ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 42 ความจริงเรื่องนกแก้ว (1)
“เรื่องนี้กลับมิใช่นางเป็นคนทำ แต่จะว่าไปก็เป็นนางหาเรื่องเอง!” เว่ยเจิ้งอินหัวเราะเยาะหนหนึ่ง แล้วว่า “เป็นนางเติ้งที่เป็นคนทำ”
เว่ยฉางอิ๋งพูดอย่างประหลาดใจว่า “พี่สะใภ้ใหญ่? เป็นนางได้อย่างไร!” แม้ซูรั่วเฉียนสามีของนางเติ้งจะเป็นหลานชายคนโต แต่ก็เป็นบุตรจากอนุ ทั้งชื่อเสียงของตระกูลเติ้งก็ห่างไกลกับตระกูลซูนัก แม้จะมีแม่เฒ่าเติ้งคอยถือหางอยู่ จึงไม่ถึงกับต้องเจียมเนื้อเจียมตัวเหมือนกับนางเผยฮูหยินสามของตระกูลเว่ย ตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะเป็นคนออกมาหาเรื่องนี่!
ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ยามนางและเสิ่นจั้งเฟิงเข้าบ้านมา ก็เป็นนางเติ้งและนางกู้ออกไปต้อนรับ แล้วไม่ว่าจะดูอย่างไรนางเติ้งผู้นั้นก็ระวังกริยามารยาทเสียยิ่ง ระวังเสียจนถึงขั้นน่าอึดอัดใจเสียด้วยซ้ำ ที่ไหนจะเหมือนกับคนที่มือยื่นมือยาวยุ่งเรื่องของผู้อื่น? หรือเพราะนางถูกนางเฉียนบงการ?
เมื่อเห็นว่าหลานสาวมีสีหน้างุนงง เว่ยเจิ้งอินก็เข้าใจในทันที จึงว่า “เจ้าคิดว่านางเฉียนโหดร้ายกับสะใภ้ในบุตรชายแท้ๆ เพียงนั้น แล้วประสาอะไรกับสะใภ้ในบุตรจากอนุ? โดยเฉพาะลูกผู้พี่ใหญ่ของพวกเจ้าผู้นี้ยังเกิดก่อนลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าด้วย พวกเราอาหลานมาเล่าเรื่องความหลังกันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย เจ้าอย่าได้พูดออกไปเชียว… มารดาของลูกผู้พี่ใหญ่ของพวกเจ้านั้นถูกนางเฉียนบีบบังคับจนตรอมใจตาย! และเพราะเป็นเพียงอนุคนหนึ่ง ท่านลุงใหญ่ของพวกเจ้าจึงทะเลาะกับนางเพียงไม่กี่คำก็เลิกแล้วกันไป แม้แต่ลูกผู้พี่ใหญ่ของพวกเจ้าเอง แต่เล็กมาก็ต้องตกอยู่ในกำมือของนางเฉียนและก็ข่มเหงรังแกอยู่ไม่เว้น!”
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางเติ้งทำลายเรื่องแต่งงานของเสิ่นจั้งหนิงกับซูอวี๋อู่ ผู้ที่จะชังนางเป็นคนแรกก็คือฮูหยินซู คนต่อมาก็คือเว่ยเจิ้งอิน ความจริงแล้ว เรื่องนี้จึงควรเป็นนางเฉียนที่คอยนั่งดูผลงานอย่างเปรมปรีดิ์ต่างหาก? ดีชั่วอย่างไรเมื่อก่อนนี้นางเฉียนก็เคยล่วงเกินฮูหยินซูด้วยเรื่องของเสิ่นจั้งจูมาแล้ว ส่วนทางฝั่งของเว่ยเจิ้งอิน บ้านใหญ่และบ้านสามของตระกูลซูก็มิใช่ว่าเพิ่งจะเริ่มไม่ปรองดองกัน!
