ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) - ตอนที่ 281 กระโดดลงไปในหน้าผา
บทที่ 281
กระโดดลงไปในหน้าผา
เฟิงจือหลิงจ้องไปที่มู่เทียนเขม็ง เขารู้สึกว่ามู่เทียนมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป ถึงแม้ตอนนี้เขาจะกลับมาได้สติแล้ว แต่ก็ยังอยากที่จะลงไปข้างล่างหน้าผาราวกับพวกบ้าคลั่ง
หลงหมิงมองไปที่คนทั้งสองแล้วจึงพูดออกมา “พรุ่งนี้เราค่อยคุยเรื่องนี้กัน พวกเจ้ากลับไปพักก่อนเถอะ อีกอย่าง เฟิงจือหลิงก็บาดเจ็บด้วย ไปที่โรงหมอแล้วจัดการตัวเองซะ”
เห็นได้ชัดว่าเหมือนมู่เทียนและเฟิงจือหลิงจะปิดบังอะไรบางอย่างไว้ มู่เทียนไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลยสักนิด ตรงกันข้ามเลยดูเหมือนว่าลมหายใจของเขาจะเร็วขึ้นนิดหน่อยด้วย ต่างกัน เฟิงจือหลิงที่บาดเจ็บเล็กน้อย แต่พวกเขาบอกว่าตอนที่อยู่ข้างในไม่มีสิ่งใดโจมตีพวกเขาเลย งั้นเขาไปได้รับบาดเจ็บมาจากที่ไหนกันล่ะ อย่างไรก็ตามทั้งสองดูจะเหนื่อยกันมามากและ หลงหมิงเองก็ไม่อยากที่จะถามเซ้าซี้ด้วย พรุ่งนี้เมื่อเข้าไปข้างในก็คงจะได้รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่
เมื่อกลับไปถึงอาคารไม้ไผ่ มู่หรงเสวี่ยก็รีบเอายารักษาออกมาให้เฟิงจือหลิง “กินยานี่ก่อนนะ!” โชคดีที่เธอยังพอมีสติอยู่บ้างและไม่ได้ลงมือหนักไป เพราะถึงพวกเขาจะอยู่ในระดับสีม่วงเหมือนกันแต่เฟิงจือหลิงเองก็คงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว
เฟิงจือหลิงรับยาที่อยู่ในมือและกลืนมันเข้าไป
“ข้าขอโทษนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ!” มู่หรงพูดอย่างรู้สึกขอโทษ
“ข้ารู้! ข้าไม่สนใจเรื่องนี้หรอก…” เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอมากกว่า
“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าเป็นห่วง!” มู่หรงเสวี่ยนั่งลงที่เก้าอี้ พยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ริมหน้าผา
“คืนนี้เจ้าพักเถอะ ข้าจะอยู่เฝ้าที่นี่เอง!” เฟิงจือหลิงพูด
มู่หรงเงยหน้าขึ้นมาและถามออกไป “เจ้าจะมาอยู่เฝ้าข้าทำไม? กลับไปพักที่ห้องเจ้าสิ!”
อย่างไรก็ตาม เฟิงจือหลิงไม่ได้เปิดปากพูดอะไร เอาแต่จ้องไปที่มู่เทียน
“มีอะไรเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ข้าไม่ทิ้งเจ้าไว้คนเดียวหรอก เดี๋ยวเจ้าแอบไปที่นั่นคนเดียว…”
มู่หรงเสวี่ยเงียบไปชั่วขณะ เธอมีความคิดแบบนั้นจริงๆ
“ไม่นะ…ไม่หรอก ข้าจะทำแบบนั้น…”
“ไม่ก็ดีแล้ว งั้นเจ้าก็พักเถอะ”
หลังจากที่พูดจบ เฟิงจือหลิงก็นั่งลงที่เก้าอี้ท่าทางราวกับไม่อยากที่จะลุกไปไหนอีก
มู่หรงเบ้ปากเล็กน้อย เป็นแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย?!
