ตอนที่ 75 หนทางที่คดเคี้ยว
ในช่วงนี้จางฉุ้ยเหลียนค่อนข้างที่จะยุ่งเป็นพิเศษ ไหนเธอจะต้องทบทวนบทเรียนสำหรับการสอบปลายภาคที่จะถึงนี้ ไหนจะต้องเขียนบทความส่งให้กับซุนเหย้าเฉิง แล้วไหนจะต้องหาเวลาว่างมาออกแบบเสื้อผ้าให้กับติงเขออีก
“ชิ ! ไปห้องสมุดอีกแล้วหรือ เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องสมุด คิดว่าตัวเองจะคว้าทุนการศึกษาได้รึไง ? ” ในขณะที่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยกับหลี่เหยากำลังเดินออกมาจากโรงอาหารนั้น พวกหล่อนก็หันไปเห็นจางฉุ้ยเหลียนกำลังหอบเอาหนังสือมากมายหลายเล่มออกมาจากห้องสมุดพอดี
“หล่อน ? ” หลี่เหยาเบะปาก จากนั้นก็พูดต่อไปอีกว่า “พ่อกับแม่ของหล่อนเห็นแก่เงินขนาดนั้น เงินจากทุนการศึกษาเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นจะไปพอยาไส้อะไรล่ะ!”
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูกว่า “ก็จริง ถ้าหล่อนหาคนรักที่มีฐานะร่ำรวยได้แบบเธอ หล่อนก็คงจะไม่ต้องมาเปลืองสมองคอยคิดแต่จะหาเงินแบบนี้หรอก!”
เมื่อหลี่เหยาได้ยินดังนั้น หล่อนก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัยและถามออกไปว่า “หาคนรักได้แบบฉัน ? คนที่น่าเบื่อแบบหล่อนไม่มีทางคู่ควรกับคนที่มีฐานะร่ำรวยเหมือนกับคนรักของฉันได้หรอก แม่สามีในอนาคตของฉันบอกว่า ที่หล่อนชื่นชอบในตัวฉัน นั่นก็เป็นเพราะว่าฉันเป็นคนมีความสามารถ อีกทั้งยังมีใบหน้าที่สวยสดงดงาม แถมยังแต่งตัวเก่งอีกต่างหาก แต่คนที่หน้าตาจืดชืดแบบจางฉุ้ยเหลียน ก็คงได้แต่ถักเสื้อไหมพรมขายแบบนั้นต่อไปนั่นแหละ เห้อ ! ”
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยชำเลืองตามองไปทางหลี่เหยา จากนั้นก็พูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “ทุกวันนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าแม่สามีกับสามีในอนาคตของเธอจะเป็นเหมือนอย่างที่เธอเล่าให้ฉันฟังรึเปล่า เธอก็แค่เต้นได้และพูดฉอด ๆ อยู่บนเวที แบบนั้นก็เรียกว่ามีความสามารถแล้วอย่างนั้นหรือ ? ”
เด็กสาวทั้งสองคนต่างก็ถูกคนทั้งหอพักตีตัวออกห่าง สุดท้ายพวกหล่อนก็จับพลัดจับพลูจนได้มาเป็นเพื่อนกัน และต่างฝ่ายต่างมีแผนการร้ายอยู่ในใจ แต่ถึงแม้ว่าพวกหล่อนจะแอบดูถูกว่าร้ายอีกฝ่ายอยู่ในใจ แต่ถึงอย่างนั้นพวกหล่อนก็ยังต้องเป็นเพื่อนกันอยู่ดี
