เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 110: เทพธิดาผู้สร้าง
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 110: เทพธิดาผู้สร้าง
< < 90 > >
ผมกับพี่แองเจลิน่ากำลังเดินอยู่ภายในตัวคฤหาสน์ เมื่อสักครู่นี้พึ่งจะคุยกับพ่อแม่ที่ไม่ได้เห็นหน้าเป็นสิบปีมา
ระหว่างที่เดินแองเจลิน่าก็เปิดปากชวนผมคุย
“เรเซอร์ไม่โกรธสองคนนั้นหน่อยเหรอ?”
โกรธ?
“เรื่องอะไรล่ะครับ”
“เรื่องที่เขาละเลยเรเซอร์ต่างๆนานา เขาปล่อยให้ใครไม่รู้เรียนเรเซอร์ และเห็นเรเซอร์เป็นตัวปัญหานะ”
นั่นมันก็ช่วยไม่ได้หรอก ผมมันเป็นตัวปัญหาจริงๆนี่น่ะ ก่อนหน้านี้นี่โคตรจะตัวชิบหายประจำตระกูลเลย ถ้านับรวมเนื้อเรื่องในเกมด้วย ผมมันตัวชิบหายประจำโลกเลยล่ะ ไม่แปลกหรอกที่พวกเขาจะไม่อยากยุ่งกับผม
ซึ่งผมก็ไม่ได้อยากให้ยุ่งด้วย ยังไงซะตอนนี้ก็อยู่ได้โดยไม่ต้องมีพ่อและแม่ แต่อย่างน้อยๆก็ต้องยอมรับเรื่องหนึ่งล่ะนะ
“ถ้าบอกว่าไม่โกรธเลยมันก็เป็นการโกหก แต่..ชีวิตผมตอนนี้ไม่ได้ถูกทำให้แย่เพราะทั้งสองครับ เพราะอย่างนั้นเลยไม่มีเหตุผลที่ต้องโกรธ”
“หมายความว่า ถ้าชีวิตของเธอตอนนี้แย่ เธอก็จะเกลียดทั้งสองสินะ”
แองเจลิน่ามีสีหน้าที่หงุดหงิด แอบคิดว่าจะโกรธผมแต่ไม่ใช่ เธอน่าจะโกรธพ่อและแม่มากๆที่เห็นผมสุดที่รักเป็นตัวปัญหา ที่พูดนี่ก็เหมือนจะบอกว่า ‘ถ้าชีวิตเธอแย่ ทุกอย่างมันก็กลับกันสิ แค่เธอทำให้ตัวเองมีความสุขได้เท่านั้นเอง ถ้าไม่ได้ล่ะ?’ อย่างไรอย่างนั้นเลย
ให้ตายสิ เป็นคุณพี่สาวที่ขี้กังวลจนเกินเหตุไปแล้ว สมกับเป็นพวกบราค่อน
“ครับ แต่ชีวิตผมไม่มีทางแย่หรอก”
“มั่นใจจริงนะ ถ้าเกิดว่า..”
ผมชิงพูดก่อน–
“ก็ผมมีพี่อยู่ทั้งคนนี่”
ไม่ได้อวยแต่อย่างไร ผมพูดจากใจจริง
ใจจริงผมคือ แองเจลิน่า เป็นคนที่สำคัญกับผม เป็นพี่สาวเพียงคนเดียวของผม รวมถึงเป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่ผมยอมรับด้วย
ตัวผมในวัยเด็กไม่ควรมีใครต้องการ เพราะเป็นเด็กเปรต แต่แองเจลิน่ากลับไม่รังเกียจที่จะมอบความรักให้ผม
มีแค่เธอนี่แหละ ที่ตลอดมาปฎิบัติกับผมโดยดีตลอด ไม่เกี่ยงว่าผมเป็นคนยังไง เธอแค่เห็นผมเป็นน้องชายที่ต้องดูแลเท่านั้น
เธอคือยอดพี่สาว—แถมยังเป็นบราค่อนอีก บราค่อนที่ดีด้วย ไม่ล้วงเกินผมเกินไป อย่างมากก็แค่กอดผมรึน้วยแก้มผมเล่น