“ข้าจะเข้าไปในมิติลับ เจ้าจะไปด้วยไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม
เฟิงจือหลิงพยักหน้าแล้วทั้งสองก็หายไปจากที่นั่นทันที
มู่หรงเดินตรงเข้าไปหาเสี่ยวไป๋และเห็นว่ามันกำลังหลับอยู่
“ลุกขึ้น ต้วอ้วนขนาดนี้แล้วยังจะมานอนอยู่อีกได้ไง?” มู่หรงดึงหน้าทั้งสองข้างของเจ้าลูกบอลสีขาวขึ้นมาอย่างไร้ความปรานี
“โอ๊ย โอ๊ย! นี่จะฆ่ากันหรือไง! ปล่อยนะ…” กรงเล็บที่อ้วนกลมของเสี่ยวไป๋พยายามดิ้น
มู่หรงปล่อยมันลง “ข้ามีบางอย่างที่อยากจะถามเจ้าหน่อย”
เสี่ยวไป๋ใช้อุ้งมือนวดไปที่หน้าและถามออกมา “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
เฟิงจือหลิงที่กำลังมองอยู่ เขาเองก็พอจะเดาไว้ว่ามู่เทียนอยากจะถามเรื่องอะไร เขาเองก็อยากที่จะรู้ด้วยเหมือนกัน
“มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น หน้าผาที่ข้าเคยถูกวิญญาณปีศาจครอบงำ วิญญาณปีศาจที่อยู่ข้างในตอนนี้มันออกมาแล้วและแม้แต่อาจารย์ของข้าก็ยังหายตัวไปด้วย…” มู่หรงเสวี่ยค่อยๆถาม
เจ้าลูกบอลสีขาวไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ถามว่า “เจ้าบอกว่าวิญญาณปีศาจงั้นเหรอ?”
“ใช่และมันกระจายไปทั่วป่าแห่งความตายแล้วด้วย โชคดีที่อาจารย์สร้างบาร์เรียเพื่อกั้นวิญญาณปีศาจไว้แล้ว ไม่งั้นทั่วทั้งทวีปเฟิงหยุนก็คงจะกลายเป็นดินแดนร้างไปหมดแล้ว!”
เสี่ยวไป๋ก้มหน้าคิด “แล้วเจ้าคิดว่าเขาเป็นยังไงบ้าง หลานซุนน่ะ?”
“ข้าไม่รู้ อาจารย์เข้าไปข้างในเดือนหนึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่มีร่องรอยเลย แล้วข้าก็อยากที่จะถามเรื่องหนึ่งด้วยนะ เสี่ยวไป๋ ตอนนี้ข้าสามารถที่จะดูดซับวิญญาณปีศาจได้หรือเปล่า?”
“ได้สิ ตอนนี้เจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากปีศาจแล้ว และเจ้าก็ยังเป็นปีศาจที่อยู่ในระดับสูงอีกด้วย!” มันเองก็ยังรู้สึกว่าเรื่องของ มู่หรงเสวี่ยมันแปลกๆ ปีศาจที่จะเข้าครอบงำปกติจะเป็นเพียงปีศาจในระดับล่างๆเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเธอกลับมีผมสีม่วงซึ่งเป็นเรื่องที่ปีศาจในระดับสูงเท่านั้นถึงจะมีได้
“นั่นก็หมายความว่าวิญญาณปีศาจไม่มีผลอะไรกับข้าเลยงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามต่อ
“จะพูดแบบนั้นก็ได้นะ!” เสี่ยวไป๋พยักหน้า “ส่วนเรื่องปีศาจที่เจ้าพูดถึง มันก็น่าแปลกมากๆเลยนะ เพราะจากเหตุผลแล้วมันไม่น่าที่จะมีพลังเวทมนตร์ในทวีปเฟิงหยุนได้…” พลังในระดับการฝึกตนปัจจุบันของมันยังไม่กลับมาดังนั้นมันจึงต้านทานได้ไม่มากนัก
“ไม่เป็นไร ไปนอนต่อเถอะ” มู่หรงเสวี่ยพูด “จือหลิง เจ้าเองก็ไปพักด้วยเหมือนกัน!” เมื่อพูดจบเธอก็หันหลังและเดินเข้าไปในหอคอย
“เดี๋ยวก่อน มู่เทียน!” เฟิงจือหลิงตะโกน
มู่หรงหันกลับมา “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ออกไปคนเดียวหรอก ข้าจะพาเจ้าไปด้วยโอเคไหม?! ข้าแค่จะไปหาอะไรบางอย่าง เจ้าไปพักก่อนได้” เธออยากที่จะเข้าไปหาว่าพาจะมีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องปีศาจบ้างหรือเปล่า
หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน มู่หรงเสวี่ยก็กลับออกมาโดยไม่ได้อะไรเลย เธอเห็นว่าเฟิงจือหลิงนั่งจ้องที่หน้าประตูของหอคอยเก้าชั้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปพักเลย เธอถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วจึงเดินเข้าไปหาเขา
“ทำไมเจ้ายังไม่ไปนอนอีกล่ะ?” เธอไม่รู้ว่าจะไปหาเพื่อนที่แสนดีแบบนี้ได้จากที่ไหนเลยจริงๆ
“ข้ายังไม่เหนื่อยหรือง่วง! เจ้าพร้อมที่จะไปหรือยัง?” เฟิงจือหลิงลุกขึ้นยืนและถามออกมา
มู่หรงพยักหน้า “ไปกันเถอะ ออกไปข้างนอกกันก่อน!”
