ตอนที่ 321 หน้าตา
พี่ใหญ่หยางรีบส่ายหน้าทันควัน จากนั้นก็โบกมือไปมาอย่างแรง “เราไม่ต้องการเงินชดเชยให้กับการตายของสุนัข ครอบครัวของเราไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองขนาดนั้น ! ”
กู้จื้อเฉิงพยักหน้าเข้าใจ “ผมเข้าใจครับ ถ้าไม่เคลียร์เรื่องนี้ให้เข้าใจกัน อาจเกิดความเข้าใจผิดตามมาได้ เราก็แค่อยากจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อน ค่อย ๆ พูดกันทีละประเด็น ลูกหลานของตระกูลจ้าว ถูกไหม ? ลูกชายคนเดียวของตระกูลถูกสุนัขกัด ซึ่งบาดแผลไม่ได้ร้ายแรงมากนัก แค่ต้องฉีดยากันบาดทะยักและเสียขวัญไปเท่านั้น ส่วนคุณปู่ของตระกูลจ้าวที่รักหลานยิ่งกว่าสิ่งใด ได้เข้าไปทุบตีสุนัขที่ไล่กัดหลานของเขา จริง ๆ เราโทษตระกูลจ้าวไม่ได้หรอก ต้องโทษสุนัขตัวนั้น ดังนั้นเราคงไปยั่วยุพวกคุณไม่ได้”
ผู้ชายตระกูลจ้าวพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ ใช่ ใช่ เราไม่ได้บอกว่าจะเอาความกับพวกคุณ แค่เกลียดสุนัขตัวนั้นก็เท่านั้น พ่อของผมรักหลานมาก เพราะลูกชายของผมเป็นทั้งชีวิตของท่าน ! ”
บรรดาฝูงชนที่ยืนอยู่ข้างนอกต่างก็ให้การสนับสนุนผู้ชายคนนี้ เถ้าแก่ขายเต้าหู้อย่างหวังอู่จึงพูดขึ้นว่า “ใช่ ใช่ ใช่ ถ้าเป็นสุนัขของบ้านอื่นก็คงถูกทุบตีจนตายเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เพียงสุนัขของคุณหรอก เป็นพ่อแม่ใครก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น”
คุณหมอหยางในคลินิกเอกชนจึงคลี่ยิ้มและพูดว่า “ใช่ครับ โดนสุนัขกัดจำเป็นต้องฉีดยากันบาดทะยัก ซึ่งค่ายาไม่เท่าไหร่หรอกครับ ไม่มีใครหลอกเงินไปใช้เพื่อเด็ก ๆ หรอก”
กู้จื้อเฉิงจึงพูดว่า “งั้นก็ดี เราจะแก้ไขไปทีละเรื่อง ขอเคลียร์เรื่องของเด็ก ๆ ก่อนเป็นอันดับแรกแล้วกัน !ความหมายของพวกเขาก็คือ อยากให้พวกคุณเอ่ยคำขอโทษ พวกคุณคิดว่าอย่างไรล่ะครับ ? ”
ลูกคนที่สองของตระกูลหยางได้พูดขึ้นอย่างสุภาพ “ไหน ๆ ก็เป็นความผิดของพวกเราอยู่แล้ว ไม่ได้ล่ามสุนัขไว้ให้ดี มันเป็นความผิดของผมเอง”
ผู้ชายตระกูลจ้าวจึงโบกมือไปมา “ไม่ใช่นะครับ ลูกหลานของเราไม่ดูตาม้าตาเรือต่างหาก อีกอย่างพ่อของผมก็ไม่ควรทุบตีสุนัขของคุณจนตายด้วย!”