หากมิใช่นางเติ้งถูกนางเฉียนบังคับให้ทำ ตนเองคิดอยากจะแก้แค้นแม่สามีจากขั้วหัวใจแต่กลับอ้อมค้อมอยู่เช่นนี้… ก็ออกจะโง่เกินไปแล้ว!
นางจึงถามว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ต้องการทำสิ่งใดกันแน่เจ้าคะ?”
เว่ยเจิ้งอินส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้เห็นว่านางคล้ายกำลังช่วยนางเฉียนเล่า คำพูดของท่านตาพวกเจ้าในวันนี้เจ้าคงได้ยินแล้ว? ท่านตาของพวกเจ้าไม่พอใจเรื่องสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นแล้ว จึงคอยบอกโดยอ้อมๆ ให้พวกลูกหลานสามัคคีปรองดองกันสักหน่อย อย่างไรนางเติ้งก็เป็นสะใภ้ของนางเฉียน เรื่องที่นางทำดีชั่วย่อมต้องนับเป็นบ้านใหญ่ทำ ท่านตาของพวกเจ้าไม่พอใจบ้านใหญ่ แล้วที่ไหนจักวางใจอวี๋เหลียงได้เล่า? อวี๋เหลียงไม่อาจทำให้ท่านยายของพวกเจ้าวางใจ ยังไม่รู้ว่านางเฉียนจะต้องช้ำใจจนเป็นเช่นใดเลย! เรื่องนี้ยังทำให้นางเฉียนทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่านางเติ้งไปทะเลาะเบาะแว้งกับนางเฉียนต่อหน้าอย่างไม่กตัญญูเสียอีก!”
ทว่ากลับมองไม่ออกว่าเว่ยเจิ้งอินจะมีสีหน้าดีใจ “อวี๋อู่ก็ถึงวัยที่จะหมั้นหมายแล้ว เดิมทีแม้หนิงเอ๋อร์จะซุกซนไปหน่อย ทว่าก็มิใช่คนที่ไร้ขอบเขต นับได้ว่าข้าก็เห็นนางเติบโตมา อีกสองปีเมื่อโตขึ้นสักหน่อยและนางสงบขึ้นกว่านี้แล้ว ก็พอดีให้อวี๋อู่แต่งนางเข้าบ้าน แต่ยามนี้ท่านตาของเจ้าเอ่ยปาก ข้าเองก็ไม่กล้าจะไปเอ่ยเรื่องนี้กับแม่สามีเจ้าอีกแล้ว หาไม่ ท่านตาของพวกเจ้าจะนึกว่าข้าจงใจดึงแม่สามีเจ้ามาร่วมมือกันจัดการบ้านใหญ่เอาได้!”
เว่ยฉางอิ๋งฟังออกว่า ที่เว่ยเจิ้งอินบอกว่าตอนนี้เสิ่นจั้งหนิงซุกซน แต่อีกสองปีก็จะสงบขึ้นและเหมาะจะมาเป็นสะใภ้…ความจริงก็เป็นเพียงคำพูดบังหน้า ความจริงแล้วสิ่งที่นางหมายตาก็คือบ้านฝั่งมารดาของเสิ่นจั้งหนิง รวมทั้งฐานะและกำลังของฮูหยินซูผู้เป็นมารดาของนางในตระกูลซูต่างหาก
แต่แล้วเรื่องนี้ยังไม่ทันสำเร็จ ก็มาถูกนางเติ้งเข้ามาขัดขวางไปเสียก่อน ยามนี้ซูผิงจ่านเองก็รู้สึกแล้วว่าการต่อสู้ของบ้านใหญ่และบ้านสามนั้นรุนแรงขึ้นมาอีกระดับแล้ว วันนี้จึงอาศัยโอกาสที่เว่ยเจิ้งอินอยู่ด้วย และใช้จังหวะที่แม่เฒ่าเติ้งชมเชยว่าเว่ยฮ่วนและเสิ่นเซวียนกำหนดการแต่งงานของลูกๆ ได้อย่างเหมาะสม ซูผิงจ่านจึงพูดออกมาอย่างเรียบๆ ประโยคหนึ่งว่า “สายตาของพวกเราก็ไม่เลว พวกลูกๆ ก็มิใช่ว่ามีแต่ดีๆ ทั้งนั้น” เพื่อบอกเป็นนัยว่าให้การต่อสู้ยุติแต่เพียงเท่านี้ ห้ามให้เกิดเรื่องต่อไปอีก
