ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 253 ซักไซ้ไล่เลียงเอาผิด
แม่โจวกำลังอ้าปากค้าง ผ่านไปชั่วขณะหนึ่งก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา นางไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดีหรือ
หลินหลันเองก็รู้สึกกลัดกลุ้มเช่นกัน นางจึงบอกกล่าวอย่างสั้นง่ายได้ใจความ โดยไม่เอ่ยเรื่องของตาผู้เฒ่าผู้ไม่มั่นคงในความรักผู้นั้น ที่พอได้ยินว่าภรรยาเสียชีวิตแล้วก็แต่งงานใหม่ทันที แม่โจวสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วพยักหน้า จะว่าเข้าใจก็เข้าใจอยู่ ทว่าเรื่องนี้ตามจริงมันก็ช่างกะทันหันเกินไปจริงๆ นายหญิงสะใภ้รองเดิมเป็นสาวชาวบ้านคนหนึ่ง จู่ๆ กลายเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ นี่มันช่างเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ด้านหนึ่งแม่โจวก็ดีใจแทนนายหญิงสะใภ้รอง อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกกังวลใจ ที่ดีใจเพราะ แม้นายหญิงสะใภ้รองมีทักษะการแพทย์ล้ำเลิศ และรู้จักวางตนอย่างเหมาะสมดีงาม ทว่าภูมิหลังนายหญิงสะใภ้รองเป็นสาวชนบท ฐานะของนางมักถูกคนดูหมิ่นเหยียดหยาม ตอนนี้กลายเป็นว่า นายหญิงสะใภ้รองเป็นบุตรสาวของแม่ทัพฮ๋วยหยวน หลังจากนี้ยังจะมีผู้ใดกล้าดูถูกนายหญิงสะใภ้รองอีก? ทว่าปัญหาคือ ดูเหมือนนายหญิงสะใภ้รองไม่มีความนึกคิดที่จะยอมรับบิดาผู้นี้…
“เช่นนั้น…คุณชายซานเอ๋อร์รู้หรือไม่ แล้วเอ้อร์เส้าหน่ายนายเตรียมจะทำเช่นไรหรือเจ้าคะ” แม่โจวซักถาม
หลินหลันรู้สึกหดหู่ใจ “เจ้าเด็กน้อยหอยสังข์นี่ฉลาดเป็นกรด คงรู้แล้วกระมัง ตอนนี้นางเฝิงถึงได้จับซานเออร์โยนมาทางข้านี่ นางนึกคิดอันใดอยู่ในใจข้าเองก็รู้ดีเช่นกัน นางมีความสามารถหลบหลีกหนีหน้าได้ถึงสองเดือนก็ให้มันรู้ไป แต่เมื่อใดที่ถูกข้าจับได้ ข้าจะส่งซานเอ๋อร์กลับไปทันที เรื่องนี้ ท่านรับรู้ไว้และช่วยข้าดูแลซานเอ๋อร์ให้ดีๆ ก็พอ”
แม่โจวขานรับอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ภายในสมองครุ่นคิดแต่ข้อดีที่นายหญิงสะใภ้รองจะรับผู้นี้เป็นบิดา เราเองก็ไม่ได้หวังจะกอบโกยผลประโยชน์อันใดจากแม่ทัพ นอกเสียจาก การที่นายหญิงสะใภ้รองมีบิดาที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ด้วยชื่อเสียงเรียงนามนี้ คงเป็นประโยชน์มากมาย