กู้จื้อเฉิงจึงถามอีกครั้ง “พวกคุณมีอะไรจะเรียกร้องอีกไหมครับ ? ”
ผู้ชายในตระกูลหยางจึงพูดขึ้นว่า “เราจะจ่ายค่ายาให้ครับ” ผู้ชายในตระกูลจ้าวรีบโบกมืออีกครั้งเพื่อบอกปัดว่าจำนวนเงินไม่ได้มากมายแต่อย่างใด
กู้จื้อเฉิงยิ้มออก“ปัญหาอยู่ที่เรื่องเงินนี่แหละครับ พวกคุณทั้งสองตระกูลลองปรึกษากันดี ๆ แต่ขอนิดนึง เราไม่อยากให้เกิดการทะเลาะขึ้นอีก หลังจากคลี่คลายเรื่องนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ และไปมาหาสู่กันเหมือนเดิม”
ผู้ชายในตระกูลหยางพูดคล้อยตาม ใช่ ๆ อยู่ด้านข้าง อันที่จริงการไปมาหาสู่ของเราก็ดีมากอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ก็ไม่มีทางโวยวายจนสร้างความอับอายให้กันแบบนี้หรอก กู้จื้อเฉิงจึงถามเกี่ยวกับเรื่องทำร้ายสุนัขจนตายอีกครั้ง
ผู้ชายในตระกูลหยางได้พูดว่า “เดิมทีมันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ เราแค่รู้สึกว่าปู่จ้าวทำเกินไป ไม่ถามเราสักคำ ก็ทุบตีสุนัขของเราจนตาย และยังคิดที่จะแสดงความคิดเห็นต่อครอบครัวเราอีก ! ตอนนี้ ท่าทางเรื่องนี้คงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตแล้ว คุณดูสิ เฮ้อ อย่างไรก็ต้องรบกวนด้วยละกัน เลขากู้! ”
ผู้ชายในตระกูลจ้าวพูดด้วยท่าทางเกรงใจอีกครั้ง “ไม่ได้สิครับ เราไม่ควรทำแบบนี้! เอาแบบนี้แล้วกัน เราจะกลับไปอุ้มตัวปัญหามาให้พวกคุณขอโทษดีกว่าไหมครับ ”
ผู้ชายในตระกูลหยางจึงพูดขึ้นด้วยความเกรงใจไม่แพ้กัน “ไอ้หยา ไม่ต้องหรอกครับ !”
กู้จื้อเฉิงเห็นด้วย ทุบตีสุนัขจนตายก็ยังมีสุนัขอีกตัวได้ ทั้งสองคนโยนกันไปโยนกันมาจนสุดท้ายก็ตัดสินได้ว่าตระกูลหยางต้องจ่ายค่ายาให้ตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวก็ต้องชดเชยค่าเสียหายให้กับการตายของสุนัขเจ้าปัญหาตัวนั้นถึงแม้ไม่มีเงินมากก็ตาม แต่เพื่อสภาพจิตใจของคนในตระกูลหยาง สุนัขตัวนั้นไม่ได้มีราคามากนัก แต่กลับเป็นหน้าเป็นตาให้พวกเขาได้
ในที่สุดเรื่องก็เดินทางมาถึงจุดจบเสียที ไม่มีใครทำร้ายใคร พี่ใหญ่หยางได้หยิบเงินออกมาจ่ายให้คนในตระกูลจ้าว ส่วนผู้ชายในตระกูลจ้าวก็พูดขึ้นว่า “ผมจะหาสุนัขตัวใหม่ให้คุณเอง”
เมื่อสิ้นสุด คนที่ยืนออกันอยู่ข้างนอกก็พูดด้วยความตื่นเต้น “สุนัขของเราเพิ่งเกิดลูก ไว้เราจะอุ้มมันไปให้คุณนะ”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะดังลั่น จากนั้นก็เดินออกจากห้องทำงานไป เหตุการณ์สนุกได้จบลงแล้ว ความวุ่นวายก็จบสิ้นด้วย จางฉุ้ยเหลียนหยิบอาหารกระป๋องออกจากในตู้ 2 กระป๋อง
เธอยื่นให้สะใภ้ตระกูลจ้าวต่อหน้าสาธารณะ “เด็กถูกหมากัด คุณก็เห็นว่าไม่ได้มีอะไร นอกจากถืออาหารกระป๋อง 2 กระป๋องกลับบ้านเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเด็ก”
