ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 661
บทที่ 661
คนอื่นๆมองเห็นเย่อ้ายล้วนตื่นตะลึงแล้ว
เย่อ้ายอยู่เป่ยไห่กับเมืองเทียนเป่ยล้วนมีชื่อเสียงบ้าง มีคนมากมายที่เคยเห็น
ไป๋ยี่เฟยหัวเราะเย็นชาพูดกับไป๋เจียวว่า “ไม่รู้ว่าคุณรู้ข่าวมาจากไหนว่าเย่อ้ายโดนผมฆ่า ข่าวนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกต้องแม่นยำ”
“ด้วยเหตุนี้ดูแล้ว คนๆนั้นที่ร่วมมือกับคุณ ไม่ได้ฆ่าเย่อ้ายด้วยมือตัวเองเลยหรือพูดได้ว่าเขาไม่เคยคิดว่าจะร่วมมือกับคุณเลย มีเพียงวางแผนทำร้ายคุณอยู่เท่านั้น”
“เขาเอาเย่อ้ายมาให้ผม แต่ไม่ได้ฆ่าเธอเลย ตอนนั้นผมก็เลยคาดเดาได้ว่ามีคนอยากทำให้ผมกับเย่ฮวนแตกคอกัน ก็เลยส่งข้อความให้กับเย่ฮวนทันที พวกเราก็เลยแสดงละครฉากนี้”
เย่ฮวนพยักหน้า พูดต่อจากคำพูดของไป๋ยี่เฟยว่า “อีกทั้งตอนนั้นพวกเราล้วนคาดเดาได้แล้ว มีคนจะลงมือตอนที่พวกเราเจอกันเหมือนอย่างที่คิด ตอนที่คุมเชิงกันอยู่ปากทางทางด่วน ก็มีคนยิงไป๋ยี่เฟยแล้ว”
พูดจบ ไป๋ยี่เฟยพูดต่ออีกว่า “ผมจับคนที่ยิงได้แล้ว มีชื่อว่าซุนเลี่ยง เขาเป็นคนของหลี่จู้ แต่กลับแอบไปขอพึ่งพาอาศัยกับไป๋เจียว”
เวลานี้ เฉินอ้าวเจียวลากคอเสื้อคนคนหนึ่งเดินเข้ามา จากนั้นทิ้งลงบนโต๊ะใหญ่ในห้องประชุม
ตอนที่ให้เย่อ้ายขับรถพาไป๋ยี่เฟยไปโรงพยาบาล แท้ที่จริงแล้วเฉินอ้าวเจียวในเวลานั้นก็แน่ใจได้ถึงตำแหน่งของเป้าหมายแล้ว ดังนั้นจับเขาได้เลย
ไป๋ยี่เฟยหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง “คุณพูดเต็มปากเต็มคำว่าจะพิสูจน์ว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าผู้ชาย แต่ตอนนี้ดูแล้วคุณโง่เขลามาก!”
“ตอนที่ยังไม่ได้ทำความเข้าใจกับสภาพการณ์ทั้งหมดก็แต่งงานกับหลี่จู้ ทั้งคิดจนสมองแทบแตกวางแผนสถานการณ์ที่จะทำให้ผมกับเย่ฮวนแตกคอกันฉากนี้ ผลสุดท้ายกลับถูกคนของตนเองทำลายแล้ว นี่ยังไม่เรียกว่าโง่เขลาหรือ?”
กายของไป๋เจียวสั่นระริกอยู่ สีหน้าขาวซีดจนน่ากลัว
ยังไงเธอก็คิดไม่ถึงการวางหมากที่คิดจนสมองแทบแตก ถูกพวกเขามองทะลุมานานแล้ว ยังพลิกแผนการกลับมาเล่นลูกไม้กับเธอ!
กำลังอยู่ในเวลานี้ โทรศัพท์ของไป๋เจียวดังขึ้นแล้ว
“คุณพูดอะไรนะ?”
ไป๋เจียวรับสาย สีหน้าเปลี่ยนเป็นยิ่งดูแย่กว่าอีกขึ้นมาในทันที
มือถือที่อยู่ในมือตกลงบนพื้นโดยตรง ร่างกายยิ่งสั่นระริกรุนแรงกว่าอีก
ไป๋ยี่เฟยกับเย่ฮวนเห็นสภาพสบตากันยิ้มหนึ่งที ทั้งหมดล้วนไม่เอ่ยคำใด
ไป๋เจียวสงบลงนานมากจึงคืนสติ จ้องเขม็งเย่ฮวนกับไป๋ยี่เฟยชี้หน้าด่าว่า “พวกคุณ! พวกคุณถึงขนาดฉวยโอกาสกลืนกินบริษัททั้งสามแห่งของฉันไป!”