การที่จางฉุ้ยเหลียนจะต้องเขียนต้นฉบับนิยายส่งไปให้กับซุนเหย้าเฉิง สำหรับเธอแล้วมันก็ง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก เพราะเธอเตรียมโครงร่างนิยายเอาไว้คร่าว ๆ แล้ว แค่เธอต้องเพิ่มเติมรายละเอียดให้นิยายน่าสนใจมากขึ้นอีกนิดหน่อย อีกทั้งทุกตัวละครทั้งหมดในนิยาย เธอก็คิดเอาไว้แล้วเช่นกัน และแม้แต่ปมของเรื่องหรือแม้แต่เนื้อหาที่ย้อนกลับไปมา เธอก็ได้ทำการหมายเหตุไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่เพิ่มรายละเอียดเข้าไป เท่านี้เธอก็สามารถส่งงานตรงเวลาได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว
ส่วนเรื่องการทบทวนบทเรียนสำหรับการสอบปลายภาคนั้น มันก็ค่อนข้างที่จะยุ่งยากสำหรับเธออยู่พอสมควร แต่เธอก็สามารถจัดการกับมันได้ เพราะนิสัยโดยพื้นฐานของจางฉุ้ยเหลียน เธอไม่ใช่คนขี้เกียจ และทุก ๆ ท้ายคาบ อาจารย์ก็มักจะทบทวนเนื้อหาต่าง ๆ ที่อาจารย์เคยสอนให้กับนักศึกษาอยู่แล้ว และด้วยความที่จางฉุ้ยเหลียนนั้นยังมีงานหลายอย่างที่ต้องทำ เธอจึงไม่ได้หวังว่าตัวเองนั้นจะสอบได้คะแนนที่โดดเด่นแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้หมายความเธอจะปล่อยให้ตัวเองตกจากระดับมาตรฐานหรือทิ้งห่างจากระดับมาตรฐานของตัวเองไปไกล เธอยังคงเส้นคงวาไว้ที่ระดับของเธอได้เป็นอย่างดี
ส่วนงานที่เหลือที่เธอต้องจัดการก็คือการออกแบบเสื้อผ้าให้กับติงเขอ โชคดีที่หลักสูตรของเธอนั้นมีคาบเขียนพู่กัน ในคาบเรียนนี้อาจารย์ก็จะให้นักศึกษาฝึกวาดสัตว์ พืช ภูเขาและสายน้ำ เพียงเท่านั้น แค่จางฉุ้ยเหลียนตวัดพู่กันไปมาไม่กี่ครั้งก็สามารถวาดออกมาได้อย่างเป็นรูปร่างแล้ว
ในช่วงเริ่มต้นของการปิดเทอมฤดูหนาว ก็จะเป็นช่วงเวลาที่เหน็บหนาวที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นั่นจึงทำให้ช่วงเวลานี้ยังไม่เหมาะที่จะขายเสื้อสเวตเตอร์แบบบางและเสื้อคาร์ดิแกน เท่าไหร่นัก อีกทั้งตอนนี้ก็ใกล้จะถึงวันปีใหม่ ทุกคนต่างก็ต้องเลือกเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสใส่ต้อนรับปีใหม่กันทั้งนั้น
เสื้อผ้าแบบแรกที่จางฉุ้ยเหลียนออกแบบนั้นเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 30 ปี ขึ้นไป คนกลุ่มนี้มักจะกล้าใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสและรูปแบบที่โดดเด่นได้อย่างมั่นใจ และพวกเขาก็มักจะชอบใส่เสื้อผ้าไปประชันกันในช่วงวันฉลองปีใหม่อยู่เสมอ ๆ
ชุดแรกที่จางฉุ้ยเหลียนออกแบบก็คือเสื้อสเวตเตอร์แคชเมียร์คอกลม เสื้อประเภทนี้มักจะตัดเย็บด้วยวัสดุผ้าเนื้อดีและมีราคาที่ค่อนข้างสูง จางฉุ้ยเหลียนออกแบบสีของมันเป็นสีชมพูกลีบบัว อีกทั้งยังตกแต่งด้วยลายดอกโบตั๋นทั่วทั้งตัว เมื่อผู้ใส่ได้สวมใส่เสื้อตัวนี้แล้ว มันก็จะให้ความรู้สึกที่ทันสมัยแต่ก็ไม่ได้ดูแก่จนเกินไป ส่วนตรงกลางด้านหน้าของเสื้อ จางฉุ้ยเหลียนก็ออกแบบให้มันมีแถบยาวสีขาวที่มีขนาดความกว้างเท่ากับ 4 นิ้ว ก็จะประมาณระยะห่างตั้งแต่นิ้วชี้ไปจนถึงนิ้วก้อย แถบนี้ถูกเย็บติดกับซิปสีเดียวกัน และมีกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้าง อีกทั้งปากกระเป๋าก็ยังใช้วัสดุสีขาวเช่นเดียวกันอีกด้วย