ในเรือนเวยอวี่ ติงฮูหยินเห็นบุตรสาวแพ้ท้องจนซูบผอม ทั้งรู้สึกปวดใจทั้งรู้สึกโกรธเคือง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร บุตรสาวก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่ตนเองให้กำเนิดมา เป็นแก้วตาดวงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจ ยามอยู่ที่บ้าน เคยได้รับความเศร้าโศกแม้เพียงน้อยนิดเช่นนี้เสียที่ไหนกัน เรื่องทุกเรื่องล้วนมีนางคอยจัดแจงให้เสร็จสรรพอย่างรอบคอบ เพื่อบุตรสาวจึงหาคู่ครองดีๆ ให้ นางไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีก คาดไม่ถึงว่าจะเลือกผิด ดันไปคว้าครอบครัวที่โชคร้าย เลือกลูกเขยที่ไม่ได้เรื่องได้ราวเช่นนี้มาเสียได้ นางเกลียดที่ตนเองมีตาหามีแววไม่ ยิ่งไปกว่านั้นคือโกรธที่บุตรสาวดื้อรั้น ดื้อรั้นที่จะอยู่รับความทุกข์ระทมกับคนเช่นนี้ เป็นแม่นางในตระกูลขุนนางดีๆ กลายเป็นภรรยาพ่อค้า เข้าสู่ชนชั้นต่ำไปเสียได้ ตอนนี้ตั้งครรภ์ขึ้นมาแล้ว หากคิดจะพาบุตรสาวกลับไปคงเป็นไปได้ยากยิ่ง
“เฮ้อ…พูดไปพูดมา แม่ทำได้แค่กล่าวโทษตนเอง ตอนแรกหากให้เจ้าแต่งกับบุตรชายคนรองของตระกูลหลี่ ก็คงไม่เดินมาถึงขั้นนี้” ติงฮูหยินโอดครวญ อดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตา
ติงหลั้วเหยียนรู้สึกตระหนกตกใจ รีบส่งเสียงหยุดยั้ง “ท่านแม่ ท่านพูดจาเลอะเลือนอันใดเจ้าคะ” ในห้องนี้ยังมีข้ารับใช้อยู่ด้วยแท้ๆ! หากแพร่งพรายออกไปให้น้องสะใภ้ได้ยินเข้าจะเป็นการไม่ดีเอาได้ แล้วนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหรือ
หงซางผู้มีไหวพริบ กล่าวขึ้นทันควัน “ข้าน้อยไปดูยาที่ต้มไว้ให้ต้าเส้าหน่ายนายก่อนนะเจ้าคะว่าเสร็จหรือยัง” นางหันหลังให้แล้วเดินออกไปทันทีที่กล่าวจบ พร้อมเรียกสาวใช้อีกสองคนเดินลงไปจากอาคารนี้ด้วย
ติงฮูหยินกล่าวเชิงตำหนิตนเอง “แม่รู้ความนึกคิดของเจ้า เดิมแม่เห็นว่าบุตรชายคนรองของตระกูลหลี่ก็ไม่เลวเช่นกัน เลยคิดว่าจะรอให้ผ่านไปอีกสักสองปีคอยพูดคุยเรื่องงานแต่ง คาดไม่ถึงว่าระหว่างนั้นดันมีบุตรชายคนโตโผล่ขึ้นมา…และบุตรชายคนรองดันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
ติงหลั้วเหยียนไม่พึงพอใจอย่างยิ่ง “ท่านแม่ เรื่องที่ผ่านไปแล้ว อย่าเอ่ยถึงอีกเลย ตอนนี้ลูกก็สุขสบายดีอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“สุขสบายดีอันใดหรือ เจ้าลองพูดมาสิว่าเจ้าสุขสบายดีตรงไหน อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดทั้งนั้น ร้านใบชาที่หมิงเจ๋อดำเนินกิจการอยู่นั้นทำเงินได้น้อยนิด ไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในบ้านด้วยซ้ำ เจ้าเลยแอบนำเงินสินเดิมของเจ้ามาช่วยจุนเจือภายในบ้าน คนอย่างเราๆ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเป็นคู่สามีภรรยาที่ร่ำรวยอะไรนั่น ทว่าในเมื่อแต่งงานกับบุรุษทั้งที ก็ต้องกินดีอยู่ดี อย่างน้อยๆ เขาก็ต้องเลี้ยงดูเจ้าได้มิใช่หรือ หลั้วเหยียนอ่า! เจ้าว่าเจ้าโง่เขลาหรือไม่ ที่นำพาชีวิตตนเองทั้งชีวิตเดินไปตามทางมืดมนกับคนคนนี้ และไม่คิดเสียงบ้างว่าแม่จะปวดใจเพียงใด” ติงฮูหยินกล่าวตำหนิ