ด้วยเหตุที่นางเติ้งออกหน้าปั่นป่วนเรื่องแต่งงานของซูอวี๋อู่ บ้านใหญ่จึงถูกจดความผิดไว้หนหนึ่ง ไม่ว่าที่นางเติ้งทำเช่นนี้เพราะถูกนางเฉียนสั่งมา หรือเพราะนางจงใจทำเอง อย่างไรเสียนางเฉียนซึ่งเป็นแม่สามีก็จะต้องรับผิดชอบแทนนาง แต่ซูผิงจ่านก็ไม่พอใจบ้านสามเช่นกัน เดิมทีด้วยเรื่องของเสิ่นจั้งจูก็ทำให้มีรอยร้าวระหว่างฮูหยินซูและนางเฉียนอยู่แล้ว แม้พอเรื่องผ่านไป โดยฐานะแล้วทำให้ทั้งสองฝ่ายยังคงรักษาหน้าตาฉันญาติมิตรมาจนวันนี้ แต่ความขัดเคืองในใจก็ยากจะลบเลือน แล้วปรากฏว่าบ้านสามยังจะไปเป็นดองกับฮูหยินซู… หากซูอวี๋เชี่ยนยังอยู่เรื่องนี้กลับไม่เป็นไร
แต่หลังจากซูอวี๋เซี่ยนเสียไป ซูผิงจ่านก็กำลังชั่งน้ำหนักระหว่างหลานชายแท้ๆ ทั้งสองคน แล้วในเวลาเช่นนี้เว่ยเจิ้งอินกลับไปหมั้นหมายเสิ่นจั้งหนิงบุตรสาวคนเล็กของฮูหยินซูให้แก่ซูอวี๋อู่ ต่อให้ฮูหยินซูมีคำอธิบายนับร้อยว่านางเพียงแค่ชื่นชอบหลานชายซูอวี๋อู่ผู้นี้เท่านั้น หรือบอกว่ากลัวว่าหากบุตรสาวคนเล็กจอมทโมนแต่งเข้าบ้านอื่นก็จะถูกข่มเหงรังแก แต่นางก็ไม่มีทางปฏิเสธได้อยู่ดี นั้นเพราะแม้จะเป็นหลานชายจากภรรยาเอกของพี่ชายและน้องชายเช่นกัน แต่คนหนึ่งเป็นเพียงหลานชาย ส่วนอีกคนยังเป็นบุตรเขยด้วย หากวันหนึ่งทั้งสองคนเกิดขัดแย้งกันขึ้นมา นางก็จะต้องยืนอยู่ข้างคนที่เป็นทั้งหลานชายทั้งยังเป็นบุตรเขย
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าบิดามารดา นางก็จะต้องคอยช่วยพูดให้ซูอวี่อู่มากกว่า
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว รอยร้าวระหว่างฮูหยินซูและบ้านใหญ่ตระกูลซูก็ยิ่งจะลุกลามใหญ่โต… ยิ่งไปกว่านั้นหากพูดในมุมของมโนธรรม สาเหตุที่บ้านใหญ่ได้รับเคราะห์กรรมเช่นนี้ ก็ล้วนเป็นเพราะซูอวี๋เซี่ยนบังเอิญล้มป่วยจนเสียชีวิต เรื่องที่พวกเขาต้องพบเจอนี้เดิมทีก็น่าสงสารอยู่แล้ว
ปรากฏว่าบ้านสามแย่งตำแหน่งประมุขตระกูลไปจากพวกเขายังไม่พอ ซูซิ่วม่านซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ก็ยังมาซ้ำเติม เห็นดีเห็นงามกับบ้านสาม โดยไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดที่บ้านใหญ่ต้องเสียบุตรชายไปแม้แต่น้อย กลับจับคู่บุตรสาวคนเล็กให้กับบุตรชายคนโตของบ้านสาม คล้ายเกรงว่าบ้านสามจะข่มบ้านใหญ่ไม่ลงเช่นนั้น!