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเพิ่มเติมแถบสีขาวตรงกลางเสื้อมันก็ยิ่งขับจุดนี้ให้เด่นขึ้น และนั่นจึงทำให้ดอกโบตั๋นที่ให้ความรู้สึกแก่คร่ำครึดูสดใสและมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ชุดสไตล์นี้ไม่ค่อยเหมาะสมกับเด็กสาววัย 20 ต้น ๆ เท่าใดนัก เพราะถ้าเสื้อตัวนี้ไม่ได้ทำให้เด็กสาวที่อายุยังน้อยดูเด่นสะดุดตาแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นหญิงสาววัย 30 ขึ้นไป ถ้าได้ใส่เสื้อตัวนี้มันก็จะทำให้พวกหล่อนนั้นดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเห็นได้ชัด จางฉุ้ยเหลียนตั้งราคาเสื้อตัวนี้อยู่ที่ราคาประมาณตัวละ 280 หยวน
ความเจริญรุ่งเรื่องในเมือง ทำให้ใครหลาย ๆ คนต่างก็ต้องเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก
ชุดที่สองที่จางฉุ้ยเหลียนออกแบบก็ยังคงเป็นเสื้อคอกลมเฉกเช่นเดิม แต่การออกแบบเสื้อตัวนี้มันจะเน้นไปทางกลุ่มเด็กสาววัยประมาณ 20 ปี จางฉุ้ยเหลียนเลือกเสื้อไหมพรมตัวนี้เป็นสีเขียว ส่วนที่แตกต่างกับเสื้อตัวก่อนหน้านี้ก็คือ แขนเสื้อที่มีลักษณะค่อนข้างกว้างคล้ายกับปอกแขนขนาดใหญ่ และรอบเอวก็มีการเย็บแบบจับจีบ ส่วนคอเสื้อและแขนเสื้อก็ถูกเย็บติดด้วยผ้าลูกไม้สวยงาม
เสื้อผ้าสไตล์นี้มักจะถูกเรียกขานในยุคสมัยใหม่ว่า โมริ และในยุคสมัยใหม่นั้นก็ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักผ้าลายลูกไม้ และจางฉุ้ยเหลียนก็ได้สัมผัสมากับตัวแล้วเช่นกันว่าผ้าลายลูกไม้นี้มันทำให้เสื้อผ้าดูดีขึ้นมามากแค่ไหน เพราะชาติที่แล้วเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอก็มักจะชอบใส่ถุงเท้าที่เย็บติดกับผ้าลายลูกไม้แบบนี้อยู่บ่อย ๆ ถุงสาวสีขาวเย็บติดด้วยผ้าลายลูกไม้ช่างเข้ากันดีกับรองเท้าหนังสีแดง ในตอนนั้นที่เชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอใส่ถุงเท้าแบบนี้ หล่อนก็ดูงดงามมากเลยทีเดียว ราวกับว่าหล่อนเป็นเจ้าหญิงที่ประทับอยู่ในพระราชวังอย่างไรอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วผ้าลูกไม้ลายฉลุเหล่านี้กลับไม่ได้มีราคาแพงแต่อย่างใด
และในตอนนี้ ติงเขอก็ไม่จำเป็นต้องเอาผ้าลายลูกไม้จริง ๆ มาทำแต่อย่างใด หล่อนเพียงแค่ใช้ผ้าฝ้ายสีเขียวมาฉลุเป็นรู ๆ ขอแค่มันออกมาสวยและดูสมจริงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