“ท่านแม่…หมิงเจ๋อเพิ่งเรียนรู้การทำกิจการค้าขาย ทำเงินได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ภายภาคหน้าจะต้องดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน ความยากลำบากในตอนนี้เป็นเพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น อีกอย่าง หมิงเจ๋อปฏิบัติต่อลูกด้วยใจจริง ลูกไม่รู้สึกทุกข์ยากลำบากเลยสักนิด ท่านแม่อย่าเป็นกังวลแทนลูกเลยนะเจ้าคะ”ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความอ่อนใจ
ติงฮูหยินกล่าวอย่างไม่ถนอมจิตใจภายใต้สีหน้าเคร่งขรึม “เขาปฏิบัติต่อเจ้าด้วยใจจริงหรือ เขาจะกล้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีอีกหรือ ด้วยสภาพอย่างเขาตอนนี้ คู่ควรกับสาวใช้สักคนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
“ท่านแม่…สรุปท่านมาเยี่ยมลูกหรือมาระบายอารมณ์ใส่ลูกกันแน่เจ้าคะ” ติงหลั้วเหยียนปวดศีรษะจนเกินบรรยาย เดิมทีตัวนางเองก็ไม่สบายอยู่แล้ว มารดายังเอาแต่พูดจาสร้างความอึดอัดใจให้แก่นางอีก
เห็นบุตรสาวขมวดคิ้วนิ่วหน้า ท่าทางไม่สบายอย่างยิ่ง ความโกรธเกรี้ยวที่อัดแน่นเต็มอกของติงฮูหยินจึงทำได้เพียงปล่อยเอาไว้ก่อน สตรีรู้จักหน้าที่การเป็นภรรยาไม่ใช่เรื่องไม่ดีแต่อย่างใด เมื่อแต่งงานแล้วก็รู้จักปกป้องสามีตนเอง คำพูดของมารดาแท้ๆ จึงไม่ต่างจากสายลมที่เข้าหูสายทะลุออกหูขวา
“ข้าได้ยินว่าอาการของหญิงชราไม่ค่อยสู้ดีนัก” ติงฮูหยินเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เมื่อกล่าวถึงหญิงชรา ติงหลั้วเหยียนเผยสีหน้าหดหู่ทันที “ท่านแม่ ลูกกำลังเป็นกังวลต่อเรื่องนี้ หมอต่างกล่าวว่าเหล่าไท่ไทคงอยู่ได้อีกไม่กี่เดือนแล้วเจ้าค่ะ”
ติงฮูหยินกล่าว “เจ้ามีอันใดต้องกังวล ตระกูลหลี่มิใช่ไร้ผู้อื่นมิใช่หรือ เจ้าตั้งหน้าตั้งตาดูแลครรภ์ของเจ้าให้ดีก็พอ เจ้าตั้งครรภ์แล้วเดิมทีก็ควรอยู่ให้ห่างเรื่องประเภทนี้เข้าไว้ เพื่อจะได้ไม่ถูกโชคร้ายไปด้วย สะใภ้รองก็กลับมาแล้วมิใช่หรือ ให้นางเป็นเดือดเป็นร้อนไปก็พอ”
ติงหลั้วเหยียนเดิมทีอยากขอให้มารดาช่วยจัดหาหัวหน้าสาวใช้ที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้มาช่วยเหลือสักหน่อย เมื่อถูกมารดาพูดสวนมาเช่นนี้ จึงล้มเลิกความนึกคิดไปจนหมดสิ้น และเอ่ยปากให้คนเขารีบกลับไป “ท่านแม่ ท่านออกมานานแล้ว ควรกลับได้แล้วเจ้าค่ะ”