หากมีการแต่งงานหนนี้เกิดขึ้น ไม่เพียงแค่จะเกิดการต่อสู้ระหว่างนางเฉียนและเว่ยเจิ้งอินเท่านั้น ซูซิ่วหมิงเองก็จะไม่พอใจน้องสาวด้วย
สำหรับซูผิงจ่านแล้ว ซูอวี๋เหลียงและซูอวี๋อู่ล้วนเป็นหลานชายของเขา ยิ่งไปกว่านั้นล้วนเป็นหลานชายที่เกิดจากภรรยาเอกของบุตรชาย แม้เขาจะต้องเลือกระหว่างบ้านใหญ่และบ้านสาม แต่ย่อมไม่มีทางหวังว่าบ้านใหญ่และบ้านสามจะมาเคืองแค้นกันด้วยเหตุนี้ และยิ่งไม่หวังให้บุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วมาเกี่ยวข้องกับความแค้นต่างๆ ในบ้านฝั่งมารดาด้วย และเพราะสาเหตุนี้ แม้เสิ่นจั้งหนิงจะไม่กินนกแก้วของซูอวี๋อู่ ซูผิงจ่านก็จะไม่ยอมให้หลานตามาเป็นหลานสะใภ้แน่ๆ
ไม่ใช่ว่าซูผิงจ่านไม่ชอบหลานสาวของตน หากแต่คำนึงถึงความกลมเกลียวปรองดองของวงศ์ตระกูล
ซึ่งแน่นอนว่า คนภายนอกล้วนกำลังมองทิศทางของตระกูลซูว่าจะเป็นเช่นใด ทั้งความงดงามและความสามารถของซูอวี๋อู่ล้วนไม่เลว ตอนนี้ดูไปแล้วอนาคตของเขาก็ดีด้วยเช่นกัน… หากไม่มีเสิ่นจั้งหนิงแล้วก็ยังสามารถแต่งกับคุณหนูบุตรภรรยาเอกของบ้านอื่นซึ่งเป็นที่รักและได้รับความสำคัญในตระกูลของนาง ทั้งยังเอื้อประโยชน์ต่อเขาได้เช่นกัน
ปัญหาก็คือตอนนี้ตัวซูอวี๋อู่เองก็ถึงวัยที่ต้องหมั้นหมาย ซูผิงจานก็บอกเป็นนัยแล้วว่าอย่าให้มีการต่อสู้กันต่อไปอีก เว่ยเจิ้งอินรับปิ่นหยกเขียวนกเป็ดน้ำที่มอบแก่ฮูหยินซูกลับมา แล้วค่อยหาพ่อตาที่ปราดเปรื่องและเก่งกาจ พร้อมทั้งภรรยาที่เก่งกล้าและมีความรู้ความสามารถให้แก่ซูอวี๋อู่ใหม่ และจะทำให้ซูผิงจ่านคิดว่าสะใภ้บ้านสามเอาคำพูดของเขาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา และยังคิดจะกดบ้านใหญ่ให้จมลงไปอีกหรือไม่?
หากนางทำไปดังนี้แล้วเป็นการล่วงเกินพ่อสามีก็ยังนับว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องที่ถ่วงอนาคตของซูอวี๋อู่จึงเป็นเรื่องใหญ่
แต่หากเว่ยเจิ้งอินเลือกบ้านที่มีอิทธิพลค่อนข้างต่ำให้แก่บุตรชายโทนของตน แล้วนางจะยอมได้อย่างไร? ว่ากันจริงๆ อย่างไรก็ตามเว่ยเจิ้งอินก็ยังหวังว่าซูอวี๋อู่จะได้เป็นผู้สืบทอดฝูเฟิงถังคนต่อไป
ที่สู้ก็เพื่อแก่งแย่ง ไม่สู้ก็เพื่อแก่งแย่งเช่นกัน… แต่ยามนี้ กลับกลายเป็นว่าสู้ก็ไม่ถูก ไม่สู้ก็ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า?