อีกทั้งจางฉุ้ยเหลียนก็ตั้งใจที่จะเขียนตัวอักษรลงไปที่ด้านล่างของเสื้อตัวนี้อีกด้วย เพราะเสื้อตัวนี้มันจะต้องใส่เข้ากับกระโปรงฟูฟ่องดั่งเจ้าหญิง ถึงแม้ว่าติงเขาจะไม่เคยเห็นกระโปรงฟูฟ่องแบบนั้นมาก่อน แต่หล่อนก็เชื่อว่ามันจะไม่เกินความสามารถของหล่อนอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ก็หล่อนสามารถตัดเย็บตามที่จางฉุ้ยเหลียนออกแบบได้
ส่วนชุดที่สามและชุดที่สี่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันมากมายนัก เพราะเสื้อผ้าทั้งสองแบบนี้ต่างก็เหมาะสมกับวัยคุณแม่อายุประมาณ 50 ปีเป็นต้นไป เสื้อคาร์ดิแกนแบบแจ็คเก็ตมีซิปที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ เธอเลือกใช้สีโทนเย็นเป็นสีพื้นในการออกแบบ เห็นแวบแรกก็จะให้ความรู้สึกราวกับภรรยาในภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ของฮ่องกง ที่ทั้งสวยดูสง่างามและมีเกียรติ
ติงเขอรับแบบชุดจากมือของจางฉุ้ยเหลียนมาถือไว้ เมื่อหล่อนได้เห็นแบบชุดเหล่านั้นแล้ว หล่อนก็อดที่จะตื่นเต้นจนตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ จางฉุ้ยเหลียนออกแบบมาได้อย่างสวยงามและสมบูรณ์แบบมากจริง ๆ ถึงแม้ว่าดูเผิน ๆ แล้วมันจะไม่ได้แตกต่างอะไรกับเสื้อผ้าทั่วไปตามท้องตลาดมากนัก แต่บริเวณรอบเอวและแขนเสื้อต่างถูกปรับเปลี่ยน และเมื่อปรับเปลี่ยนแก้ไขออกมาแล้ว มันก็ให้ความรู้สึกที่สวยงามไม่น้อยเลยทีเดียว
“หนูว่าชุดที่หนูออกแบบจะต้องขายดีแน่นอนค่ะ และตอนนี้กระโปรงฟูฟ่องเหมือนที่หนูออกแบบมันก็ยังไม่มีขายตามท้องตลาด คุณน้าก็ทำขายก็ได้นะคะ คุณน้าไม่ต้องถักเย็บแบบไหมพรมก็ได้ คุณน้าใช้เป็นผ้าขนสัตว์ธรรมดามาทำก็ได้ค่ะ” ชุดที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในยุคสมัยนี้ก็คือกระโปรงยาวทำด้วยผ้าขนสัตว์ ส่วนกระโปรงฟูฟ่องดุจดั่งเจ้าหญิงที่จางฉุ้ยเหลียนออกแบบนั้น เน้นหนักไปทางการจับจีบหลาย ๆ ชั้นรอบ ๆ เอว เพราะถ้าทำแบบนั้น กระโปรงก็จะยิ่งฟูฟ่องอย่างเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
ติงเขอพยักหน้าตอบรับด้วยความตื่นเต้น “เยี่ยมเลย เดี๋ยวน้าจะกลับไปตัดเย็บโครงร่างชุดพวกนี้เอาไว้ก่อน จากนั้นน้าก็จะส่งไปให้เธอดูก่อนที่เธอจะปิดเทอม ว่าแต่ที่อยู่ของเธอ………. ”
จางฉุ้ยเหลียนรีบให้ที่อยู่บ้านตระกูลเซี่ยกับติงเขอไปทันที “หนูไม่กล้าที่จะให้คุณน้าส่งไปให้หนูที่วิทยาลัยหรอกค่ะ นี่เป็นที่อยู่บ้านของพ่อแม่บุญธรรมของหนู และทุก ๆ ปิดเทอม หนูก็จะไปอยู่ที่บ้านของพวกเขาตลอด ถ้าคุณน้าส่งไปให้หนูที่นี่พวกเขาก็คงจะไม่ตกใจ และเอาแบบเสื้อของเราไปอย่างแน่นอนค่ะ!”