ไป๋เจียวแต่งงานกับหลี่จู้ ย่อมมีสินสอดอย่างแน่นอน บริษัททั้งสี่แห่งที่อยู่ในเป่ยไห่ก็คือสินสอดของเธอ
เธอล้วนเอาแรงทั้งหมดมาจัดการเย่ฮวนกับไป๋ยี่เฟยแล้ว ล้วนไม่รู้ว่าไป๋ยี่เฟยกับเย่ฮวน แอบลงมือกับบริษัทของเธอเลย
ระดับค่าการต่อสู้ระหว่างไป๋ยี่เฟยกับเย่ฮวนแท้ที่จริงคือสูสีกัน สำหรับพวกเขามากล่าวแล้วมีผลไม่มากเลย แต่กลอุบายเหล่านี้ใช้กับบริษัทของไป๋เจียวจะเกิดผลอย่างมาก
ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทตก หุ้นถูกแบ่งกลืนไป สุดท้ายบริษัททั้งสามแห่งล้วนตกอยู่ในมือของไป๋ยี่เฟยกับเย่ฮวนแล้ว
ก็เหมือนสิ่งที่เย่ฮวนพูด การสูญเสียทั้งสองอย่างซ้ำในครั้งเดียวกัน
“อยู่เป่ยไห่ ล้วนเป็นโลกหล้าของเย่ซื่อกรุ๊ปตลอดเวลา เพียงแค่ผมประมาทเกินไป ดูถูกไป๋ยี่เฟยแล้ว นี่จึงทำให้อยู่ดีๆเขาโผล่ขึ้นมาตั้งป้อมประจันหน้ากันกับผม ดังนั้น ผมยอมรับ ไป๋ยี่เฟยเก่งมากจริงๆ”
“แต่อยู่ในเวลาเดียวกัน ผมจะย้อนทบทวนตนเองอย่างลึกซึ้ง จะไม่ทำให้ไป๋ยี่เฟยคนที่สองออกมาอีก อีกทั้ง ไป๋ยี่เฟยก็มีความคิดแบบนี้เช่นกัน”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า ถือว่าเห็นด้วยกับคำพูดของเย่ฮวนแล้ว จากนั้นยิ้มพูดกับไป๋เจียวว่า “แท้ที่จริงผมไม่อยากไปทำร้ายการพัฒนาของพวกเราใครๆเลยสักนิด ก็ไม่เคยคิดที่จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ด้วย แต่มีจุดหนึ่งนั่นก็คืออย่ามาแส่หาเรื่องผม คุณมาแส่หาเรื่องผมแล้ว ผมก็จะไม่ยั้งมือไว้ไมตรี”
สีหน้าไป๋เจียวขาวซีดเหลือเกิน เผชิญหน้ากับสายตาที่ดูถูกหัวเราะเยาะในเวลานี้ของคนทั้งหลาย เธอทรมานมาก ความมั่นใจในตนเองทั้งหมด ศักดิ์ศรีทั้งหมดของเธอ อยู่ในเวลานี้ล้วนถูกตีจนแตกแล้ว
เธอรู้สึกอับอายขายหน้าเหลือเกิน กระดากอายเหลือเกิน แทบอยากจะออกจากที่นี่ทันทีใจจะขาด
ริมฝีปากไป๋เจียวสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ดังนั้นเธอเตะหลี่จู้หนึ่งที โมโหพูดว่า “สวะไอ้ขยะ! พูดไม่เป็นหรือ?”
หลี่จู้เห็นสภาพหวาดกลัวมาก พยักหน้าพูดคล้อยตาม “ครับ ครับ ครับ สิ่งที่ภรรยาพูดล้วนถูกหมด”
“ถูกเหี้ยอะไร!” ไป๋เจียวโมโหมาก ยกมือหยิกเอวของหลี่จู้ กัดฟันพูดว่า “ฉันให้คุณพูด คุณฟังไม่เข้าใจหรือ? ปัญญาอ่อน! สวะไอ้ขยะ!”
หลี่จู้เห็นสภาพพยักหน้าอีก จากนั้นยิ้มแล้วยิ้มอีกอย่างเก้ๆ กังๆ พูดว่า “ทุกคน ขอโทษจริงๆ ขอโทษจริงๆ ผม……ก็แค่พูดสองคำล่ะ?”
