ตอนที่ 163 เลี้ยงแขก
ช่วงสุดสัปดาห์นี้กู้จื้อเฉิงชวนเพื่อน ๆ ทหารของเขามากินอาหารเย็นที่บ้าน ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาก็ได้คุยกับจางฉุ้ยเหลียนเรียบร้อยแล้ว จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าเพื่อจะได้เป็นหน้าเป็นตาให้กับกู้จื้อเฉิง เพราะอย่างนั้นเธอจะต้องทำอาหารให้ดีกว่าครอบครัวของเพื่อนทหารของเขารายก่อน ๆ
ชุดโต๊ะรับประทานอาหารอย่างที่เธอต้องการก็ได้ส่งมาถึงแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีตู้อีก 2 ใบ จางฉุ้ยเหลียนคิดไม่ถึงเลยว่ากู้จื้อเฉิงจะหาแบบที่เธอต้องการมาได้จริง ๆ และมันก็ไม่ได้น่าสงสัยหรือน่าตำหนิที่เขาจะคิดได้ทีละอย่างสองอย่าง
จางฉุ้ยเหลียนเห็นว่าโต๊ะรับประทานอาหารที่กู้จื้อเฉิงเลือกมาก่อนหน้านี้ มันคล้ายกับสไตล์ยุค 80 มากเกินไป มันเชยจนเรียกว่าห่วยเลยก็ว่าได้ มันไม่ได้เป็นโต๊ะพับแล้วเท่านั้น แต่โครงพับของมันก็ทำจากเหล็กบาง ๆ ด้วย พอเอามาคู่กับเก้าอี้สีแดงสองตัวแล้ว มันก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่า มันไม่เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดภายในบ้าน
เธอบอกกับกู้จื้อเฉิงว่าเธอต้องการโต๊ะรับประทานอาหารทรงสี่เหลี่ยม ด้านข้างวางเก้าอี้ได้ฝั่งละ 3 ตัว ส่วนหัวโต๊ะและท้ายโต๊ะวางเก้าอี้ได้อย่างละ 1 ตัว แม้ห้องนั่งเล่นของพวกเขาจะรวมเป็นสองห้อง แต่ในส่วนของห้องน้ำก็ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่อะไรมากนัก
จางฉุ้ยเหลียนจึงวางโต๊ะรับประทานอาหารที่สีเข้ากันกับชั้นหนังสือให้หันหน้าไปทางห้องนั่งเล่น ส่วนด้านในที่ติดกับผนังเธอก็วางตู้ที่มีความสูงประมาณครึ่งตัวคนเอาไว้ เหนือตู้มีกรอบรูปไม้ขนาดเล็กแขวนอยู่ ในนั้นมีภาพพวกเธอสองสามีภรรยา และภาพของกู้จื่อชิวกับอันหลงที่ถ่ายที่เมืองหลวง ภาพครอบครัวของตระกูลกู้ นอกจากนี้ยังมีภาพครอบครัวของตระกูลเซี่ยอยู่ด้วย
ในตู้ชั้นบนก็ใส่ผ้าห่มสุดรักสุดหวงของจางฉุ้ยเหลียน แก้วน้ำที่ใสดุจคริสตัล ถ้วยกาแฟลายสวย ถ้วยชาลายนูนขาว ส่วนชั้นล่างสุดของตู้ก็ใส่ชุดรับประทานอาหารที่ติงเขอส่งมา จางฉุ้ยเหลียนทำใจใช้ชุดนี้ไม่ได้เธอเลยวางมันไว้ด้านใน
ส่วนตู้อีกใบหนึ่งวางชิดกับผนังห้องนอน เธอเอาไว้ใส่ชุดชั้นใน ถุงเท้า และเสื้อผ้าบาง ๆ เช่นเสื้อเชิ้ตไว้ในลิ้นชัก ด้านบนวางเชิงเทียนสวย ๆ เอาไว้ ทำให้สไตล์ของห้องดูโดดเด่นขึ้นมาทันที