“พี่กับผมเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ขอแค่มีพี่ ต่อให้พ่อและแม่จะแย่กว่านั้น ผมก็ไม่โทษพวกเขาหรอก—เพราะขอแค่มีพี่ก็พอแล้วไงล่ะ”
ตัวผมในนิยายต้นฉบับ เรเซอร์ที่เสียพี่แองเจลิน่าไปต้องพบกับความเจ็บปวดแบบไหน ผมไม่มีทางเข้าใจหรอก ต่อให้เป็นผมที่มาสวมร่างเรเซอร์ ถ้าเกิดช่วยแองเจลิน่าไว้ไม่ได้—สภาพผมอาจจะไม่ต่างกับเรเซอร์นักหรอก
เพราะตอนเด็ก คนที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือพี่แองเจลิน่า
ถึงจะว่าแองเจลิน่าว่าเป็นบราค่อนซะเยอะ แต่ไอ้ผมก็เข้าข่ายซิสค่อนเหมือนกันล่ะนะ
“แหม่ พูดแบบนี้พี่ก็เขินแย่เลยสิ”
แองเจลิน่าดูพึงพอใจทีเดียว ถ้าเธอโดนผมชมก็เป็นปกติที่จะตัวลอยอยู่แล้ว เพราะเธอคือบราค่อน
“พี่ควรยืดอกยินดีนะ ที่ทำให้น้องตัวเองเทิดทูนพี่สาวได้ตั้งขนาดนี้น่ะ”
แองเจลิน่าได้ยินก็หัวเราะและลูบหัวผม ลูบแรงเอาเรื่องทำให้ผมตัวเซหน่อยๆ
“เดี่ยวสิ”
“ยิ่งโตก็ยิ่งพูดเก่งนะเรเซอร์เนี่ย”
“พูดจากใจเลยนา”
“ขอบใจล่ะกันจ๊ะ”
แองเจลิน่าดึงแขนออกจากหัวผม และหยุดเดิน เธอยืนกอดอกจ้องมองร่างผม
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่าจะจับเรเซอร์มาอุ้มได้แล้วนะ แต่ตอนนี้ไม่ไหวเลย ขนาดแค่จะลูบหัว พี่ยังต้องเหย่งขาแทบตายเลยนะ จะรีบสูงไปไหนเนี่ย”
แองเจลิน่าเองก็ใช่ว่าจะเตี้ย ในมาตรฐานผู้หญิง จัดว่าเธอสูงยังได้เลย แต่ผมตัวสูงกว่ามาตรฐานผู้ชายเหมือนกัน
น่าเสียดายหน่อยๆ ถ้าผมตัวเท่าเบลลามี เธอน่าจะจับผมอุ้มเล่นแล้วล่ะ
“เด็กมันโตเร็วครับ อย่าถือสาเลย”
“จะไม่ให้ถือสาได้ไง พี่ที่ตัวเตี้ยกว่าน้องนี่ ดูยังไงมันก็เสียเชิงนะ”
แองเจลิน่าบ่นอุบอิบเหมือนเด็ก ถ้าผมไม่ใช่น้องชาย ผมคงตกหลุมรักไปแล้ว แต่เพราะเป็นน้องชาย ต่อให้ไม่ตกหลุมรัก แต่ผมก็เข้าใจสเน่ห์ของเธอดี
ใครก็ได้ ขอแค่เป็นคนดี ช่วยรับเธอไปเป็นเจ้าสาวทีเถอะ พี่สาวผมน่ารักตั้งขนาดนี้ คนพวกนั้นมันตาบอดหรือไงกันนะ
“ไม่เห็นว่าเป็นอย่างนั้นเลยนะ”
แองเจลิน่าส่ายหัวให้อย่างหน่ายใจ พลางถอนหายใจไปด้วย
“เรเซอร์ไม่เข้าใจอะไรเลยนะ”
“นั่นสินะ ลองไปขอให้สองคนนั้นมีน้องอีกสักคนดีมั้ยนะ เผื่อผมจะได้เข้าใจมุมมองคนเป็นพี่บ้าง”
“….”
แองเจลิน่าจ้องหน้าผม ..
