ตอนที่ 133 ใครให้เบาะแส
“ผมลองสอบถามกับเพื่อนแล้วครับ เรื่องของเสี่ยวจวินไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนของการสืบสวน พวกเขายังไม่มีหลักฐานว่าเสี่ยวจวินเป็นคนเปิดบ่อนจริง ๆ รึเปล่า อย่างมากตอนนี้เขาก็โดนขังสองสามวันเท่านั้น เดี๋ยวก็คงจะถูกปล่อยออกมาแล้ว ! ” พอฟู่ซินกลับมาถึงบ้าน เขาก็รีบตรงไปที่บ้านของตระกูลจางทันที
หลังจากที่เช่าหวาได้รับข่าวนี้ หล่อนก็ถูกแม่ของตัวเองส่งตัวกลับมาที่บ้านตระกูลจางทันที และในตอนนี้ทุกคนต่างหวังว่าหัวหน้าใหญ่อย่างฟู่ซินจะช่วยแก้ปัญหาอะไรได้
“ไอ้หยา พ่อหนุ่ม เป็นเพราะป้าสอนลูกไม่ดีเอง เธอก็ช่วยเห็นแก่ฉุ้ยเหลียน ช่วยน้องชายของเธอออกมาหน่อยนะ ! ” หลังจากที่เช่าหวารู้ว่าฟู่ซินกลับมาแล้ว หล่อนก็คิดว่าเขาต้องรู้เรื่องที่จางฉุ้ยจวินสุมหัวเล่นการพนันที่โรงงานเหมืองทรายจากคนในครอบครัวของเขาอย่างแน่นอน โชคดีที่ตอนเกิดเรื่องฟู่ซินไม่ได้อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเขาต้องเอาผิดคนพวกนี้แน่
“ใช่ครับ เสี่ยวจวินทำผิดจริง ๆ ผมให้เขามาดูแลโรงงานเหมืองทรายไม่ใช่ให้เขามาทำเรื่องแย่ ๆ แบบนี้” ฟู่ซินถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า “เขาไม่มีความรับผิดชอบเลยสักนิด ต่อไปนี้ผมจะยังวางใจมอบหมายงานสำคัญให้เขาทำได้อย่างไร ? ”
เช่าหวาไม่เข้าใจความหมายของฟู่ซินเลยแม้แต่น้อย หล่อนจึงพยายามพูดอธิบายออกไปว่า “ไอ้หยา เขายังเด็กยังไม่รู้ความ เธออายุมากกว่าเขา เพราะอย่างนั้นเธอก็ช่วยใจกว้างสอนเขาหน่อยไม่ได้หรือ ? เธอดูสิตอนนี้เขาก็สำนึกผิดแล้ว ต่อไปนี้เขาคงไม่กล้าทำอะไรแบบนี้อีกแล้วล่ะ ! ”
ถึงแม้ว่าเช่าหวาจะไม่เข้าใจความหมายของฟู่ซิน แต่จางกว่างฝูกลับเข้าใจมันได้อย่างชัดเจน เขาขมวดคิ้วแล้วถามออกไปว่า “หมายความว่ายังไง เธอจะไล่เสี่ยวจวินออกอย่างนั้นหรือ ? เธอจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ เธอจะเสร็จศึกฆ่าขุนพลหรือ ? ตอนแรกที่โรงงานเหมืองทรายของเธอทำเงินได้ เสี่ยวจวินก็มีส่วนช่วยเธอไม่น้อยเลย ! ”
จางฉุ้ยเหลียนที่นั่งกำลังฟังอยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินผู้เป็นพ่อพูดออกมาแบบนั้น เธอก็อดที่จะแสยะยิ้มอย่างเย็นชาออกมาไม่ได้ “เขาช่วยอะไรได้ล่ะ ? เขาเป็นคนช่วยหาวัตถุดิบหรือว่าช่วยฟู่ซินหาลูกค้าหรือ ? คนอย่างเขาก็เอาแต่วางมาดไปวัน ๆ งานการก็ไม่ทำ นั่นน่ะหรือที่เรียกว่าช่วย ? ”