หญิงสาวในตระกูลจ้าวเลื่อนอาหารกระป๋องออกไป ผู้ชายของหล่อนเองก็ดูจะมีความเกรงใจต่อกู้จื้อเฉิงไม่น้อย ไม่เพียงแต่ความเกรงใจเท่านั้น ยังรู้สึกอยากขอโทษด้วยใจจริง
กู้จื้อเฉิงจึงคลี่ยิ้มและพูดว่า “เป็นพ่อเป็นแม่กันแล้ว ใครบ้างจะไม่ปวดใจ พวกคุณทั้งสองก็อย่าปฏิเสธน้ำใจของเราเลย อนาคตยังอีกยาวไกล เรายังต้องใช้ชีวิตด้วยกันอีกยาวหลังจากนี้”
คนที่มาในวันนี้ค่อนข้างเยอะมาก ยิ่งมีจำนวนผู้หญิงเยอะไม่ถึงครึ่งวันเรื่องนี้ก็แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ขนาดหญิงชราที่นอนรักษาตัวอยู่บนเตียงก็ยังรู้เลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเลขากู้เป็นคนดี
ลูกหลานตระกูลจ้าวถูกสุนัขกัด เลขากู้นำอาหารกระป๋อง 2 กระป๋องมาส่งให้ ของเหล่านี้ใคร ๆ ก็อยากกินทั้งนั้น เว้นเสียแต่ว่าของพวกนี้จะมีราคาแพง นอกนั้นก็เพราะหน้าตาล้วน ๆ เลขากู้รักหน้าตามาก ไม่ว่าตระกูลจ้าวจะพูดอะไรก็ไม่สามารถก่อความวุ่นวายขึ้นมาได้อีก
เมื่อพี่ใหญ่หยางเห็นกู้จื้อเฉิงไว้หน้าคนในตระกูลจ้าวขนาดนี้ เขาก็เริ่มมีอคติต่ออีกฝ่ายมากขึ้น แต่เมื่อย้อนกลับไปคิด เขาก็ควรจะไว้หน้าตนเองด้วยเหมือนกัน ฝ่ายนั้นเป็นครอบครัวที่โดนสุนัขกัด เลขากู้เริ่มเอ่ยปากขอสุนัขอีกครั้ง นี่ไม่ใช่การตบหน้า แต่เป็นการไว้หน้า
ทั้งสองตระกูลคืนดีกันได้ในชั่วพริบตา จากนั้นก็พากันหัวเราะอย่างสนุกสนานกลับบ้านด้วยความพึงพอใจ
หลังจากส่งทุกคนหมดแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็กลับเข้ามาในห้องและอุ้มคังคังที่กำลังนั่งดูการ์ตูนขึ้นมา ให้เขาออกไปเล่นคนเดียวข้างนอกสักครู่ ส่วนเธอก็หลับตาพักผ่อน เมื่อเห็นกู้จื้อเฉิงเดินขยี้จมูกเข้ามาในห้อง จึงหลุดขำเบา ๆ “เลขากู้ คุณช่วยแก้ไขปัญหาวุ่นวายได้ขนาดนี้ ได้อาหารกระป๋องมันไม่พอหรอกนะ! ”
กู้จื้อเฉิงรู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนแค่ล้อเล่นเท่านั้น ก็เลยนั่งบนโซฟาโดยไม่คิดอะไร จากนั้นก็ถามในท่าทางเกียจคร้านว่า “เที่ยงนี้กินอะไรดี ผมหิวจนไส้กิ่วแล้ว ”
“อะไรนะ ? อาหารกระป๋อง 2 กระป๋อง ? ” หยางชางเซิ่งมองไปทางเฉินเอ้อขุยโดยไม่คิดอะไร แต่เขากลับได้ยินแค่เสียงหัวเราะประหลาดของหยางเสี่ยวหลงในขณะที่นอนพลิกไปพลิกมาเท่านั้น
“อะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ตลกจริง ๆ ให้ตายสิ อาหารกระป๋อง 2 กระป๋องมันเปล่าประโยชน์ ไอ้หยา ให้ตายเถิด ฉันเองก็ไม่เคยเห็นของขวัญของเลขามาก่อน” เสี่ยวหลงหัวเราะจนน้ำตาไหล จากนั้นก็ลูบไปบนท้องพร้อมกับพูดว่า “ฉันคิดว่าเขามีปัญญาใหญ่โต ถึงได้ส่งของขวัญมาตั้งแต่หัววันแบบนี้”