“โตขึ้นเยอะจริงๆนะ”
..เอ๊ะ
ภาพซ้อนทับ ผมเห็นภาพซ้อนทับ
คนในโลกเก่า คนที่ผมเคราพรัก ผู้มีพระคุณกับผม เขาเคยพูดคำว่า ‘โตขึ้นเยอะจริงๆนะ’ กับผม ..เขาเปรียบได้ดั่งคนในครอบครัวของผม เช่นเดียวกับแองเจลิน่า เพราะอย่างนั้นความรู้สึกที่ได้มันจึงไม่ต่างกันนัก
น่ายินดี
“ใครจะคิดล่ะว่าเรเซอร์ของพี่จะเติบโตมาได้สง่างามขนาดนี้ เมื่อก่อนตัวเตี้ยระดับที่หยิบหนังสือไม่ถึงแท้ๆ ต้องให้เซบาสเตียนช่วยอยู่เลยแท้ๆ ..แขนเองก็ด้วย แต่ก่อนแค่จับดาบยังแทบไม่ไหว แต่ดูตอนนี้สิ แค่นั้นไม่พอ ยังพร้อมจะพูดกับพ่อและแม่โดยไม่มีอคติอีก ..บางที เรเซอร์อาจจะโตกว่าพี่แล้วมั้ง ต่างกับพี่ ที่ตอนนั้นและตอนนี้ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยน”
แองเจลิมีสีหน้าที่เศร้าสร้อย
“เรเซอร์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ส่วนพี่หยุดอยู่กับที่ ความรู้สึกนี้ พี่กลัวหน่อยๆน่ะนะ”
“ไม่เห็นต้องกลัวเลย”
“ก็ถ้าเรเซอร์นำพี่ไปไกล พี่คงไม่สามารถเป็นพี่สาวที่น่าเคราพให้เรเซอร์ได้อีกแล้ว ถึงตอนนั้นพี่จะถูกเรเซอร์ทิ้งก็ไม่แปลก นั่นแหละที่น่ากลัว”
แองเจลิน่ากลัวว่าผมจะไม่เห็นเธอเป็นพี่ในสุดวัน ..กลัวว่าผมจะไม่พึ่งพาเธอ หรือเห็นเธอเป็นอากาศธาตุแหงๆ
“แต่ก่อนผมก็กลัวพี่จะเห็นผมเป็นอย่างนั้นเหมือนกันแหละ”
สมัยก่อน ผมมันเป็นคนไม่มีอะไรดีเลยล่ะนะ
“ไม่มีทางคิดอย่างนั้นหรอก!”
แองเจลิน่าโพล่งขึ้นทันใด—ผมเองก็เช่นกัน
“ผมก็ด้วย ไม่มีทางหรอก พี่สาวต้องน่าเคราพเหรอ? อย่ามาล้อเล่นนะ พี่ไม่จำเป็นต้องเป็นที่เคราพหรอก พี่เป็นแค่—พี่สาวที่รักของผมก็พอแล้ว ผมเองก็จะเป็นน้องชายที่รักของพี่ แบบนี้ไง ต่อให้อีกฝ่ายแย่ยังไงก็เอาตามนี้”
พี่น้อง ไม่ใช่หน้าที่ แต่เป็นความรู้สึกที่มีให้กันต่างหาก
“เข้าใจนะพี่แองเจลิน่า ผมไม่มีทางทิ้งพี่หรอก เพราะพี่คือพี่สาวที่ผมภาคภูมิใจที่สุด”
“..เข้าใจแล้วจ๊ะ”
“สักวันพี่ก็ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานผม”
“จ๊ะๆ ถ้าพี่ไม่ชิงมีครอบครัวก่อนนะ”
ถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่ยอมแพ้ สมกับเป็นพี่สาวที่ผมภาคภูมิใจจริงๆ ไม่ย่อท้อแบบนี้นี่แหละดี
ผมกับแองเจลิน่าพยักหน้าพึมพำ และยิ้มให้กัน
“จะว่าไป พี่ลืมบอกเรเซอร์อย่างหนึ่งเลย”
“อะไรอีกล่ะ ไม่เอาดราม่านะ ผมเอียน”
“ไม่ใช่ๆ แล้วก็นานๆทีพี่จะดราม่าด้วย ไม่ได้ดราม่ามันทุกเวลาสักหน่อย”
“นั่นสินะ ปกติพี่จะทำตัวบราค่อนตลอด จนดราม่าไม่ยักจะติดสักรอบ”
“บอกว่าพี่เป็นบราค่อน แต่ตัวเองก็ซิสค่อนไม่ใช่หรือไง พี่สาวที่น่าภาคภูมิใจน่ะนะ”
ยะ ยัยนี่! เล่นเอาคำพูดน่าอายมาพูดโต้งๆเลยสินะ พึ่งพูดไปหยกๆเองด้วยนะเห้ย
ผมหน้าแดงก่ำ แองเจลิน่ายิ้มเหยาะใส่ผม ดูสะใจมาก
“เข้าใจแล้วก็เงียบปากแล้วฟังธุระของพี่ก่อนล่ะกัน”
ผมตกลงรับคำไม่เปิดปากแบบว่าง่าย
แองเจลิน่าหยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา
“มันก็แล้วแต่เรเซอร์นะว่าจะเอายังไง”
ผมรับจดหมายจากแองเจลิน่าแบบงงๆ
“ธุระของผมสินะ”
“อืม เป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญเลยล่ะ”
เรื่องสำคัญ?