ตรงทางเดินมีเพียงแสงสว่างแต่ในห้องประชุมของระดับสีม่วงกลับเต็มไปด้วยผู้คน เพียงแค่สองวันผ่านไป ช่างทำอาวุธก็ทำหน้ากากป้องกันหมอกควันเสร็จ ตอนนี้ทุกคนมีกันครบ
“เรามากันพร้อมแล้ว ไปกันเถอะ” หลงหมิงพูด
เมื่อเขาไปถึงขอบด้านนอกของป่าแห่งความตาย มู่หรงเสวี่ยก็พูดขึ้นมา “ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าไปข้างในได้ ต้องมีบางคนอยู่ด้านนอกเพื่อคอยดูสถานการณ์โดยรวม…”
“ไม่ต้องห่วงนะ มีคนเพียงแค่ครึ่งเดียวที่จะเข้าไปข้างใน เหตุผลที่ทุกคนมาที่นี่ก็เพราะเพื่อตรวจบาร์เรีย ไปกันเถอะ ส่วนคนที่เหลือรออยู่ด้านนอกบาร์เรีย”
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าแล้วเฟิงจือหลิงก็เดินนำไปเบื้องหน้า
“มู่เทียน!”
มู่หรงเสวี่ยที่กำลังเดินนำทางอยู่หันกลับมา “มีอะไรเหรอ? ท่านหลงหมิง?”
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?” ในตอนนี้คนที่ร่วมเดินทางที่เหลือที่เดินตามมาข้างหลังต่างก็เห็นว่ามู่เทียนมีอะไรที่แปลกๆออกไป!
“ก่อนหน้านี้ข้าอธิบายเรื่องนี้กับท่านแล้วไงเพราะข้าเคยสัมผัสกับวิญญาณปีศาจงั้นตอนนี้ก็เดาว่าวิญญาณปีศาจไม่มีผลอะไรกับข้าแล้ว…ไม่ต้องห่วงหรอก ไปกันเถอะ!” แน่นอนว่าเธอไม่ได้บอกความจริงที่ว่าเธอกลายเป็นปีศาจไปแล้ว เมื่อฟังเรื่องที่เสี่ยวไป๋บอกก็คือคนในดินแดนเฟิงหยุนเป็นศัตรูกับเหล่าปีศาจ
“ตกลง” คนที่เหลือเองก็หยุดที่จะถามด้วยเช่นกัน เหตุผลแรกก็เพราะมู่เทียนเคยบอกเรื่องนี้ไว้แล้ว เหตุผลที่สองก็คือมู่เทียนเป็นลูกศิษย์ของท่านหลานซุนและท่านผู้อาวุโสก็เป็นคนที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนี้ทั้งหมดเป็นความดีความชอบของท่านหลานซุน
ไม่นานหลังจากนั้นแถวของคนทั้ง 20 คนก็มาถึงที่ขอบของหน้าผา เพียงแค่มองแวบเดียวก็เห็นได้ถึงความมืดมัวและน่ากลัว
หลงหมิงยกมือขึ้นและยกหินขึ้นด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณแล้วโยนลงไปข้างล่าง หลังจากที่มองอยู่นาน เขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงใดๆเลย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนหลายครั้ง
“ข้าจะลงไปข้างล่างก่อน! ยังไงซะวิญญาณปีศาจนี่ก็ไม่มีผลอะไรกับข้าอยู่แล้ว…” มู่หรงเสวี่ยพูด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเธอดูเหมือนจะรู้สึกถึงแรงดึงดูดจากที่ก้นบึ้งของหน้าผา
เฟิงจือหลิงรีบก้าวเข้ามาเบื้องหน้าเพื่อดึงมู่เทียนไว้ ถ้าอยากจะลงไปข้างล่าง เขาก็ไปด้วยเสมอ!
หลงหมิงขมวดคิ้ว เดาว่านี่จะต้องเป็นเหวที่ลึกไม่มีที่สิ้นสุดแน่ๆและนึกไม่ออกเลยว่ามันจะอันตรายมากแค่ไหน “ข้าจะลงไปด้วย!”
“พวกเราก็จะลงไปด้วย!”