หยางซางเซิ่งถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ใบหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นก็หยิบบุหรี่ขึ้นมา 1 มวน เฉินเอ้อขุยรีบล้วงไฟแช็กจากในกระเป๋ากางเกง ขึ้นมาจุดบุหรี่ให้หยางชางเซิ่ง
“ฮู่!” หยางชางเซิ่งพ่นควันบุหรี่ออกมา จากนั้นก็เอนกายนอนไปบนเตาปูนด้วยความอิ่มเอมใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำอย่างดูถูกว่า “ตอนนี้ฉันได้รู้แล้วว่าเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น”
แต่เฉินเอ้อขุยกลับไม่คิดแบบนั้น เขากำลังจะเอ่ยปากเตือนแต่ก็เห็นหยางเสี่ยวหลงที่ตกปลาคาร์ฟเสร็จแล้วกลับมา จากนั้นก็นั่งลงข้างเตา ยกขาขึ้นมาไขว่ห้างพร้อมกับกระดิกขา ก่อนจะพูดด้วยท่าทางสบายอารมณ์ว่า “พาภรรยาเดินเตร่ไปไหนมาไหนทั้งวัน จะไปมีประโยชน์อะไร ? ถ้าเขามีความสามารถจริง จะมาเป็นเลขาอยู่ที่นี่ทำไม ? ถ้าเขามีความสามารถป่านนี้คงไปดำรงตำแหน่งสูง ๆ ไปแล้ว เขาเป็นคนเมืองแต่ดันมาอยู่ชนบท !นี่ก็มากพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีความเป็นผู้นำเอาเสียเลย จึงได้ถูกส่งมาชายแดนแบบนี้”
หยางชางเซิ่งพยักหน้า จากนั้นก็ถามเฉินเอ้อขุยขึ้นมาอย่างฉับพลัน “จำได้ว่าตระกูลของพวกเขาร่ำรวยมาก ใช่ไหม ? ”
เฉินเอ้อขุยไปบ้านกู้จื้อเฉิงหลายครั้ง จึงรู้ว่าบ้านของพวกเขาตกแต่งออกมาในรูปแบบไหน จึงหัวเราะเหอะ ๆ ออกมาพร้อมพยักหน้าและพูดด้วยสีหน้าอิจฉา “ไอ้หยา พวกเขาร่ำรวยมาก ที่นั่นมีทั้งโทรทัศน์ ตู้เย็นขนาดใหญ่ ภรรยาของเขาก็ไม่ต้องซักผ้าด้วยมือเพราะมีเครื่องซักผ้า ใช้เครื่องซักผ้าปั่น จบ!”
หยางเสี่ยวหลงจึงพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ “บ้านใครจะไปมีของพวกนี้กันเล่า ? ทำเป็นโอ้อวด คิดจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตเลยหรือไง ? ”
คำพูดนี้ได้เตือนสติหยางชางเซิ่ง เขารู้สึกเหมือนว่าเลขากู้คนนี้คงอยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตจริง ๆ ไม่อย่างนั้นทำไมถึงต้องขนย้ายเฟอร์นิเจอร์มาให้วุ่นวายด้วย ถ้าเขาไม่ทำอะไรเลยก็เท่ากับปล่อยให้คนนอกเข้ามาสร้างความวุ่นวายในหมู่บ้านน่ะสิ
คนในตระกูลหยางคิดแบบนี้ แต่คนในตระกูลจ้าวที่รักหน้าตากลับไม่คิดแบบนี้ เมื่อเห็นอาหารกระป๋อง 2 กระป๋อง ผู้อาวุโสแซ่จ้าวก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมาทันใด
“หมายความว่าอย่างไร ? แค่ได้ยินคนพวกนั้นบอกว่าเป็นของขวัญจากทางการทหาร ก็รีบคืนเงินให้กับคนเหล่านั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นทางการทหารมาก่อนเนี่ยนะ!”