“มีคนขอเรเซอร์ดูตัวน่ะ”
..ในที่สุด? ไม่สิ ไม่น่ายินดีสักนิด
ใครก็ไม่รู้นี่นา ไม่มีอะไรต้องดีใจเลย ตอนนี้ผมก็มีว่าที่ภรรเมียแล้วด้วย
“ใครเหรอครับ?”
“ลูกสาวคนเล็กจากตระกูลเลนนอน ..โซล่า เลนนอน จ๊ะ”
ตระกูลเลนนอน จำไม่ผิด เป็นตระกูลช่างตีเหล็กเก่าแก่ประจำ ‘อาณาจักรราชามังกร’ พักนี้เป็นตระกูลชั้นนำของโลก เพราะว่า คนๆหนึ่ง ..เอ๊ะ..เดี่ยวนะ เอาจริงดิ? ไอคนๆนั้นที่ว่ามันก็คือ ‘โซล่า เลนนอน’ น่ะแหละ!
‘โซล่า เลนนอน’ ชื่อนี้ทุกคนรู้จักกันดี ผมเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเธอมาตลอด ตั้งแต่ตอนก่อนจะสวมร่างเรเซอร์ หรือปัจจุบันนี้ ก็ไม่มีทีท่าว่าชื่อเสียงของเธอจะแผ่วลงเลย เธอเป็นตัวตนระดับนั้นเลย ค่าชื่อเสียงเธออาจจะทัดเทียมหรือเหนือกว่าราชาอัศวินเสียด้วยซ้ำ
กล่าวได้ว่าบนโลกนี้ ไม่มีอาณาจักรไหนที่ไม่รู้จักชื่อของเธอ เพราะว่าเธอคือ— ‘อัจฉริยะแห่งยุคสมัย’
อัจฉริยะตัวน้อยผู้ผลิกโฉมนวัตกรรมการสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ ในช่วงสิบปีมานี้ อุปกรณ์เวทมนตร์กลายเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นก็เพราะการพัฒนาของเธอ ใช่แล้ว ในช่วงสิบปีนี้ แปลว่าเธอเริ่มพลิกโลกนี้ตั้งแต่ห้าขวบแล้ว
สถานะเธอเป็นดั่ง ‘คานเทีย’ ช่างตีเหล็กในตำนานช่วงสงครามแย่งชิงอำนาจ รึ ‘กะรันเบน’ ชั่งตีดาบผู้สร้างดาบมารขึ้นมาบนโลก
ว่าง่ายๆเธอคือจุดสูงสุดของผู้สร้างอุปกรณ์เวทมนตร์–ให้เปรียบเทียบกับตำนานสมัยนี้ก็คือเทพดาบ เพราะเธอไม่ต่างกับเทพดาบ เธอจึงมีฉายาว่า ‘เทพธิดาผู้สร้าง’
ปัจจุบันเธอคอยพัฒนาอุปกรณ์เวทมนตร์ให้ ‘จักรวรรดิราชามังกร’ จนตอนนี้ จักรวรรดิราชามังกรมีอำนาจขึ้นมาเทียบกับอาณาจักรสี่มหาอำนาจได้แล้ว บ่อยครั้งที่จักรวรรดิราชามังกรถูกเรียกว่ามหาอำนาจตนที่ 5
โซล่า เลนนอน เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้จักรวรรดิราชามังกรยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ สื่อข่าวได้ที่ว่าเธอเคยได้รับคำชวนจากทุกๆอาณาจักรมหาอำนาจให้ไปทำงานให้ และเป็นหนึ่งในคณะบริหารของ ‘สหพันธ์อิกดราซิล’ แหล่งรวบนวัตกรรมของโลกอีกด้วย อีกทั้งเธอยังอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์คณะบริหาร