“งั้นก็ลงไปพร้อมกันเลยแล้วกัน”
“ไม่ได้ นี่มันหลายคนเกินไป ต้องมีคนที่รออยู่ที่นี่ด้วย งั้นมายกมือกันว่าใครที่อยากจะลงไปข้างล่าง!” หลงหมิงพูด
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างก็ยกมือขึ้น เหล่าคนที่พัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับสีม่วงและไม่กลัวที่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเอง
“ถ้าเป็นแบบนี้ เจ้าก็ลงไปกับข้าและคนอื่นๆจะอยู่รอที่นี่ ถ้าเวลาผ่านไปนานแล้วพวกเรายังไม่กลับมา พวกเจ้าจะต้องออกไปข้างนอกและคิดหามาตรการรับมือ เข้าใจหรือเปล่า?”
“เข้าใจขอรับ!”
“ทุกคนระวังเรื่องความปลอดภัยด้วย! ไปล่ะ” หลงหมิงนำไปก่อน
มู่หรงเสวี่ยแทบรอไม่ไหวที่จะกระโดดตามลงไปและ เฟิงจือหลิงที่จับมือเธออยู่ก็กระโดดลงหน้าผาไปพร้อมกับเธอด้วย
หลงหมิงซึ่งยังอยู่เบื้องหน้าพวกเขาหายไปในทันที วิญญาณปีศาจรุนแรงกว่าจุดไหนๆในป่าแห่งความตายแต่มันก็ทำให้มู่หรงเสวี่ยเปล่งแสงจ้าซึ่งทำให้ตาของเฟิงจือหลิงโฟกัสได้ยากขึ้นมาเล็กน้อย
ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยดูเหมือนกับกำลังอยู่ในทะเลที่แสนอุ่น รูขุมขนของเธอเปิดและเธอก็รู้สึกสบายอย่างมาก ทันใดนั้นดูเหมือนว่าเธอจะสามารถสัมผัสสิ่งกีดขวางที่รบกวนเธอได้และลมหายใจของเธอก็เริ่มที่จะเปลี่ยนไปและกลายเป็นทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกที่ลึกซึ้งที่สุดคือเฟิงจือหลิงที่อยู่ข้างๆเธอ
นี่มู่เทียนกำลังจะพัฒนาหรือเปล่า?! ดวงตาของ เฟิงจือหลิงเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อแต่เขาไม่ได้อ้าปากพูดเพื่อขัดจังหวะของมู่หรงเสวี่ย การกลายเป็นเทพคือความใฝ่ฝันของทุกคน ถ้าเธอได้เลื่อนระดับและจากไปก่อน งั้นเขาก็จะตามไปอย่างไม่ยอมแพ้
อย่างไรก็ตามการพัฒนาอย่างที่คิดไว้ยังไม่เกิดขึ้น แต่ลมหายใจของมู่หรงเสวี่ยกลายเป็นคงทีมากขึ้นเรื่อยๆและสุดท้ายก็สงบลง
“มันยังสั้นไปหน่อยที่จะ…”
ความเร็วของคนทั้งสองเริ่มที่จะลดลงแต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังไม่เห็นเบื้องล่างของหน้าผาเลย พวกเขามองไม่เห็นร่างของหลงหมิงหรือคนอื่นๆที่กระโดดลงมาด้วยเลย เห็นแต่ก็เพียงวิญญาณปีศาจที่มืดมิดที่ไม่มีแม้แต่เสียง ความเงียบเป็นเรื่องที่เลวร้าย
“ข้าไม่นึกเลยว่ามันจะลึกขนาดนี้…” เฟิงจือหลิงไม่ได้สนใจคำพูดของมู่เทียน แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อแทน เขาจับมือ มู่เทียนและลุกขึ้น
“ท่านหลงหมิง”
“ท่านหลงหมิง, ท่านหลงหมิง…” ที่เบื้องล่างมีเพียงเสียงสะท้อนที่ตะโกนออกไปของมู่หรงเสวี่ยและไม่มีเสียงใดตอบกลับมาเลย
ไม่มีเหตุผลเลย ทุกคนกระโดดลงมาในเวลาเดียวกันและระยะห่างระหว่างพวกเขาก็น่าที่จะไม่ไกลจากกันมาก อย่างไรก็ตามหลงหมิงและคนอื่นๆดูเหมือนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“โชคดีนะที่เราจับมือกันไว้ตอนที่กระโดดลงมา…” เฟิงจือหลิงพูดอย่างมีความสุข ถ้าพวกเขาไม่ได้จับมือกับตอนที่กระโดดลงมา พวกเขาก็คงจะคลาดกันเหมือนกับหลงหมิงและคนอื่นๆแน่
Related