ซูหย่าซิ่วไม่เคยมาที่บ้านของผู้บัญชาการกู้มาก่อน หล่อนรู้เพียงแค่ว่าเพื่องานเลี้ยงในคืนวันนี้จางฉุ้ยเหลียนก็ซื้อของมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว หล่อนก็อุ้มลูกของตัวเองมาที่บ้านตระกูลกู้ เพื่อมาช่วยงานจางฉุ้ยเหลียนทำอาหารตั้งแต่เนิ่น ๆ
แต่หล่อนกลับคาดไม่ถึงเลยว่าเพียงแค่หล่อนเปิดประตูเข้ามา หล่อนก็โดนการตกแต่งภายในบ้านดึงดูด จนทำให้หล่อนลืมไปแล้วว่าหล่อนมาที่บ้านตระกูลกู้ทำไม
“นี่มันพระราชวังรึไง ! สวยมากจริง ๆ ! ” ซูหย่าซิ่วอุ้มลูกเดินเข้ามาในบ้าน “นี่ถ้าไม่ดูให้ละเอียด คงไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้ใหญ่เท่า ๆ กับบ้านของเรา ไอ้หยา บ้านของพวกเธออลังการมาก”
ซูหย่าซิ่วเพิ่งเข้ามาในบ้านก็โดนรองเท้าส้นสูงที่วางอยู่บนตู้รองเท้าดึงดูดสายตาแล้ว จากนั้นหล่อนก็เดินเข้าไปดูห้องน้ำของพวกเขา แต่หล่อนก็ไม่ได้อิจฉาห้องน้ำของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แต่หล่อนอิจฉาที่ผู้บัญชาการกู้ปฏิบัติต่อภรรยาของเขามากกว่า
แม้ที่นี่จะมีฤดูร้อนน้อย แต่ฤดูร้อนแค่ไม่กี่วันนั่นมันก็ร้อนมากจริง ๆ ถ้าอาบน้ำสระผมได้ที่บ้านก็ไม่ต้องไปที่โรงอาบน้ำทุกวัน พวกเขายังติดเครื่องทำความร้อนในบ้านด้วย พอเข้าฤดูหนาวก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
พอเข้าไปดูในห้องนั่งเล่นของพวกเขา โต๊ะตัวใหญ่ตัวนั้นก็ดูน่าสนใจมากจริง ๆ กรอบรูปที่แขวนอยู่บนผนังพวกนั้น แค่มองก็รู้แล้วว่าลูกสะใภ้คนนี้ไม่ธรรมดา เธอแขวนรูปบ้านแม่สามีไว้หลายรูป แต่บ้านของตัวเองกลับมีแค่รูปเดียว ไม่ว่าใครมาเห็นก็ต้องมองออกว่า ใครกันแน่ที่เป็นใหญ่ในบ้านนี้ ชื่อเสียงดี ๆ มีให้พูดนักต่อนัก ตัวผู้บัญชาการกู้ก็เป็นคนอบอุ่น นี่สิถึงจะเรียกว่าคนของตระกูลกู้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาแต่งงานกับภรรยาคนนี้
“ฉันไม่อิจฉาชั้นวางหนังสือกับโต๊ะทำงานของเธอหรอกนะ โต๊ะเขียนหนังสือบ้านเราไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้หรอก” ซูหย่าซิ่วนั่งบนโซฟา หล่อนค่อย ๆ ลูบพนักพิงที่อ่อนนุ่มอย่างช้า ๆ และยังลองแตะดูเบาะนั่งที่พื้นด้วย
“ฉันเองก็ไม่ได้อิจฉาเครื่องเสียงกับโทรทัศน์ของเธอด้วย ถึงบ้านเราจะแย่กว่าเธอ แต่แค่ฟัง ๆ ดู ๆ มันก็แค่นั้นแหละ ไม่แน่นะบ้านของเธออาจจะเสียค่าไฟเยอะกว่าบ้านของเราก็ได้ ! ” จากนั้นซูหย่าซิ่วพูดด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง “ฉันล่ะอยากได้โคมไฟบ้านเธอจริง ๆ เพราะรูปทรงมันสวยมาก ราวกับดอกไม้ที่ถูกโปรยลงมาไม่มีผิด เธอไปซื้อของพวกนี้มาจากไหนหรือ ? ”