ติงฮูหยินกล่าวด้วยความเดือดดาล “เจ้านี่ช่างไร้น้ำใจจริงๆ นี่มิใช่เพราะแม่คำนึงถึงเจ้าหรือไรกัน ช่างเถอะๆ ข้าไม่พูดแล้ว เจ้าดูแลตนเองให้ดีๆ แล้วกัน หากหมิงเจ๋อไม่ดีต่อเจ้า เจ้าแค่บอกกล่าวมา แม่จะจัดการเขาเองทันที”
ติงหลั้วเหยียนเผยสีหน้าเศร้าสลด มารดายังคงไม่ยอมลดละ และคิดที่จะจับพวกเขาแยกจากกันอยู่เสมอๆ
เด็กน้อยหอยสังข์เป็นคนที่ชาญฉลาดเสียยิ่งอะไรดี รับประทานอาหารมื้อหนึ่ง ก็กล่าวเชยชมกุ้ยซ่าวจนตัวม้วนเป็นเกลียว
“กุ้ยซ่าว ท่านทำอาหารอร่อยจริงๆ ฝีมือการทำครัวดีกว่าหัวหน้าโรงครัวที่บ้านข้ามาก ข้าเติบใหญ่เพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยกินกับข้าวที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย” ซานเอ๋อร์ตักกับข้าวเข้าปากคำโต ท่าทางการรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยนั่น เป็นเครื่องแสดงความเป็นจริงว่าคำพูดของเขามันจริงจังมากเพียงใด
กุ้ยซ่าวเอ่ยด้วยความสุขใจ “คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ชอบรับประทานอะไรแค่บอกกุ้ยซ่าวเป็นพอเจ้าค่ะ กุ้ยซ่าวจะทำให้ท่านเองเจ้าค่ะ”
หลินหลันนึกหมั่นไส้อยู่ในใจ เด็กน้อยจอมเจ้าเล่ห์นี่ เจ้าเติบใหญ่ถึงเพียงนี้เช่นนั้นหรือ เจ้าเพิ่งอายุเท่าใดเอง? ขนยังไม่ขึ้นด้วยซ้ำ! ทำมาพูดเป็นคนมากประสบการณ์ไปได้ หลินหลันชำเลืองตามองซานเอ๋อร์ และกล่าวอย่างใจเย็น “เป็นเด็กเป็นเล็ก จะเลือกรับประทานอาหารมิได้ กุ้ยซ่าวทำอันใดก็กินอันนั้น”
ซานเอ๋อร์งับข้าวหนึ่งคำแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง พลางเผยรอยยิ้มระรื่น จากนั้นกล่าว “กุ้ยซ่าวทำอันใดก็กินได้ทั้งนั้นขอรับ”
เล่นเสียกุ้ยซ่าวสุขใจจนยิ้มไม่หุบ พลางนึกคิดในใจ ไว้รอนายหญิงสะใภ้รองไม่อยู่ค่อยถามไถ่คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ว่าชอบรับประทานอะไรอีกทีแล้วกัน ช่างเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ
หลินหลันอดไม่ได้ที่จะตำหนิอยู่ในใจ ช่างรู้จักประจบสอพลอจริงๆ เจ้าไม่ประจบสอพลอสักสิบห้านาทีจะขาดใจตายหรือไร นิสัยนี้ไม่รู้เช่นกันว่าเหมือนผู้ใด ตาเฒ่านั่นคงไม่ใช่ลักษณะเช่นนี้ไปได้ ตาเฒ่านั่นรู้จักแต่ชักสีหน้าเคร่งขรึมตลอดทั้งวี่ทั้งวันเท่านั้นละ นางเฝิงก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงใจผู้หนึ่ง แล้วเหตุใดถึงให้กำเนิดเด็กน้อยหอยสังข์ที่ร้ายกาจไม่ใช่ย่อยเยี่ยงนี้ออกมาได้