การที่เช่าหวามาหาเรื่องจางฉุ้ยเหลียนที่วิทยาลัยในครั้งนั้น มันก็ทำให้เธอกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในรั้ววิทยาลัยในทันที และสถานะทางบ้านของเธอก็ไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป เมื่อมีคนมานินทาซุบซิบกันไปมา ตอนนี้ผู้คนต่างก็รู้กันเกือบจะทั่วทั้งวิทยาลัยแล้ว
ติงเขอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หล่อนไม่อยากให้เด็กสาวที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าของหล่อนคนนี้ต้องมาจบอนาคตของตัวเองเพียงเพราะความคิดเก่าคร่ำครึของคนในยุคสมัยนี้ที่ตราหน้าเธอว่าเป็นเด็กอกตัญญู เพราะชีวิตคนเรานั้นยังอีกยาวไกล และทุกคนต่างก็หวังที่จะได้ใช้ชีวิตที่ดีกันทั้งนั้น
หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงสอบปลายภาคแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน ในฤดูหนาวปีนี้เธอเลือกที่จะไม่กลับไปบ้านที่ของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ
แต่แล้วทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นดั่งที่เธอคิดไว้ และในปี 1990 ก็ได้ถูกกำหนดให้เป็นปีที่ไม่ธรรมดาสำหรับชีวิตเธออีกต่อไป ดูเหมือนว่าความยุ่งยากและความผิดพลาดทั้งหมดมันได้พร้อมใจกันประดังประเดเข้ามาหาเธออย่างไม่ขาดสาย
ฤดูใบไม้ผลิปี 1990 มาถึงเร็วเป็นพิเศษ วันที่ 26 เดือนมกราคมที่จะถึงนี้ ก็จะเป็นคืนส่งท้ายปีแล้ว และหลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนปิดเทอมไปได้เพียงไม่กี่วันก็จะเป็นวันฉลองปีใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นอีกไม่กี่วันเสื้อผ้าที่เธอออกแบบไว้ก็จะถูกส่งออกจำหน่ายสู่ท้องตลาดแล้วเช่นกัน
ทางด้านเช่าหวา หล่อนก็ได้แต่ชะเง้อมองออกไปที่หน้าประตูบ้านเฝ้ารอคอยการกลับมาของจางฉุ้ยเหลียน แต่สุดท้ายเธอก็ไม่กลับบ้านแต่อย่างใด ในใจของหล่อนก็อยากจะไปลากตัวจางฉุ้ยเหลียนจากบ้านตระกูลเซี่ยตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่หล่อนก็ไม่รู้ว่าบ้านของตระกูลเซี่ยนั้นอยู่ที่ไหน หล่อนไปสอบถามกับคนในวิทยาลัย แต่ก็ไม่มีใครรู้เช่นกันว่าบ้านของพวกเขานั้นอยู่ที่ไหน สองสามีภรรยาตระกูลจางจึงได้แต่ร้อนใจเหมือนกับมดตัวน้อยที่จมอยู่ในหม้อร้อน เช่าหวาอยากจะให้จางฉุ้ยเหลียนกลับมาดูตัว แต่หล่อนก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน
“พวกแกหาเซี่ยจวินไม่เจอ แล้วพวกแกทำไมไม่ไปถามญาติ ๆ ของเขาล่ะ ? พวกแกลองไปถามน้องชายของเขาดูสิ ว่าเขารู้ที่อยู่ของเซี่ยจวินรึเปล่า ? ” แม่สามีของเช่าหวาพูดเสนอความคิดเห็นออกมา เมื่อสองสามีภรรยาได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทั้งสองคนก็เดินออกไปจากบ้านในทันที
ซึ่งในเวลานี้เซี่ยโหย๋วและหลี่หงที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเช่นกัน หลี่หงจึงได้โพล่งด่าออกไปว่า “ฉันว่าพี่ชายของคุณคงเห็นคุณเป็นคนนอกไปแล้วล่ะ เหอะ ! ตอนนี้พวกเขาจะรู้ตัวบ้างไหมว่าตัวเองนั้นน่าขยะแขยงมากแค่ไหน คุณเป็นน้องชายของเขาแท้ ๆ แต่จนถึงตอนนี้คุณก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพวกเขาย้ายบ้านไปอยู่ที่ไหน!”
เช่าหวารู้สึกตื่นตกใจไม่น้อย “หา? พวกเธอก็ไม่รู้เหมือนกันหรือว่าพวกเขาย้ายบ้านไปอยู่ที่ไหน จะเป็นไปได้ยังไง พวกเธอเป็นพี่น้องกันนะ!”