ชุดโคมไฟตั้งพื้นของจางฉุ้ยเหลียนเป็นของที่ติงหลงหลงฝากใครสักคนส่งมาให้ มันเป็นสไตล์แบบยุโรป แม้จะเอาไปขายในปี 2012 ก็ไม่มีคนคิดว่ารูปทรงนี้จะดูเชยแต่อย่างใด ส่วนอีกชุดหนึ่งเป็นของที่ติงหลงหลงเพิ่งเจอหลังจากนั้น ครั้งนี้หล่อนก็เลยฝากให้เพื่อนเอากลับมาจากแดนไกล แต่เพื่อนคนนั้นก็พึ่งพาไม่ได้ เพราะเขาดันลืมของหล่อนซะอย่างนั้น ตอนที่เพื่อนของหล่อนเพิ่งนึกขึ้นได้แล้วส่งมาให้บ้านตระกูลเซี่ย จางฉุ้ยเหลียนก็ขึ้นรถไฟแล้ว
เพราะอย่างนั้นเซี่ยจวินเลยต้องส่งโคมไฟตามมาให้อีกที เมื่อสองวันก่อนกู้จื้อเฉิงก็เพิ่งไปขนมันกลับมา มันเป็นโคมไฟตั้งโต๊ะที่ส่องแสงไฟเป็นรูปดอกไม้เต็มเพดาน พวกของอย่างอื่นฝีมือไม่ค่อยดีและไม่คุ้มค่าเงินเท่าไหร่ แบบนี้สิถึงจะแปลกใหม่หน่อย ไส้หลอดถูกพันด้วยลวดเงินและหุ้มด้วยฟิล์มพลาสติกอีกที กู้จื้อเฉิงบอกว่าพ่อค้าอเมริกาก็เอาแต่กำไร เพราะอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงได้แต่ฉีกยิ้มให้เขาเท่านั้น
ความแตกต่างระหว่างชายหญิงก็คือ ผู้หญิงชอบของหลุดโลก แต่ผู้ชายชอบของที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ซูหย่าซิ่วเดินดูรอบ ๆ บ้านของเธอหนึ่งรอบ แต่ก็มีเพียงโคมไฟเท่านั้นที่สามารถทำให้หล่อนตาโตได้
หลังจากกินขนมที่บ้านจางฉุ้ยเหลียนแล้ว ลูกสาวของซูหย่าซิ่วก็ขยี้ตาไปมาด้วยความง่วง หล่อนเลยอุ้มลูกไปกล่อมนอนบนเตียงของจางฉุ้ยเหลียนแล้วห่มผ้าให้ลูกสาว หลังจากเด็กน้อยที่ดูดนิ้วได้ไม่นานก็นอนหลับไปในที่สุด
เพราะอย่างนั้นทั้งสองคนถึงได้โล่งใจ เข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็นในวันนี้
“เธอซื้อปลาจีนมาตัวใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ นี่มัน 4 กิโลกรัมได้เลยมั้ง ? เธอคิดจะเอาไปทำอะไร ? แล้วอย่างนี้เราจะใส่ลงไปในหม้อได้หรือ ? ” ซูหย่าซิ่วมองปลาที่อยู่ในอ่างกำลังดีดดิ้นไปมาเพื่อกระโดดออกมาจากอ่าง
“เอาไปแล่ แล้วทำปลาตุ๋นน้ำแดงน่ะ” จางฉุ้ยเหลียนนั่งปลอกเปลือกมันฝรั่งอยู่ที่พื้น ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังเตรียมวัตถุดิบกันอยู่ แต่ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบก็ยุ่งยากมาก อย่างเช่นการที่จะต้องจัดการกับปลาจีนหนัก 4 กิโลกรัมตัวนี้
ที่นี่ไม่มีคนขายปลาที่รับจัดการปลาให้พร้อมเสร็จสรรพ จางฉุ้ยเหลียนเลยต้องแบกมันกลับมาจากร้านด้านนอกกำแพง
ซูหย่าซิ่วเป็นคนคล่องแคล่ว หลังจับมีดได้ไม่นานหล่อนก็จัดการปลาตัวนั้นเสร็จแล้ว “พี่สาว พี่จะเก็บเครื่องในปลาพวกนี้เอาไว้ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยืนหันหลังให้อีกฝ่าย ตอนนี้เธอกำลังยืนหั่นต้นหอม ขิง กระเทียม และแครอทอยู่หน้าเขียง เธอเพียงหัวเราะและตอบกลับว่า “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไส้ปลาอะไรพวกนั้นโยนทิ้งไปให้หมดเลย ฉันทำแต่ปลาไม่ต้องการเครื่องในพวกนั้นหรอก ! ”