เมื่อเห็นว่าน้องชายของตัวเองกำลังจะตกงาน ไม่เพียงแต่จางฉุ้ยเหลียนจะไม่ช่วยแล้วเท่านั้น แต่เธอยังคอยซ้ำเติมเขาอีกด้วย เมื่อได้ยินดังนั้น จางกว่างฝูจึงระเบิดอารมณ์โกรธออกมาทันที “นังเด็กเหลือขอ แกจะไปรู้อะไรล่ะ เหลวไหลสิ้นดี ! ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่สนใจผู้เป็นพ่อเลยสักนิด เธอกลอกตาไปมา จากนั้นก็เมินหน้าหนีไปอีกฝั่ง จางกว่างฝูหลงผิด คิดว่าเพียงแค่เขาด่าทอจางฉุ้ยเหลียนออกไปแค่นี้มันก็สามารถจัดการกับเธอได้แล้ว อีกทั้งตอนนี้เขาก็ได้ระบายความคับข้องใจที่เก็บมาสองสามวันที่ผ่านมานี้ออกไปได้ด้วย เขาจึงยืดอกขึ้นนั่งตัวตรง แล้วพ่นน้ำลายด่าทอจางฉุ้ยเหลียนออกมาอีกว่า “แกคิดว่าการที่แกได้เรียนหนังสือมาไม่กี่วัน แล้วมันจะทำให้แกเก่งขึ้นงั้นหรือ ถ้าแกเก่งจริง ทำไมแกไม่หาเงินเข้าบ้านบ้างล่ะ หา ? จนถึงตอนนี้แกก็ยังช่วยน้องชายของแกออกมาไม่ได้เลย แกมันไร้ประโยชน์ช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด แล้วการที่แกเรียนหนังสือแบบนี้ มันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ ? ”
เช่าหวาไม่ได้เข้าใจเหมือนอย่างสามี เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงคิดว่าฟู่ซินจะไล่จางฉุ้ยจวินออกจริง ๆ หล่อนจึงรุดหน้าเข้าไปยืนเผชิญหน้ากับฟู่ซิน จากนั้นก็คอยสังเกตสีหน้าของเขา พอเขาเห็นจางฉุ้ยเหลียนโดนจางกว่างฝูด่าทอ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที หล่อนเลยลอบถอนหายใจออกมา หล่อนคิดว่าขอเพียงแค่ในใจของฟู่ซินยังมีจางฉุ้ยเหลียนอยู่ เขาก็ไม่สามารถหนีจากเงื้อมมือของหล่อนไปได้แล้ว
พอคิดได้แบบนั้น เช่าหวาก็เปลี่ยนสีหน้าหันมาต่อว่าขอสามีของตัวเองทันที หล่อนเท้าเอวและด่าทอจางกว่างฝูที่กำลังนอนอยู่บนเตียงออกไปราวกับว่ามันเป็น “ความคิดเห็นยิ่งใหญ่ระดับชาติ” ว่า “คุณยังมีหน้ามาโทษลูกสาวอีกหรือ หา ? คุณดูไม่ออกรึไงว่าทำไมเสี่ยวจวินถึงต้องติดคุก ? ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะพ่ออย่างคุณที่มันไม่ได้เรื่องหาเงินมาจุนเจือครอบครัวไม่ได้ไม่ใช่รึไง ? เสาหลักของบ้านที่หาเงินไม่ได้ ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าเสาหลักอยู่อีกหรือ ? ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันก็คงจะรีบวิ่งออกไปที่ถนนใหญ่ให้รถชนตายไปนานแล้ว อย่างน้อยก็จะได้มีเงินงานศพเหลือเงินไว้ให้ครอบครัวบ้าง ! ”
จางฉุ้ยเหลียนรับไม่ได้กับคำพูดของเช่าหวาเลยแม้แต่น้อย ถ้าคนนอกมาได้ยินเข้าก็คงจะพากันหัวเราะเยาะเอาไม่ใช่หรือ ?