อุปกรณ์เวทมนตร์ในวิทยาลัยเรดฮอตหลายชิ้นก็ได้รับการสร้างโดยตรงจากโซล่า ซึ่งอุปกรณ์ทุกชิ้นก็อลังเหนือกว่าอุปกรณ์ทุกๆชิ้นในโรงเรียน จนมีคนต่อคิวใช้กันเป็นร้อยไม่เว้นวัน แม้แต่ตอนนี้ก็ยังต่อแถวใช้กันยาวเยียดอยู่
แค่ข้อมูลเบื้องต้นก็บ่งบอกความเทพซ่าของเธอได้แล้ว แน่นอน แค่นี้มันยังน้อยไป วีรกรรมความเทพของเธอเป็นสิบปียังมีอีกมาก ซึ่งสามารถยืนพูดได้เป็นสิบชั่วโมงเลยล่ะ
น่าเหลือเชื่อ
ใครจะคิดล่ะว่า ‘โซล่า เลนนอน’ ว่าที่ตำนานคนต่อไปของโลก จะขอหมั้นหมายกับคนที่มีแต่ชื่อเสียเช่น ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ คนนี้ ไม่ว่าทางไหนก็น่าค้านสายตา
ผมยืนอึ้งโดยสมบูรณ์ แองเจลิน่ายืนเท้าสะเอวด้วยท่าทางลำบากใจ
“ตามปกติพี่จะตอบปฎิเสธไปล่ะนะ แต่เจ้าตัวที่ขอดูตัวดันเป็นโซล่าคนนั้นน่ะสิ คนระดับนั้นพี่ออกหน้าปฎิเสธให้ไม่ได้หรอก นอกเสียจากเรเซอร์จะปฎิเสธด้วยตัวเอง”
หมายความว่าการฝ่าฝืนการขอดูตัวของโซล่า เลนนอน มันเกินกำลังของแองเจลิน่า
คนๆนั้นมีอำนาจขนาดนั้นเลยล่ะ ทั้งๆที่ปัจจุบันมีอายุเพียง 15 ปีแท้ๆ
“แล้วเหมือนว่าเธอจะมาถึงอาณาจักรฟัฟนิร์แล้วด้วย พี่เองก็พึ่งได้จดหมายเมื่อเช้านี้เอง แต่หาตัวเรเซอร์ไม่เจอน่ะ แล้วเผอิญพวกพ่อเขามาก่อน”
..ไม่ให้เตรียมตัวกันเลย ไม่กะให้ได้เตรียมตัวเลยสินะ คนๆนั้น
“แล้วก็..เหมือนว่าเธอจะขอเข้าศึกษาที่วิทยาลัยเวทมนตร์ เรดฮอต ด้วยล่ะ”
“ผมยังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะ”
“ไม่รู้สิ อัจฉริยะอย่างเธอ น่าจะไม่เคยคิดถึงความผิดพลาดล่ะมั้งพี่ว่า ..แล้วเรเซอร์ว่าไงล่ะ”
หมายถึงคำตอบ ..
“..คงต้องไปคุยก่อนครับ แต่ก็มีคำตอบในใจอยู่แล้ว”
“เหรอ สมมุตินะ ถ้าโซล่าคนนั้นยืนกรานจะแต่งงานกับเรเซอร์แค่คนเดียวจะทำยังไงเหรอ? เพราะจักรวรรดิราชามังกร ถ้าพี่จำไม่ผิด เขานิยมเรื่องสามีภรรยาเดียวกันนะ”
บนโลกนี้หลายๆพื้นที่ ประมาณ 1/5 ของโลกจะยึดถือการมีสามีภรรยาแค่คนเดียวกัน หนึ่งในนั้นก็มี จักรวรรดิราชามังกร เป็นบิ๊กใหญ่ด้วย
แน่นอนว่าโซล่าที่เป็นคนจากที่นั่น อาจจะยอมรับการแต่งงานหลายคนไม่ได้ เพราะฉะนั้น–
“–จะปฎิเสธครับ เรเซลกับอันนา สำคัญกว่าคนที่ผมไม่รู้เคยแม้แต่เจอหน้าอยู่แล้ว”
แองเจลิน่ายิ้มอย่างพึงพอใจ
“ถ้าทิ้งอันนากับเรเซล พี่จะโกรธเรเซอร์ให้ดู”
“พูดเป็นเล่าครับ”
ก่อนอื่นก็ต้องไปคุยกับเธอก่อนล่ะนะ
เทพธิดาผู้สร้าง ‘โซล่า เลนนอน’ ..