เมื่อหลี่หงได้ยินเช่นนั้น หล่อนก็ยิ่งฉุนเฉียวมากขึ้นไปอีก สุดท้ายหล่อนก็อดที่พูดเดาออกมาไม่ได้ว่า “หรือว่าที่พวกเขาทำแบบนี้ มันก็เป็นเพราะพี่สะใภ้ให้กำเนิดลูกไม่ได้ พวกเขาก็เลยให้จางฉุ้ยเหลียนให้กำเนิดลูกแทนอย่างนั้นหรือ ? ” เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของทุกคน หลี่หงจึงคิดว่าเรื่องที่หล่อนพูดออกมานั้นน่าจะมีความเป็นไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว “คงจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สินะ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะรับลูกชายของเราไปเลี้ยงแล้ว แต่นี่พวกเขากลับปฏิเสธหัวชนฝา ถ้ามันไม่ใช่อย่างนั้น แล้วมันจะเป็นเพราะอะไรล่ะ ? ฉันว่าเซี่ยจวินอยากจะมีลูกเองมากกว่า!”
เมื่อเช่าหวาได้ยินดังนั้น หัวใจของหล่อนก็เต้นแรงขึ้นมาทันที แต่สิ่งที่หลี่หงพูดมาก็ยังไม่น่าตกใจเท่าการที่เซี่ยโหย๋วยกเท้าขึ้นมาเตะภรรยาของตัวเองเมื่อได้ยินคำพูดหยาบคายนี้พร้อมกับถามออกไปว่า “พูดจาเหลวไหลอะไรอีก ? ”
เมื่อหลี่หงถูกสามีของตัวเองเตะต่อหน้าทุกคนหล่อนก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในทันที “ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ แล้วจะเป็นเพราะอะไรได้อีก ? คุณบอกฉันมาสิ ทำไมพวกเขาถึงต้องย้ายบ้านไปอยู่ในเมือง ? แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมบอกที่อยู่ให้พี่น้องรู้สักคนเลยล่ะ ? ”
เซี่ยโหย๋วพูดขึ้นมาด้วยความโกรธว่า “ทำไมอย่างนั้นหรือ ? ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะเธอนั่นแหละ !เพราะเธอไปยืมเงินพี่สะใภ้ในวันปีใหม่ไง พอเธอยืมเงินพวกเขาไม่ได้ เธอก็ทำร้ายพวกเขา และไม่กี่วันหลังจากนั้น เธอก็ยังไปโวยวายและยัดเยียดลูกชายของตัวเองให้พวกเขาอีกต่างหาก ใครบ้างที่จะไม่รู้ว่าการที่เธอทำแบบนั้น ก็เพราะเธอหวังอยากจะได้เงินจากพี่สาม เธอเป็นแบบนี้ไงพวกเขาถึงได้หนีไป ? ”
สองสามีภรรยาตระกูลจาง นึกไม่ถึงเลยว่าเซี่ยจวินจะมีเงินมากมายขนาดนี้ อีกทั้งญาติพี่น้องของพวกเขาก็คิดอยากจะได้เงินจากพวกเขาเหมือนกันกับหล่อน แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็รู้สึกเป็นกังวลเรื่องที่ว่าทำไมเซี่ยจวินถึงได้ทำดีกับจางฉุ้ยเหลียนขนาดนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องอกุศลตอนนี้เลย เพราะหล่อนยังมีเรื่องที่หล่อนจะต้องจัดการอยู่
จางกว่างฝูเองก็รู้สึกเสียหน้าไม่น้อย ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป เขาก็คงจะไม่มีหน้าไปเจอใครแน่ ๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็รีบรุดขึ้นหน้าและถามออกไปว่า “เอาล่ะ พวกเธอสองคนหยุดทะเลาะกันได้แล้ว พวกเธอเอาเวลาที่ทะเลาะกันมาช่วยกันคิดดีกว่า ว่าจะติดต่อเหล่าเซี่ยได้ยังไง!”
เซี่ยโหย๋วจึงได้พูดออกไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นักว่า “ฉันมีเบอร์โทรของเขา เดี๋ยวฉันจะลองโทรศัพท์ไปหาพวกเขาดู”
เมื่อได้รู้ที่อยู่บ้านตระกูลเซี่ยแล้ว สองสามีภรรยาตระกูลจางก็รีบตรงไปยังร้านซ่อมรถของเหล่าเซี่ยด้วยความรีบร้อนในทันที เมื่อมาถึงที่หมายพวกเขาต่างก็อดที่จะทอดถอนใจออกมาไม่ได้
จางกว่างฝูที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากร้านซ่อมรถของเหล่าเซี่ย ก็หันไปพูดกับภรรยาของตัวเองด้วยความอิจฉาว่า “เธอว่าเหล่าเซี่ยมีเงินมากมายขนาดนี้เลยหรือ ? ทำไมบ้านของพวกเขาถึงได้หลังใหญ่ขนาดนี้กัน พวกเขาเช่าหรือว่าซื้อกันแน่ ? ”
เช่าหวาถลึงตาใส่สามีของตัวเองด้วยความเกลียดชังในทันที จากนั้นหล่อนก็บ่นพึมพำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เหอะ ! ผู้ชายขาพิการอย่างเซี่ยจวินยังเก่งกว่าคุณเสียอีก คุณนี่มันไร้ค่าสิ้นดี!”