เมื่อเห็นกิริยาท่าทางของสองสามีภรรยาตระกูลจางในวันนี้แล้ว ฟู่ซินก็ได้เข้าใจแล้วว่า ชีวิตของจางฉุ้ยเหลียนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ เขาเริ่มชื่นชมที่จางฉุ้ยเหลียนสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใครในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ได้
หลังจากนั้นจางกว่างฝูและเช่าหวาก็เริ่มทะเลาะกัน จางฉุ้ยเหลียนแสดงความขอโทษผ่านทางสีหน้าไปให้กับฟู่ซิน แล้วทั้งสองคนก็ค่อย ๆ เดินออกไปจากบ้านตระกูลจาง จากนั้นฟู่ซินก็เดินตามจางฉุ้ยเหลียนมายังบ้านข้าง ๆ
“เป็นยังไงบ้าง ? ” คุณปู่ของจางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าฟู่ซินเป็นหัวใหญ่ เขาจึงคิดว่าถ้าฟู่ซินออกหน้าช่วยแบบนี้แล้ว เขาจะต้องจัดการกับปัญหาได้อย่างแน่นอน
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ จากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ “พ่อกับแม่ของหนูทะเลาะกันอีกแล้ว พวกเขาไม่มีทางคุยกันดี ๆ ได้เลยจริง ๆ ”
คุณปู่แสดงสีหน้าสงสัยออกมา จากนั้นก็ถามออกไปว่า “ทะเลาะอะไรกัน ? ทะเลาะกันเรื่องของน้องชายแกอย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่คุณปู่ก็พอจะเข้าใจ จากนั้นพวกเขาก็เงียบไม่พูดอะไรกันอยู่พักหนึ่ง และบรรยากาศภายในบ้านก็อึดอัดขึ้นมาทันที แต่ฟู่ซินกลับทำท่าทางขอโทษออกมา เขาพูดออกไปว่า “ผมไม่มีความสามารถพอที่จะช่วยเรื่องนี้ได้จริง ๆ อีกทั้งคนรู้จักของผมก็ไม่สามารถช่วยเรื่องของเสี่ยวจวินได้ด้วย ขนาดว่าเราจะยอมจ่ายเงินค่าปรับเพิ่มให้เขา เขาก็ไม่สามารถช่วยได้ เห้อ ! ”
เมื่อเหล่าบรรดาญาติพี่น้องตระกูลจางได้ยินเช่นนี้ อารมณ์ของพวกเขาก็ห่อเหี่ยวทันที ด้วยความที่จางฉุ้ยจวินยอมรับสารภาพออกมา ศาลจึงสั่งตัดสินจำคุก 3 ปี และปรับเงินอีก 1,000 หยวน
สำหรับตระกูลจางแล้ว เงินจำนวน 1,000 หยวน ก็ถือว่าเป็นเงินก้อนที่เยอะมากจริง ๆ แล้วคนอย่างจางกว่างฝูจะไปหามากมายขนาดนั้นมาจากไหนล่ะ?