****
ณ ร้านอุปกรณ์เวทมนตร์
ยูจิกำลังยืนดูอุปกรณ์เวทมนตร์อย่าง ‘คทา’ โดยที่ยูจิตั้งใจเลือกตัวที่ดีที่สุด ในขณะเดียวกันก็จะเอาชิ้นที่ราคาถูกที่สุด
คทาเวทย์ราคาถูกที่ดีที่สุดในร้าน นี่คือเป้าหมายของยูจิ และเพราะอย่างนั้น ยูจิเลยยังเลือกไม่ได้ ทั้งๆที่ยืนอยู่ในร้านเป็นชั่วโมงแล้ว
ยูจิมีสีหน้าที่เครียดเล็กน้อย เพราะตลอดหนึ่งชั่วโมงนี้ยูจิใช้สมองคิดวิเคราะห์อยากหลากหลายพร้อมๆกันกับอุปกรณ์เวทย์นับร้อยชิ้น
ไม่แปลกที่จะน้อย ต้องชมด้วยซ้ำที่ทำแบบนี้ได้เป็นชั่วโมง
และตอนนี้ก็มาถึงขั้นสุดท้าย
คทาสีขาว และคทาสีเขียว ทั้งสองคทามีรูปทรงที่ต่างกันมาก
ชิ้นแรกเป็นคทาชิ้นสั้นสีเขียว มีคริสตัลสีแดงที่ดูเก่าๆอยู่ ชิ้นที่สองเป็นคทาชิ้นยาวสีขาว มีคริสตัลสีกระจกแก้ว
อันแรกจะเด่นด้านการร่ายเวทย์เร็ว แต่ควบคุมมาก
อันที่สองจะเด่นด้านการควบคุมง่าย แต่พกพายาก
ถ้าเลือกอันแรก ยูจิจะกรบสปีดการโจมตีของตัวเองได้ แต่ถ้าเลือกอันที่สอง การโจมตีของยูจิจะมีโอกาสเข้าเป้ามากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าอันไหน ก็เป็นสิ่งที่ควรพัฒนาของยูจิ ..จึงเลือกได้ยาก
ในวินาทีสุดท้าย ยูจิตัดสินใจจะหยิบอันสีเขียว ทว่า–ก็มีคนๆหนึ่งโผล่มาจากข้างหลังซะก่อน
เป็นผู้หญิงตัวเล็ก อายุพอกันกับยูจิ สูงพอๆกับยูจิ 165 ซ.ม. มีเลือนผมสีชมพูอ่อนๆ และสวมหมวกเบเร่ต์ใบเล็กไว้ ซึ่งเป็นหมวกที่มีอักษรเล็กๆเขียนไว้ว่า ‘ฉันรักการสร้าง’ เป็นการทำอักษรที่วัยรุ่นเดี่ยวนี้ชอบทำกัน เสื้อที่ใส่เป็นเสื้อโค้ทสีน้ำตาลยาวทับเสื้อยืดสีขาว ตรงหน้าอกนูนหน่อยๆ บ่งบอกได้ว่าเธอมีหน้าอกอยู่พอตัวทั้งๆที่ใส่เสื้อโค้ทอยู่ ท่อนล่างสวมกางเกงขาสั้นเหนือหัวเข่าและถุงน่องตาข่ายสีดำ สวมร้องเท้าสีชมพูลายกระต่าย
เธอเป็นหญิงสาวที่ดูน่ารักมากกว่าสวย
ยูจิเมื่อเห็นเธอก็ตาค้าง แก้มแดงเป็นสีชมพูขึ้นมาทันที–ไม่ได้เขินเพราะเจอคนหน้าตาดี ปกติรอบตัวก็ล้อมด้วยพวกหล่อสวยถล่มเมืองอยู่แล้ว แต่ตรงหน้ายูจินั้นมีคนที่เปรียบได้ดั่งไอดอลของวงการอุปกรณ์เวทย์อยู่
ตอนแรกยูจิคิดว่าตัวเองฝังไป
แต่พอมองดูดีๆ ตรงเสื้อโค้ทสีน้ำตาลก็สลักตราสัญลักษณ์ของ ‘สหพันธอิกดราซิล’ แหล่งรวมนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกไว้ด้วย ..นั่นทำให้ยูจิยิ่งมั่นใจ เพราะนี่คือเสื้อโค้ทเฉพาะของคณะบริหารแห่งอิกดราซิล
เธอคือคณะบริหาร ผู้อยู่จุดสูงสุดแห่งอิกดราซิล และผู้สร้างคนสำคัญของจักรวรรดิราชามังกร—-เทพธิดาผู้สร้าง ‘โซล่า เลนนอน’ ผู้พลิกโฉมโลกทั้งใบ
เธอยิ้มให้ยูจิสวยๆ
“ตัวสีขาวดีกว่านะคะ คิดว่า”