ลูกหลานตระกูลจ้าวมองไปทางกระป๋องที่วางอยู่บนเตาปูนอย่างน้ำลายสอ อยากกินใจจะขาด แต่ปู่จ้าวนั้นรักหลานมาก เขาจึงหยิบกระป๋องลูกพีชขึ้นมาเปิดพร้อมถ้วย 1 ใบ จากนั้นก็เทใส่ถ้วย 2 ชิ้นและตัดซุปหวานละมุนให้หลานชายเล็กน้อย จากนั้นก็ปิดกระป๋องและวางไว้บนตู้สูง
ก่อนจะบอกกับหลานว่า “พรุ่งนี้เราค่อยกินต่อ เราจะกินหมดภายใน 1 วันไม่ได้”
สะใภ้ของตระกูลจ้าวรู้ว่าแม่สามีของตนนั้นมีชีวิตที่ดีขนาดไหน หล่อนไม่กลัวว่าเด็ก ๆ จะกินอาหารกระป๋องหมดภายใน 1 วัน เพียงแต่หล่อนกับสามีมีความไม่สบายใจเหมือนกัน หล่อนเดินมาข้างกายของสามีและพูดเสียงทุ่มต่ำว่า “คุณลองบอกมาสิ ว่าเราจะทำอย่างไรกับเลขากู้คนนี้ดี ? ”
ผู้ชายในตระกูลจ้าวเบิกตากว้างทันใด “พูดจาเหลวไหล เขาเป็นเลขาอยากจะทำอะไรก็ได้ ยังส่งของขวัญให้เราได้เลย ? ”
เมื่อคุณย่าจ้าวเห็นทั้งสามคนยังพูดจาในแง่ไม่ดี ก็อดพึมพำออกมาไม่ได้ “พวกเธอหยุดคิดกันได้แล้ว ฉันคิดว่าเลขากู้คนนี้มีจิตใจดี เป็นคนมีน้ำใจ ถ้ามีโอกาสเราคงจะทำเหมือนเขา เพราะเราเองก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด เวลาบ้านใครมีงานแต่งมีงานมงคลก็มักจะให้ของขวัญตลอดนี่”
ในขณะที่พูดนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นหน้าประตู “คุณป้าอยู่บ้านไหมคะ ? ”
เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก คุณย่าจ้าวจึงรีบกุลีกุจอมายังหน้าประตู และเห็นผู้หญิงผิวคล้ำแต่งกายด้วยเสื้อนวมสีแดงพุทราคนหนึ่งอุ้มลูกสุนัขเดินเข้ามา
หล่อนเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ตอนอยู่หน้าห้องทำงานเลขากู้ ฉันคือคนที่บอกว่ามีลูกหมา ให้คุณไปรับที่พี่ใหญ่ได้เลย เรารอเป็นครึ่งวันแล้วก็ยังไม่เห็นใครมา ก็เลยคิดว่าจะเดินมาดูหน่อย คุณยังอยากได้อยู่ไหม ? ”
คุณย่าจ้าวรีบเชิญเข้ามาในบ้านทันที หญิงสาวในตระกูลจ้าวเองก็ยืนขึ้นและพูดด้วยท่าทางเกรงใจ “ฉันเห็นชูเสียน ทำไมถึงให้เธอมาแทนล่ะ ? เรื่องนี้ก็จบไปแล้วด้วย”
ผู้หญิงที่ชื่อว่าชูเสียนเดินเข้ามาในบ้าน เมื่อเห็นลูกหลานของตระกูลจ้าวนั่งกินอาหารกระป๋องอยู่บนเตาปูน หล่อนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ไอ้หยา ฮ่า ๆ กินกันหมดแล้วหรือเนี่ย”
ในระหว่างที่พูด หล่อนก็เดินมานั่งบนเตาปูนเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็กล่าวทักทายผู้ชายในตระกูลจ้าว “คุณลุง พี่ใหญ่!”
เมื่อพูดจบหล่อนก็ก้มหน้าพร้อมกับยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเด็กน้อยตระกูลจ้าวเบา ๆ “เอาล่ะเด็กน้อย เธอโดนหมากัด เลขาของหมู่บ้านได้ส่งอาหารกระป๋องมาให้เธอ เขาใจกว้างใช่เล่นนะเนี่ย!”
เมื่อโพล่งคำเหล่านี้ออกมา เด็กน้อยกลับไม่เข้าใจ แต่สีหน้าของผู้ใหญ่ตระกูลจ้าวกลับแสดงความตื่นเต้น เห็นแก่หน้าตามากเกินไปแล้ว นั่งเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรยังสบายใจกว่าเสียอีก
MANGA DISCUSSION