หลังจากที่โดนจับ นายตำรวจก็พูดข่มขู่จางกว่างฝูออกมาว่า “บอกชื่อคนที่มาเล่นพนันที่นี่ออกมาให้หมด แล้วเราจะลดค่าปรับให้ 1,000 หยวน”
อย่าว่าแต่จางฉุ้ยจวินที่รู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดออกมาเลย เพราะแม้แต่จางกว่างฝูที่ไม่เคยมีความซื่อสัตย์ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมาเช่นกัน เพราะอะไรน่ะหรือ ? ก็เพราะถ้าเกิดเขาพูดชื่อของคนที่มาเล่นพนันพวกนั้นออกไปแล้ว พอเรื่องทุกอย่างสงบลง คนพวกนั้นจะต้องมาจุดไฟเผาบ้านของพวกเขาแน่ และการที่ต้องถูกรังควานแบบนั้นทั้งชีวิตมันก็ไม่คุ้มหรอก
เช่าหวาโมโหความไก่อ่อนของจางกว่างฝู แต่หล่อนก็รู้ว่าถ้าเป็นหล่อนก็คงจะไม่กล้าพูดชื่อคนที่มาเล่นพนันออกไปได้เช่นกัน แต่หล่อนเองก็ไม่มีเงิน อีกทั้งหล่อนจะไปเข้าคุกเองก็ทำไม่ลง สองสามีภรรยาจึงเริ่มทะเลาะกันขึ้นมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายมันก็ช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย
และด้วยความที่จางฉุ้ยจวินเป็นหลานชายของตัวเอง คุณปู่จึงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา ส่วนทางด้านคุณย่าก็กำลังนั่งบ่นพึมพำอยู่ข้าง ๆ เอาแต่พูดออกมาหล่อนไปติดคุกแทนหลานชายได้ไหม
พอจางฉุ้ยเหลียนได้ยินแบบนั้น เธอก็อดที่จะใจอ่อนขึ้นมาไม่ได้ แต่นอกจากจะพูดปลอบใจแล้ว เธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไรได้อีก
ฟู่ซินออกไปหาเพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนร่วมรบของเขา เขาคิดที่จะยัดเงินใต้โต๊ะเผื่อมันจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าตำรวจที่นั่นจะโมโหขึ้นมา ไม่เพียงแต่นายตำรวจจะด่าคนที่พาฟู่ซินเข้ามาแล้วเท่านั้น แต่ตำรวจยังขู่ฟู่ซินด้วยว่าหากเขาทำแบบนี้อีก เขาก็จะโดนจับไปด้วยอีกคน
หลังจากที่เหล่าบรรดาญติที่น้องตระกูลจางได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็กลับมาห่อเหี่ยวกันอีกครั้ง และพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่สวดมนต์ภาวนาขอให้คดีนี้คลี่คลายและขอให้พวกเขาปล่อยตัวจางฉุ้ยจวินออกมาเท่านั้น
แต่ความจริงแล้ว พวกเขาไม่รู้เลยว่าคดีความของจางฉุ้ยจวินเป็นเพียงแค่คดีความเล็ก ๆ เท่านั้น โดยปกติแล้วก็จะถูกขังเพียงแค่ครึ่งเดือน หลังจากที่จ่ายค่าปรับเสร็จก็ไม่มีอะไรแล้ว
แต่เพราะครั้งนี้มีคนมาแจ้งความ อีกทั้งคนที่มาแจ้งความก็ยังมีหลักฐานอีกด้วย เพราะอย่างนั้นตำรวจจึงต้องการที่จะสืบสวนมันอย่างละเอียด และไม่อาจเห็นว่ามันเป็นเพียงแค่คดีความเล็ก ๆ ได้อีกต่อไป
และนี่ก็เป็นข่าวที่ฟู่ซินสืบมาได้ เดิมทีแล้วคนในตระกูลจางคิดว่าพ่อของฟู่ซินเป็นคนไปแจ้งความ เพื่อที่จะแก้แค้นที่ตอนนั้นจางฉุ้ยจวินไม่ให้คนงานทำงาน แต่กลับให้พวกเขามาเล่นพนันกับตัวเอง