ตั้งแต่แม่โจวรับรู้ฐานะที่แท้จริงของซานเอ๋อร์สภาพอารมณ์ที่ปฏิบัติต่อซานเอ๋อร์จึงแตกต่างไป เดิมเป็นเพราะเห็นแก่หน้านางเฝิง ผนวกกับความน่าเอ็นดูชวนให้ผู้คนรักใคร่ของซานเอ๋อร์ จึงอดไม่ได้ที่จะเอาใจใส่เขามากหน่อย ปฏิบัติต่อซานเอ๋อร์เสมือนแขกตัวน้อยๆ ยามนี้พอได้รู้ว่าซานเอ๋อร์เป็นน้องชายของนายหญิงสะใภ้รอง จึงอดไม่ได้ที่จะปฏิบัติต่อซานเอ๋อร์เสมือนนายน้อยผู้หนึ่ง
ตามจริงพวกเขาสองพี่น้องก็มีส่วนคล้ายคลึงกันอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะดวงตาคู่กลมโตนั่น ที่ดูมีไหวพริบอย่างยิ่ง แม่โจวยิ่งมองยิ่งชื่นชอบ อดคิดขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ว่า เมื่อใดที่นายหญิงสะใภ้รองให้กำเนิดคุณชายตัวน้อยๆ ออกมาก็คงดี
แม้หลินหลันเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่พึงพอใจ แต่เมื่อมองดูซานเอ๋อร์ที่รับประทานอย่างเอร็ดอร่อยเพียงนั้น จึงอดรู้สึกคล้อยตามไปด้วยไม่ได้ จึงรับประทานเข้าไปถึงหนึ่งชามครึ่ง
โต๊ะอาหารทางด้านนี้เพิ่งเก็บกวาดเป็นที่เรียบร้อย ทางด้านแม่เหยานั้นก็ส่งคนมาบอกกล่าวว่านายท่านใหญ่พร้อมภรรยาที่บ้านเกิดเดินทางมาถึงแล้ว โดยเวลานี้คุณชายใหญ่กำลังต้อนรับนายท่านใหญ่อยู่ที่โถงรับแขกส่วนหน้า
หลินหลันจึงรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมจนเรียบร้อย จากนั้นกำชับแม่โจวให้ดูแลซานเอ๋อร์ดีๆ แล้วตนเองจึงไปพบผู้เป็นลุงโดยพาหรูอี้ติดตามไปด้วย
เพิ่งเดินเข้าไปในลานบ้าน หลินหลันก็ได้ยินเสียงบุรุษผู้หนึ่งกำลังร้องไห้อย่างหนักหน่วง “ท่านแม่…ทุกคนล้วนกล่าวว่าท่านมาเมืองหลวงแล้วจะได้สุขสบาย ใครจะรู้ว่านอกจากมิได้สุขสบายแล้วยังเอาชีวิตมาทิ้งอีกด้วย...หมิงเจ๋อ เจ้าว่า สรุปแล้วพวกเจ้าปรนนิบัติเหล่าไท่ไทกันอย่างไรหรือ ยามเหล่าไท่ไทมาก็ยังแข็งแรงดีอยู่แท้ๆ ที่พวกเจ้าส่งจดหมายมาบอกกล่าวเมื่อก่อนหน้านี้ว่าอาการป่วยของท่านย่าดีขึ้นมากแล้ว ไฉนตอนนี้กลับว่าไม่สู้ดีอีกแล้ว วันนี้เจ้าต้องอธิบายกับข้าให้กระจ่างแจ้ง มิเช่นนั้น คนครอบครัวหลี่จะไม่ยินยอมเป็นแน่…”
หลินหลันรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดดังกล่าว ท่านลุงใหญ่หมายความว่าอย่างไรกัน รู้สึกว่าหญิงชราถูกพวกเขาทำร้ายเช่นนั้นหรือ เจ้ากตัญญูนักหนา แล้วก่อนหน้านี้ไปมัวทำอันใดอยู่หรือ นี่รวมๆ แล้วก็เกือบหนึ่งปีเข้าไปแล้ว รู้ทั้งรู้ว่ามารดาล้มป่วย แล้วพวกเจ้ามัวหายหัวไปอยู่ไหนกันหรือ มิใช่เพราะเกรงว่าจะติดร่างแหไปด้วย จึงแอบอยู่ที่บ้านเกิดเพื่อหลีกหนีปัญหาหรอกหรือ พอทีนี้กลับมาซักไซ้ไล่เรียงเอาผิด ทำมายกคนครอบครัวหลี่ขึ้นมาอ้าง! ครอบครัวหลี่มีคนในวงศ์ตระกูลสักกี่คนเชียว? และที่มาตีตนเป็นญาติมิตรสนิทสนม ไม่ใช่เพราะเห็นว่าพ่อผู้ไร้ยางอายเป็นขุนนางใหญ่โตหรอกหรือ