สองสามีภรรยาตระกูลจางได้โทรศัพท์มาบอกเซี่ยจวินล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาจะมาที่นี่ และในเวลานี้เซี่ยจวิน ตงลี่หวา และจางฉุ้ยเหลียนก็ได้เตรียมพร้อมตั้งรับพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องพูดเลยว่าแต่ละคนคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เบื้องหน้าพวกเขากลับยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับสองสามีภรรยาคู่นี้เป็นอย่างดี
เซี่ยจวินปิดประตูร้าน จากนั้นก็พาพวกเขาเข้ามานั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่งภายในบ้าน ทั้ง 5 คนต่างก็พากินข้าวไปพลางและพูดคุยกันไปพลาง
หลังจากที่เช่าหวากินข้าวไปได้แค่ครึ่งถ้วย หล่อนก็ดึงมือของตงลี่หวามากุมไว้ จากนั้นหล่อนก็เริ่มแสดงละครโดยการบีบน้ำตาออกมาทันที หล่อนเริ่มพรรณนาถึงความยากลำบากของตัวเอง พรรณนาถึงจางฉุ้ยเหลียนที่ยิ่งโตก็ยิ่งมีความคิดเป็นของตัวเอง นอกจากนี้หล่อนก็ยังพร่ำเพ้อว่าตัวเองนั้นนอนไม่หลับเพราะไม่ได้เจอหน้าลูกสาวมานานหลายเดือนแล้วอีกด้วย
จางฉุ้ยเหลียนได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่วิทยาลัยของเธอให้ตงลี่หวาฟังก่อนหน้านี้แล้ว และในตอนนี้ที่ตงลี่หวาเห็นว่าเช่าหวากำลังแสดงละครบทบาทความเป็นแม่ออกมา หล่อนก็รู้สึกรังเกียจอยู่ในใจ
“เอาล่ะ ๆ แม่หยุดแสดงละครได้แล้วล่ะค่ะ แม่มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะคะ อุตส่าห์ตามหาบ้านของหนูจนเจอ คงจะไม่ใช่แค่มาลากหนูกลับบ้านและกินข้าวด้วยกันแค่นั้นหรอกมั้งคะ! ” จางฉุ้ยเหลียนอดที่จะพูดถากถางออกไปไม่ได้ และสีหน้าของเธอในตอนนี้ก็แสดงออกถึงความรังเกียจออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ถึงอย่างไรเซี่ยจวินและคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ในที่นี้ต่างก็เป็นผู้อาวุโส เมื่อพวกเขาทั้งสี่คนได้ยินสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนพูดออกมา พวกเขาต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทันที จางกว่างฝูนั้นรู้สึกอยากที่จะระเบิดอารมณ์ออกมาเสียตอนนี้เลย แต่ในเวลานี้เขากลับทำอย่างนั้นไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่นั่งดื่มเหล้าอยู่เงียบ ๆ เพียงเท่านั้น ส่วนทางด้านเช่าหวา เพราะหล่อนเป็นคนมีไหวพริบดี เมื่อหล่อนได้ยินคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็ร้องห่มร้องไห้ออกมาราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไรอย่างนั้น
หล่อนชี้หน้าจางฉุ้ยเหลียน และพูดออกไปด้วยความรู้สึกเสียใจว่า “ทำไมแกถึงไม่เข้าใจฉันเลย ฮือ ฮือ ฮือ ทั้ง ๆ ที่ฉันก็ทุ่มแรงกายแรงใจทำเพื่อแกทุกอย่างขนาดนี้!”
MANGA DISCUSSION