ซูผิงจ่านออกปากเอง ต่อให้ฮูหยินซูอยู่ที่นี่เองก็ทำได้เพียงมอบของประกันคืนกลับมาเท่านั้น เมื่อเว่ยเจิ้งอินรับปิ่นหยกเขียวนกเป็ดน้ำนี้กลับคืนไปแล้ว เมื่อเว่ยฉางอิ๋งกลับไปก็จะสามารถไปรายงานต่อแม่สามีได้ เมื่องานของตนเสร็จสิ้นลง คราวนี้นางย่อมมาช่วยบรรเทาความกังวลของท่านอาของตนบ้าง “ว่ากันตามตรงแล้วเรื่องที่ท่านอาเป็นกังวลก็ยังคงเป็นเรื่องแต่งงานของลูกผู้น้องอวี๋อู๋ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เว่ยเจิ้งอินยิ้มเจื่อนๆ บอกว่า “แล้วจักมิใช่หรือ? เดือนหน้าวันที่สิบสองอวี๋อู่ก็จะอายุเต็มสิบแปดปีแล้ว แม้เจ้าจะเพิ่งแต่งงาน ทว่าเจ้ากลับมีสัญญาแต่งงานมาตั้งแต่อยู่ในผ้าอ้อมแล้ว แต่เขากลับไม่มีวี่แววใดๆ เลย .. หากยังรั้งรอเวลาต่อไป อวี๋เฟยและอวี๋อินก็จะถึงเวลาหมั้นหมายแล้ว!”
ที่นางพูดเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งอดคิดไม่ได้ว่าชายหนุ่มโดยทั่วไปนั้นเมื่ออายุสิบสี่สิบห้าปี พวกผู้ใหญ่ก็หาตัวเลือกภรรยาดีๆ มาให้แล้ว แต่ซูอวี๋อู๋กลับเพิ่งจะมาเอ่ยถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเว่ยเจิ้งอินเองก็หมายตาเสิ่นจั้งหนิงเอาไว้นานแล้ว
อย่างไรเสียนับจากซูอวี๋เซี่ยนเสียไปจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสามสี่ปีแล้ว เมื่อตอนที่เขาเสียไป ก็พอดีเป็นช่วงที่ควรจะพูดเรื่องแต่งงานของซูอวี๋อู่ เว่ยเจิ้งอินก็มองดูซูอวี๋เหลียงเติบโตมา เมื่อเปรียบเทียบกันทั้งสองฝ่ายแล้ว ในยามที่บ้านใหญ่กำลังเศร้าโศกเสียใจ เว่ยเจิ้งอินก็เห็นว่าบุตรชายของตนมีโอกาส จึงได้วางแผนอนาคตให้แก่เขา… ด้วยเหตุที่ตอนนั้นเสิ่นจั้งหนิงเองก็เพิ่งจะอายุสิบเอ็ดสิบสอง แม้จะสามารถเอ่ยเรื่องแต่งงานได้แล้ว แต่เมื่อคำนึงถึงว่าลูกผู้พี่เพิ่งจะเสียไป แล้วลูกผู้น้องชายก็จะเริ่มเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานกับลูกผู้น้องหญิงแล้ว ก็ดูจะแล้งน้ำใจเกินไปหน่อย
ดังนั้นจึงได้ยื้อมาจนถึงตอนนี้ และเรื่องน่ายินดีเหนือคาดก็คือฮูหยินซูกลับเป็นคนที่ออกปากมาเอง
หรือต่อให้เว่ยเจิ้งอินไม่ได้หมายตาเสิ่นจั้งหนิงเอาไว้ อย่างน้อยก็คงต้องหมายตาสตรีตระกูลดีๆ ที่มีฐานะไม่น้อยหน้าเสิ่นจั้งหนิงเอาไว้บ้างแล้ว
แต่แล้วเพราะคำพูดประโยคหนึ่งของซูผิงจ่านกลับทำให้เรื่องที่เว่ยเจิ้งอินวางแผนเอาไว้หลายปีนี้กลับกลายเป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียนี่ ก็มิน่าเล่าที่เว่ยเจิ้งอินจะเป็นกังวล