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวอธิบายอย่างเศร้าสลด “เดิมทีดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่ปีที่แล้วอาการป่วยดันทรุดหนักขึ้นมาอีกครั้งน่ะขอรับ…”
“มิต้องมาพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้กับข้า หากพวกเจ้าดูแลปรนนิบัติอย่างสุดแรงกายแรงใจ อาการป่วยของเหล่าไท่ไทจะหนักหนาสาหัสขึ้นมากะทันหันได้อย่างไร” หลี่จิ้งอี้กล่าวตำหนิด้วยเสียงตะคอกทั้งน้ำตา
นางอวี๋ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ข้ายังคิดอยู่ว่าหลานสะใภ้รองเป็นหมอแท้ๆ เหล่าไท่ไทได้รับการดูแลโดยพวกเจ้าคงต้องดีกว่าข้าดูแลเป็นแน่นอน หากรู้เช่นนี้แต่แรก ข้าน่าจะให้พวกเจ้ารีบพาเหล่าไท่ไทส่งกลับบ้านเกิดแต่เนิ่นๆ ข้าจะได้เป็นผู้ดูแลด้วยตนเอง และเหล่าไท่ไทก็คงไม่…” เมื่อเอ่ยถึงส่วนที่สร้างความเจ็บปวดใจ นางอวี๋จึงสะอึกสะอื้น
หลี่หมิงเจ๋อกระวนกระวายใจจนเหงื่อตก เขาไม่อาจกล่าวว่าสาเหตุเป็นเพราะมารดา ตอนนี้มารดาเขาอยู่ที่บ้านเกิด หากให้ลุงใหญ่พวกเขารับรู้ว่าท่านย่าถูกมารดาเขาทำให้โกรธเกรี้ยวจนกลายเป็นเช่นนี้ แล้วมารดาเขายังจะมีชีวิตสงบสุขได้อีกหรือ ทว่าลุงใหญ่ป้าใหญ่ต่างก็ตำหนิว่าเป็นเพราะพวกเขาที่ไม่ตั้งใจดูแล ซึ่งทำให้เขาไม่อาจยอมรับได้จริงๆ
ได้เลย! แม้แต่นางยังถูกกล่าวถึงไปด้วย หลินหลันรีบเดินเข้าไปในห้อง เห็นเพียงลุงใหญ่และป้าใหญ่กำลังก้มหน้าร้องห่มร้องไห้!
“ในที่สุดท่านลุงกับท่านป้าก็มาเสียที! หลานสะใภ้ถึงขั้นเฝ้าภาวานากับดวงดาวและพระจันทร์เลยนะเจ้าคะ ในที่สุดพวกท่านก็มาถึงแล้ว” หลินหลันกล่าวอย่างไม่ได้ให้ความเป็นมิตรเสียมากมายแต่ก็ไม่ได้ดูเมินเฉยจนเกินไป
หลี่จิ้งอี้จ้องมองหลินหลันอย่างตะลึงงัน ไม่รู้ว่านี่คือหลานสะใภ้ใหญ่ หรือหลานสะใภ้รอง นางอวี๋ปาดน้ำตา จากนั้นกล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “หลานสะใภ้รอง เจ้าเป็นหมอ เจ้ารักษาอาการป่วยให้เหล่าไท่ไทอย่างไรหรือ เหตุใดเหล่าไท่ไทถึงไม่ดีขึ้นละ”
หลี่จิ้งอี้กล่าวขึ้นมาบ้างเช่นกัน “นั่นสิ! เจ้ารักษาประสาอันใดหรือ”
หลี่หมิงเจ๋อมองดูลุงใหญ่และป้าใหญ่จากนั้นจึงมองไปยังน้องสะใภ้ และกล่าวอธิบายขึ้นทันควัน “ลุงใหญ่ ป้าใหญ่ น้องสะใภ้พยายามสุดความสามารถแล้ว นางยังเรียนเชิญหมอหลวง เรียนเชิญหมอผู้มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงมาตรวจรักษาเหล่าไท่ไทอีกด้วยนะขอรับ…”