จะเปิดหัวใจให้เขาแล้วจริงๆ ถึงแม้ถ้ามันจะเป็นแค่เรื่องโกหก เขาก็ยอมรับด้วยความเต็มใจ
มู่หรงที่อยู่ใต้ผ้าห่ม ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยสีแดงระเรื่อ สายตาแวบประกายไม่ให้ใครรู้ความคิดของเธอ
หลังจากเวลาผ่านไปนาน สุดท้ายหวังฉิงก็เปิดผ้าห่มของเธอได้และเผยให้เห็นผมที่ยุ่งเหยิงของเธอ เขารักสิ่งที่เห็นอย่างมาก ไม่ว่าเธอจะหน้าตาเป็นยังไง เขาก็คิดว่าเธอน่ารักมากอยู่ดี
เขายินดีที่จะรับพิษนี้
“วันนี้เจ้าไม่ค่อยได้กินอะไรเท่าไร ลุกขึ้นมากินอะไรหน่อยเถอะ” หวังฉิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและแผ่วเบา
เสี่ยวฉิงอยากจะขยี้หูหัวเองจริงๆ ทำไมเธอถึงรู้สึกแปลกๆเวลาที่หวังฉิงพูดแบบนี้ หวังฉิงคนที่ปกติแล้วจะเย็นชาและอารมณ์ร้อน พร้อมสีหน้าที่นิ่งเฉยตลอดเวลาและน้ำเสียงของเขาก็เย็นชาราวกับน้ำแข็ง
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “ตกลง ข้าเองก็หิวเหมือนกัน ข้าอยากจะกินเกี๊ยวหยก” เธอพูดอย่างมีมารยา
หวังฉิงบีบไปที่จมูกน้อยน่ารักแล้วพูดออกมา “โอเค เจ้าจะทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ” เขาพูดอย่างรักใคร่
มู่หรงเบี่ยงหัวเล็กน้อยจึงไม่มีใครเห็นสายตาของเธอ
“หลบไปเลย ข้าจะลุกแล้ว” แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมาและพูดออกไปพร้อมรอยยิ้ม เธอรู้สึกผิดอยู่นิดหน่อย
แต่มันเป็นเพราะว่าเขาดื้อเกินกว่าที่จะฟังเหตุผลของเธอ ถ้าเป็นไปได้ เธอก็ไม่อยากที่จะทำแบบนี้หรอก เพียงแต่ว่าเธอจะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด อีกอย่างชีวิตในยุคโบราณของการมีเมียสามคนและสนมอีกสี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ
หวังฉิงไม่สนใจท่าทางไม่สุภาพที่เธอพูดออกมาเลยสักนิด เขาลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มและหลบทางให้เธอ
มู่หรงเสวี่ยสวมเสื้อผ้าชุดเมื่อเช้าอยู่แต่เพราะเธอนอนอยู่บนเตียงมานานและตอนนี้ชุดมันก็ค่อนข้างที่จะยับแล้ว
“หวังฉิง เจ้าออกไปก่อน ข้าจะแต่งตัว” มู่หรงจับมุมของเสื้อผ้าและพูดออกมาด้วยท่าทางเขินเล็กน้อย
สายตาของหวังฉิงเต็มไปด้วยความอดกลั้น เขาไม่สนใจเรื่องชุดที่ไม่เรียบร้อยของเธอในตอนนี้เลย ตรงกันข้าม เขารู้สึกว่าระยะห่างระหว่างพวกเขาดูเหมือนจะลดลงไปมาก
อย่างไรก็ตามเขาก็พยักหน้าเล็กน้อยและเดินออกจากห้องไป
เสี่ยวฉิงรีบหยิบชุดใหม่ออกมาจากตู้และส่งให้มู่หรง
หลังจากที่รับใช้มานาน เสี่ยวฉิงรู้ดีว่านายหญิงมู่ไม่ชอบให้ดูแลและแต่งตัวให้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้เดินตามเธอไป
หลังจากนั้นสักพัก มู่หรงที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยก็เดินออกมา เสี่ยวฉิงแต่งหน้าให้เธอเพียงบางๆ
ตอนที่เธอเดินไปที่โถงใหญ่ ก็เห็นว่าโต๊ะอาหารถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว
อาหารมากมายถูกจัดวางอยู่เต็มโต๊ะซึ่งทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกหิวอย่างมาก
“มานั่งด้วยกันตรงนี้สิ” หวังฉิงพูดเสียงเรียบ
มู่หรงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ และเดินตรงไปนั่งข้างๆเขา ดวงตาเปล่งประกายมองจ้องไปที่อาหารที่อยู่เบื้องหน้า
สายตาของหวังฉิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน “กินสิ ที่นี่ไม่มีคนนอกหรอก”
Related