ซูหย่าซิ่วมองเครื่องในพวกนี้แล้วก็รู้สึกเสียดาย หลังจากที่อ้ำอึ้งอยู่นานสองนาน หล่อนก็ได้แต่พูดออกไปอย่างอาย ๆ ว่า หล่อนอยากจะเอาเครื่องพวกนี้กลับไปที่บ้าน เพราะยังไงจางฉุ้ยเหลียนก็จะทิ้งอยู่ดี
ปลาที่ถูกแล่ออกมาแล้วถูกวางไว้ในจาน ส่วนวัตถุดิบต่าง ๆ ถูกเตรียมไว้ในจานที่อยู่ข้าง ๆ อีกทั้งวัตถุดิบพวกต้นหอม ขิง กระเทียม พริกไทย โป๊ยกั๊ก อบเชยต่างถูกวางอยู่ตรงนั้นแล้วเช่นกัน
อาหารเรียกน้ำย่อยมีทั้งหมด 6 อย่างได้แก่ แฮม เนื้อตุ๋นสมุนไพรห้าชนิด ผัดขึ้นฉ่ายใส่เต้าหู้ ผัดผักโขมโรยหน้าด้วยถั่ว น้ำพริก มะเขือเทศคลุกน้ำตาล และอาหารตุ๋น 3 อย่างได้แก่ปลาตุ๋นน้ำแดง ไก่ตุ๋นเห็ดโคน เนื้อลาตุ๋นซอส และมันก็เป็นเมนูที่ต้องทำก่อนอย่างแรก ส่วนอาหาร 3 ที่ต้องใช้น้ำมันก็มีพวกหมูชุบแป้งทอดราดซอส มันเทศเคลือบน้ำตาล กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา และอาหารสามอย่างที่ต้องผัดด้วยไฟแรงก็ได้แก่เนื้อชูมู เต้าหู้ผัดซอสเสฉวน ถั่วฝักยาวผัดกระเทียม
ซูหย่าซิ่วมองกระดาษที่แปะอยู่บนผนังห้องครัว ตอนแรกหล่อนยังหัวเราะเยาะจางฉุ้ยเหลียนอยู่เลยว่า เธอทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ แถวนี้มีใครไม่เคยเชิญแขกมากินข้าวที่บ้านบ้าง ทำไมพอมาถึงตาเธอแล้ว เธอกลับทำเหมือนงานเลี้ยงระดับประเทศอย่างไรอย่างนั้น
และด้านบนก็ไม่ได้มีอะไรเขียนเอาไว้อีก แต่เพียงแค่ชื่ออาหารพวกนั้นก็ดูไม่ธรรมดาแล้ว เปรี้ยว เค็ม เผ็ด หวานมีอาหารครบทุกรสชาติ
และตอนนี้เหล่าบรรดาแขกที่มาร่วมกินอาหารเย็นก็เริ่มมากันแล้ว ในครัวก็กำลังทำอาหารประเภทตุ๋นกันอยู่ แต่บนโต๊ะอาหารก็มีซุปปลาและไก่ทอดวางเตรียมไว้อยู่
ในเวลานี้ซูหย่าซิ่วก็ได้เห็นถึงความพิถีพิถันของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว และนี่ก็เป็นสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนเอาไว้รักษาหน้าได้จริง ๆ
ที่ตงเป่ยมีบ้านไหนใช้จานเล็ก ๆ แบบนี้กันบ้างล่ะ เพราะอาหารหนึ่งจานสามารถกินได้ถึง 2 คน และอาหารจานใหญ่ก็ถือว่าเป็นธรรมเนียมการเลี้ยงแขกของคนตงเป่ย
แต่วันนี้จางฉุ้ยเหลียนกลับไม่ได้ทำแบบนั้น จานบ้านเธอไม่ถือว่าใหญ่หรือเล็กเกินไป อาศัยเพียงแค่ความดูดี แต่มันกลับทำให้อาหารดูดีขึ้นมา