เว่ยฉางอิ๋งจึงปลอบนางว่า “ก่อนลูกผู้น้องห้าก็มิใช่ว่ายังมีลูกผู้น้องสี่? ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็ยังไม่ร้อนใจ แล้วไยท่านอาต้องร้อนใจเล่าเจ้าคะ? ดีชั่วอย่างไรลูกผู้น้องก็เป็นชาย ว่ากันกว่าลูกผู้ชายหรือจะไร้ภรรยา ท่านอามิสู้รอให้มีเรื่องแต่งงานของลูกผู้น้องสี่ออกมาเสียก่อน แล้วค่อยมามองหาสตรีให้ลูกผู้น้องห้า เมื่อเป็นดังนี้ก็ถือเป็นการให้ความเคารพท่านป้าสะใภ้ใหญ่และลูกผู้น้องสี่ด้วย เพื่อมิให้ชิงจัดการเรื่องแต่งงานของลูกผู้น้องห้าก่อนหน้าลูกผู้พี่เจ้าค่ะ”
เมื่อถูกนางเอ่ยเตือนเช่นนี้ เว่ยเจิ้งอินจึงนึกขึ้นมาได้ในทันใด… นางหมายหมั้นปั้นมือช่วยลูกชายวางแผน ทั้งยังกลัวว่าหากเพียงพลั้งเผลอก็จะถูกบ้านใหญ่แย่งอำนาจ แต่กลับหลงลืมไปว่า ซูอวี๋เหลียงในบ้านใหญ่นั้นยังโตกว่าซูอวี๋อู่สองเดือน ก่อนเว่ยฉางอิ๋งแต่งงานสองวันก็เพิ่งจะเป็นวันเกิดของเขา!
เป็นดังคำของเว่ยฉางอิ๋ง บ้านใหญ่เองก็ยังไม่ทันเร่งร้อนจะหาภรรยาที่ทั้งเก่งกาจและสามารถช่วยสนับสนุนซูอวี๋เหลียงให้กับเขาเลย แล้วเว่ยเจิ้งอินมีสิ่งใดให้ต้องรีบร้อน? อย่างไรเสียซูอวี๋อู่เองก็เก่งกล้ากว่าซูอวี๋เหลียงอยู่แล้ว วันหน้าก็ใช้ตัวเลือกภรรยาของซูอวี๋เหลียงมาเปรียบเทียบ ขอเพียงหาภรรยาที่มีคุณสมบัติไม่ห่างไกลจากภรรยาของซูอวี๋เหลียงเกินไปก็นับว่าไม่เสียเปรียบเขาแล้ว
ที่ซูผิงจ่านเอ่ยปากออกมาดังนี้ก็เพราะอยู่ต่อหน้าเว่ยเจิ้งอิน และไม่มีนางเฉียนอยู่ ตอนที่เว่ยเจิ้งอินกำลังเกิดความลังเลก็อดจะรู้สึกไม่ได้ว่าพ่อสามีจงใจกล่าวเตือนตน ซึ่งเมื่อเป็นดังนี้ก็ย่อมเป็นเพราะเขาเกิดความไม่พอใจบ้านสามเป็นอย่างมากแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางย่อมต้องรู้สึกกลัว
เมื่อหลานสาวมาพูดเช่นนี้ เว่ยเจิ้งอินก็นึกออกอีกว่า เมื่อพ่อสามีไม่ให้นางเลือกหลานสาวมาเป็นสะใภ้ ก็ย่อมไม่ชอบให้นางเฉียนเลือกเด็กสาวที่แกร่งกล้าเกินไปและมีพ่อตาที่เก่งกาจเกินไป เพื่อไม่ให้หลานชายเกิดความขัดแย้งกัน… เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาตัดสินใจเลือกซูอวี๋อู่ไปแล้วใช่หรือไม่ จึงไม่อยากให้งานแต่งงานของซูอวี๋อู่ทำร้ายน้ำใจบ้านใหญ่จนเกินไป และในเวลาเดียวกันก็ไม่อยากให้ซูอวี๋เหลียงถูกนางเฉียนหรือบ้านฝั่งภรรยายุยงให้เขาช่วงชิงอำนาจจากซูอวี๋อู่ในอนาคตด้วย?