ลักษณะของเขาทำให้คนที่นั่งอยู่ล้วนเหยียดหยามมาก กลัวภรรยากลัวจนเป็นแบบนี้ ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ชายคนหนึ่งเลยสักนิด
แต่ก็คือเป็นผู้ชายแบบนี้คนหนึ่ง เขามีสายตาที่ยาวไกล ก่อนหน้านั้นก็ซื้อพื้นดินผืนนี้ของเมืองหัวซ่างไว้ภายใต้ชื่อของตนเองตั้งนานแล้ว
ในเวลานี้คนทั้งหลายล้วนจ้องมองไปยังหลี่จู้ พวกเขารู้สึกว่าหลี่จู้เป็นเรื่องตลกอย่างหนึ่ง ถึงยังไงก็เป็นผู้ชายที่กลัวภรรยาขนาดนี้คนหนึ่ง
ในเวลานี้หลี่จู้พูดอย่างระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งว่า “ภรรยาจ๋า ผมรู้ว่า เรื่องของอดีตภรรยาผมเกี่ยวข้องกับที่ดินผืนนี้ แต่ว่าผมไม่ได้พูดมาตลอดเท่านั้น”
“คุณมองลูกชายผมขัดตา ผมกลัวว่าเขาจะถูกคุณทรมานจนตาย ดังนั้นผมจึงไล่เขาออกจากบ้าน ผมรู้ว่าทำแบบนี้ผิดต่อเขาอย่างมาก แต่ว่าผมไม่มีทางอื่น ผมยุ่งกับพวกคุณตระกูลไป๋ไม่ไหว”
“ดังนั้น ผมเคยเขียนพินัยกรรมฉบับหนึ่งไว้ เขียนอย่างชัดเจนแล้วว่า ถ้าหากว่าที่ดินผืนนี้ถูกยึดหรือว่าผมตายแล้ว งั้นคนที่สืบทอดมันจะเป็นลูกชายของผม”
“คุณใช้สติปัญญาแทบล้มประดาตายในการวางหมาก คิดจนสมองแทบแตก อยากจะใช้ราคาที่ต่ำที่สุดให้ได้รับที่ดินผืนนี้แต่ว่ามีสิทธิอะไรหรือ? ทำไมต้องช่วยคุณ ค่อยมาทำไม่ดีกับลูกชายผมอีกหรือ?”
ไป๋เจียวคิดว่าหลี่จู้จะช่วยพูดให้เธอ แต่ที่ไหนจะรู้ คำพูดของหลี่จู้ไม่ได้ช่วยเธอเลยสักนิด แต่คือว่าเธอ ตำหนิเธออยู่
ด้วยเหตุนี้ สีหน้าของไป๋เจียวยิ่งดูแย่กว่าอีกแล้ว
เธอสั่นระริกอยู่ ตาทั้งคู่จ้องมองหลี่จู้อย่างโมโห อยากจะตบไปหนึ่งที
แต่ว่าถูกหลี่จู้จับไว้ทันที
ไป๋เจียวดุด่าเสียงดังทันที “สวะไอ้ขยะ! คุณอยากจะทำอะไรหรือ?”
หลี่จู้ยิ้มหนึ่งทีอย่างจนใจ “ภรรยาจ๋า คำว่าสวะไอ้ขยะคำนี้คุณอย่าใช้ไปทั่วดีกว่า”
“หมายความว่าอะไรหรือ?” ไป๋เจียวไม่เข้าใจ กลับโกรธแค้นมากเหมือนเดิม
หลี่จู้หัวเราะขมๆเสียงหนึ่ง “ตั้งแต่ต้นจนจบผมล้วนไม่เคยคิดที่จะช่วยคุณ ไม่เพียงแค่ผม ก็แม้แต่น้องชายของคุณ เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะช่วยคุณเช่นกัน ดังนั้น เย่อ้ายไม่ได้ตายเลย”
“ใช่!”
ฟังเสียงจบลง มีคนคนหนึ่งเดินออกจากฝูงชน คือจิงหลัวนั่นเอง
ไป๋เจียวเห็นสภาพเบิกตาโพลงทั้งคู่ จ้องมองจิงหลัวอย่างไม่น่าเชื่อ “เกิดเรื่องอะไรกันแน่? ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ? ไป๋เซี่ยวไม่ใช่อยากจะทำให้ไป๋ยี่เฟยชื่อเสียงป่นปี้หรือ?”