ยกตัวอย่างเช่นไก่ตุ๋นเห็ดโคนชามนั้น ซูหย่าซิ่วมองดูจางฉุ้ยเหลียนตักมันใส่ในถ้วยเพียงแค่หนึ่งส่วนสามของถ้วยเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ตักพักไว้ข้าง ๆ อาหารเรียกน้ำย่อยที่วางอยู่บนโต๊ะก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะเธอจัดมันจนแทบจะเป็นดงดอกไม้แล้วด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่นเนื้อลาตุ๋นซอส นี่เป็นอาหารที่พ่อครัวใหญ่ในโรงอาหารทำเมื่อวันก่อน หลายคนต่างซื้อกลับมากินที่บ้าน วันนี้จางฉุ้ยเหลียนก็เอาออกมาจากตู้เย็นในบ้าน แล้วหั่นใส่จานทรงกลม ตรงกลางวางแครอทที่แกะสลักด้วยแม่พิมพ์ หล่อนคิดจนหัวแตกแต่ก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมเธอถึงต้องเปลืองเงินซื้อเจ้านี่มาด้วย
แต่สิ่งที่น่าทึ่งมากที่สุดก็คือ จางฉุ้ยเหลียนหั่นแตงกวาและแครอทเป็นชิ้นเล็ก ๆ แต่ก็ไม่ได้เอาไปทำอาหาร เธอเอาไปวางเป็นรูปวงกลมรอบ ๆ จานแทน เธอบอกว่าอยากจัดจานให้ดูดีหน่อย เพราะอย่างนั้นเธอจึงเพิ่มใบผักสีเขียวลงไปเพื่อจัดจานด้วย
ซูหย่าซิ่วมาที่บ้านตระกูลกู้เพื่อช่วยเหลือจางฉุ้ยเหลียน แต่ลูกสาวของหล่อนกลับกินขนมที่บ้านของพวกเขาไปจานใหญ่และยังดูโทรทัศน์ตลอดทั้งช่วงบ่ายอีก หล่อนเลยต้องอธิบายให้จางฉุ้ยเหลียนฟังอย่างอาย ๆ แต่พอหล่อนเห็นผักที่จางฉุ้ยเหลียนเอามาตกแต่งจานแล้ว หล่อนก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา
หลังจากแขกเข้ามานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแล้ว พวกเขาก็นั่งจิบชาไปดูชุดชงชาไป สุดท้ายซูหย่าซิ่วก็เห็นขนมและผลไม้ที่ถูกจัดเรียงอย่างงดงามราวกับดอกไม้บนโต๊ะถูกพวกผู้ชายหยาบ ๆ เหล่านั้นกินกันจนเละเทะ
“พวกเขาต่างก็เป็นคนหยาบ ๆ กันทั้งนั้น ถึงเธอจะตกแต่งมันสวยงานแบบนั้น พวกเขาก็ไม่สนใจอยู่ดี เธอดูสิว่าตัวเองต้องเหนื่อยขนาดไหน ! ” ซูหย่าซิ่วยื่นแก้วน้ำไปให้จางฉุ้ยเหลียน จางฉุ้ยเหลียนที่กำลังยืนพิงตู้เย็นอยู่จึงพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “จะรู้ว่ามันคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่ามันก็เป็นเรื่องของพวกเขา แต่ความคิดพวกนี้มันก็เป็นสิ่งที่เจ้าบ้านอย่างฉันควรมี”
“เหล่ากู้ นายนี่ได้แต่งกับภรรยาที่ดีมากจริง ๆ ดูสิ่งที่เธอดูแลครอบครัวสิ นายนี่มันช่างมีความสุขจริง ๆ เลยนะ ! ” ในยุคสมัยนี้พวกเพื่อน ๆ ต่างก็มีความจริงใจต่อกันทั้งนั้น พอเห็นกู้จื้อเฉิง ‘อายุปูนนี้’ แล้วยังได้แต่งกับภรรยาที่ฉลาดหลักแหลมแบบนี้ พวกเขาก็ดีใจแทนเพื่อน