หากเป็นเช่นนี้ ก็ยังนับว่าบ้านตนได้เปรียบกว่า เว่ยเจิ้งอินพลันโล่งอกและอดจะตบมือไปหนหนึ่งไม่ได้ ว่าแล้วก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “แม้เจ้าจะยังเด็ก แต่กลับมองได้ทะลุปรุโปร่ง! เสียแรงที่ข้าซึ่งเป็นอาของเจ้านึกว่าตนเองฉลาด แต่กลับลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท กลายเป็นว่ากังวลไปเปล่าๆ ปลี้ๆ อยู่เสียตั้งนาน!”
“นี่เพราะท่านอาเป็นห่วงจนสับสน ข้าน่ะ เป็นคนนอกจึงมองได้ชัดเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งไม่กล้ารับความชอบ เมื่อเห็นว่าเว่ยเจิ้งอินคิดได้แล้ว ไม่ได้กลัดกลุ้มกับเรื่องของซูอวี๋อู่อีก จึงเอ่ยถามความเป็นมาเรื่องนกแก้วขึ้นมา “ไม่ปิดบังท่านอา ยามท่านแม่สั่งงานมาก่อนหน้านี้ก็มิได้บอกรายละเอียด ข้าฟังยังรู้สึกงงงวยนัก สองวันก่อนก็เดาเอาว่าอาจเป็นจั้งหนิงไม่ยินยอมแต่งงานเอง แล้วต่อมาก็เดาว่าหรืออาจเป็นลูกผู้น้องที่เป็นฝ่ายไม่เต็มใจ… เมื่อครู่นี้ก็ยังปักใจว่าต้องเป็นท่านป้าสะใภ้เป็นคนลงมือ แล้วท่านอาก็บอกว่าเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ แท้จริงแล้วเรื่องนี้คือ…?”
เว่ยเจิ้งอินคิดตกเรื่องการแต่งงานของบุตรชายจึงไม่รู้สึกกลัดกลุ้มอีก ยามนี้จิตใจปลอดโปร่งขึ้นมา จึงอธิบายกับนางด้วยมุมปากอมยิ้มว่า “ความจริงแล้ว เดิมทีจั้งหนิงเพียงคิดจะถอนขนนกสักสองอันไปปักเป็นเครื่องประดับผมเท่านั้น เพียงแต่เจ้านกแก้วตัวนั้นแม้จะมีปีกหางทั้งหมดอยู่เพียงไม่กี่อัน ทว่าแต่ละอันล้วนมีสีสันจัดจ้านงดงาม จู่ๆ นางก็ตัดสินใจไม่ได้ จึงแอบอุ้มมันมาในสวน แล้วไปหามุมวิเวกมุมหนึ่งเพื่อค่อยๆ เลือก ไม่คิดว่าจะได้พบกับนางเติ้ง เสิ่นจั้งหนิงขอให้นางช่วยดูว่าสองอันไหนงามที่สุด นางเติ้งจึงบอกว่านกแก้วอยู่ในมือเสิ่นจั้งหนิง นางจึงมองไม่ชัดเจน เสิ่นจั้งหนิงจึงเอานกแก้วให้นางถือ…”
________________________________________________________