จิงหลัวยิ้มตอบกลับว่า “ขอโทษจริงๆ คุณหนูใหญ่ คุณชายเคยบอกว่า เรื่องของเขากับพี่ชายใหญ่เป็นการขัดแย้งภายในของครอบครัวพวกเขา แต่ท่านเพียงแค่ญาติฝั่งพ่อ ด้วยเหตุนี้ คุณชายเราพิถีพิถันกับกฎเกณฑ์อย่างมาก”
“กฎเกณฑ์เหี้ยๆอะไร!” ไป๋เจียวไม่สนใจไยดีกับภาพพจน์อะไรแล้ว ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
ถึงที่สุด คนทั้งหลายล้วนวางแผนทำร้ายเธออยู่
ไป๋เจียวโมโหร้องตะโกนว่า “ได้สิ คุณยกที่ดินผืนนั้นให้กับลูกชายคุณ คุณคิดว่าก็ปลอดภัยแล้วหรือ? ฉันจะบอกกับคุณ ไป๋ยี่เฟยกับเย่ฮวนจะไม่ปล่อยคุณไปอย่างแน่นอน!”
“คุณรู้อยู่แล้ว ผ่านไปอีกสองปี ราคาของที่ดินผืนนั้นจะพลิกขึ้นอีกไม่เพียงแค่หนึ่งเท่าตัว คุณก็สมัครใจตามใจสหพันธ์ธุรกิจมาทำการวางแผนหรือ? หรือพูดว่า คุณจะยกที่ดินให้กับไป๋ยี่เฟยหรือเย่ฮวนล่ะ?”
หลี่จู้ส่ายหัว “จะยกให้คงไม่ ทุกคนล้วนเป็นพ่อค้า ตั้งแต่ไหนแต่ไรสิ่งที่พิถีพิถันล้วนเป็นผลประโยชน์ ดังนั้นผมจะไม่เป็นห่วง”
“ผมจะทำให้การประมูลราคาในครั้งนี้ไม่สามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้”
ไป๋เจียวได้ยินคำพูดหัวเราะเย็นชา “ประธานสหพันธ์ธุรกิจยังอยู่ล่ะ คุณบอกว่าไม่สามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้ก็จะไม่สามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้หรือ? สหพันธ์ธุรกิจจะไม่เชื่อฟังคุณล่ะ!”
หลี่จู้ส่ายหัวต่อๆกัน “สหพันธ์ธุรกิจจะไม่เชื่อฟังผมอย่างแท้จริง แต่ ถ้าหากว่าวันนี้คนทั้งหมดที่อยู่ในสถานที่นี้ ล้วนโดนไฟรุนแรงเผาตายหมด งั้นอย่างนี้ก็ไม่แน่แล้ว”
“อะไรนะ?” ไป๋เจียวตื่นตกใจอย่างมาก
คนที่อยู่ในนั้นก็ตื่นตะลึงตามไปด้วย
หลี่จู้ยิ้มแล้วยิ้มอีก พูดกับคนทั้งหลายว่า “ทุกคนไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นหอมดอกไม้บางๆที่ลอยกระจายอยู่ในห้องประชุมหรือ?”
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าคนทั้งหลายเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
ไป๋เจียวยิ่งเบิกตาโพลงทั้งคู่จ้องมองหลี่จู้
เธอแต่งงานกับหลี่จู้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะว่าความสัมพันธ์ด้านผลประโยชน์ ความรักสักนิดก็ไม่มี
ไป๋เจียวคิดว่าหลี่จู้เป็นสวะไอ้ขยะคนหนึ่ง ทั้งๆที่มีที่ดินผืนใหญ่ขนาดนั้น กลับไม่มีประโยชน์สักนิด ไม่ใช่สวะไอ้ขยะจะเป็นอะไรล่ะ? แต่เธอ เป็นคุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์ของตระกูลไป๋ จะชอบคนอย่างนี้ได้ยังไงอีกล่ะ?
ดังนั้นหลังจากแต่งงานกับหลี่จู้แล้ว มักจะส่อเสียดเขาต่างๆนานา ใช้โน้นใช้นี่ แม้แต่ลูกชายเขาก็ไม่เว้น อยากจะตีอยากจะด่าล้วนดูอารมณ์ของเธอ
แต่ว่า ตอนนี้เธอล้วนนึกไม่ถึง ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นภาพลวงตาที่หลี่จู้สร้างขึ้นมาแก่เธอ
ในเวลานี้อยู่ดีๆไป๋เจียวรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทั้งตัว
จากนั้น ไม่เพียงแค่ไป๋เจียว แต่คนในห้องประชุมล้วนรู้สึกไร้เรี่ยวแรงมาก
ไป๋เจียวรู้สึกถึงอะไรทันที ตื่นตระหนกตกใจพูดว่า “หลี่จู้…….”
หลี่จู้จ้องมองไป๋เจียวหนึ่งที จากนั้นไม่ลังเลแม้แต่น้อยตบเธอหนึ่งที