โจวเผิงเดินวนรอบ ๆ บ้านรอบหนึ่ง สายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ชั้นวางหนังสือตรงกลางห้อง เมื่อลองพลิกดูหนังสือบนชั้นอย่างละเอียดแล้ว นักศึกษาสมัยนี้ไม่ใช่พวกสวยแต่รูปจูบไม่หอมจริง ๆ แม้บนชั้นหนังสือนี้จะมีนิยายอยู่ไม่น้อย แต่ก็เป็นผลงานชื่อดังของต่างประเทศและในประเทศทั้งนั้น พอลองมองดูที่โต๊ะทำงาน แม้มันจะถูกเก็บกวาดอย่างเรียบร้อย แต่ตรงมุมโต๊ะก็ยังมีกระดาษชั้นดีและพู่กันที่ถูกแขวนเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ มันทำให้มองออกได้อย่างง่ายดายว่าภรรยาของกู้จื้อเฉิงเป็นกุลสตรีอย่างแท้จริง
ทุกคนนั่งดื่มชากันอยู่นานสองนาน หลังจากที่เห็นกู้จื้อเฉิงคุยโม้เสร็จแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู พร้อมกับถามกู้จื้อเฉิงออกไปเหมือนภรรยาตัวน้อยว่า “จะเริ่มกินอาหารเย็นกันเลยรึยัง ? ”
ผู้ชายกลุ่มนั้นก็เหมือนโดนลงโทษ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะพูดแซวกันขึ้นมา
หลังจากอาหารเรียกน้ำย่อยทั้งหกอย่างขึ้นโต๊ะแล้ว ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปพยักหน้าให้กันด้วยความรู้สึกพึงพอใจ ภรรยาของเหล่ากู้ฉลาดหลักแหลมและรู้จักเอาใจสามีมากจริง ๆ ทุกคนยังไม่รู้ว่ารสชาติของอาหารจะเป็นยังไง แต่ดูจากหน้าตาของมันพวกเขาก็ให้คะแนนเต็มสิบไปเป็นเรียบร้อยแล้ว
“พี่สะใภ้ ไม่ต้องทำแล้ว รีบมานั่งเถอะ มากินข้าวด้วยกันก่อน ! ” ทุกคนชวนให้จางฉุ้ยเหลียนมานั่งกินข้าวด้วยกัน จางฉุ้ยเหลียนกลับเม้มปากแล้วหัวเราะเบา ๆ “คนกันเองทั้งนั้น พวกคุณไม่ต้องสุภาพกับฉันหรอกค่ะ พวกคุณมากินข้าวที่บ้านของเราครั้งแรก ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกคุณชอบกินรสชาติอาหารแบบไหน ถ้าดูแลไม่ทั่วถึงก็อภัยให้กันด้วยนะคะ ! ”
ในฐานะเพื่อนบ้านและเคยเจอหน้ากันมาก่อน โจวเผิงจึงยิ้มและตอบกลับอย่างสุภาพว่า “คุณเองก็เกรงใจเกินใจ ทำอาหารซะทุกคนไม่รู้จะเริ่มกินจากตรงไหนก่อนดี ! ”
กงเหลียนเชิ่งสามีของซูหย่าซิ่วพูดจาติดตลกอย่างไม่เกรงใจว่า “ไม่รู้ว่าจะกินยังไงก็ไม่ต้องกิน ทางที่ดีที่สุดกลับบ้านไปกินหมั่นโถวบ้านนายโน้นไป ! ” เมื่อได้ยินคำพูดหยอกล้อนั่น ทุกคนก็พากันหัวเราะออกมาทันที !
คนพูดไม่คิดแต่คนฟังกลับคิด มุมปากโจวเผิงยกยิ้มขึ้นมาอย่างฝืน ๆ และหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา จากนั้นเขาก็ก้มหน้านั่งนับอาหารทั้ง 16 อย่างนี้ พอคิดถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองชวนเพื่อนไปกินอาหารที่บ้านแล้ว เขาก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ !
MANGA DISCUSSION