แต่เนื่องจากโรงงานเหมืองทรายเป็นของลูกชายเขา ไม่ว่าคุณปู่จะโง่ขนาดไหนแต่เขาก็ไม่คิดว่า พ่อของฟู่ซินก็คงจะทำลายน้ำพักน้ำแรงของลูกชายได้หรอก
“งั้นเราก็ต้องมองขอบเขตให้มันแคบลงมาหน่อย ถ้าไม่ใช่พวกที่ไปเล่นพนันด้วยกัน ก็ต้องเป็นชาวบ้านแถวนั้นที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดบ่อนแห่งนี้ หรือไม่ก็เป็นคู่แข่งทางธุรกิจของโรงงานเหมืองทรายของเรา” จางฉุ้ยเหลียนทำการวิเคราะห์และสรุปออกมา จนตอนนี้พวกเขาก็ได้ผู้ต้องสงสัยมาทั้งหมด 3 กรณีแล้ว ทางด้านของฟู่ซิน เขาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
ถ้าเป็นนักพนันด้วยกันเอง มันก็มีความเป็นไปได้น้อยมาก จางฉุ้ยจวินก็พูดแล้วว่า พวกเขาไม่ได้เปิดบ่อนเล่นพนันใหญ่โตอะไร เพียงแค่จะหาเพื่อนเล่นพนันด้วยเท่านั้น และพวกเขาก็ไม่ได้เล่นพนันเพื่อเงินด้วย และคนส่วนใหญ่ที่มาเล่นพนันที่นี่ก็เป็นชาวนา เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวจึงได้พากันมาเล่นพนันที่นี่ แล้วอีกอย่างพอถึงช่วงปีใหม่พวกเขาก็ต้องใช้จ่าย และพอเข้าฤดูกาลเก็บเกี่ยวพวกเขาก็ไม่มีทางมาเล่นพนันแบบนี้แน่นอน
และถ้าจะบอกว่าเป็นชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ มันก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน ชาวบ้านที่นี่ต่างก็ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ข้าง ๆ กันนั้นยังเป็นบ้านของเจ้าของบ้านที่พวกเขาเช่าอีกต่างหาก ชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ ที่ไม่ได้มาเล่นต่างก็มายืนดูคนเล่นไฟ่นกกระจอกกันอย่างสนุกสนานด้วยเหมือนกัน
ผู้ต้องสงสัยที่เหลือในตอนนี้ ก็มีแค่คู่แข่งทางธุรกิจของโรงงานเหมืองทรายเพียงเท่านั้น จางฉุ้ยเหลียนคิดแล้วคิดอีกแต่เธอก็คิดไม่ออกสักทีว่าใครเป็นคนทำ
“เหล่าหวัง ? ” จู่ ๆ ฟู่ซินก็พูดชื่อของคน ๆ หนึ่งขึ้นมา จางฉุ้ยเหลียนนิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “นายจะบอกว่า คนที่เป็นคนไปแจ้งความกับตำรวจคือ เหล่าหวังเจ้าของโรงงานอิฐคนนั้นหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดสักพักใหญ่ ๆ แต่สุดท้ายเธอก็ยังคงไม่เข้าใจ เธอจึงถามออกไปว่า “ไม่สิ โรงงานอิฐบล็อกของเขาก็รับทรายจากโรงงานของเราไม่ใช่หรือ ? ถ้าเป็นแบบนั้น โรงงานปูนก็น่าสงสัยด้วยสิ ? ”
ฟู่ซินส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ “ก่อนที่ฉันจะออกเดินทางลงใต้ ฉันกลัวว่าเสี่ยวจวินจะโกงเงินโรงงานของเรา ฉันเลยไปบอกคู่ค้าเอาไว้ว่า รอให้ฉันกลับมาก่อนแล้วพวกเขาค่อยจ่ายเงินก็ได้ ช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ฉันก็ไปตามเก็บเงินคู่ค้าของเรามาหมดแล้ว ตอนนี้จะเหลือก็แค่เหล่าหวังคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ยอมจ่ายเงิน”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้ว “นายหมายความว่า ถ้าเสี่ยวจวินโดนจับที่โรงงานเหมืองทราย ตำรวจก็อาจจะคิดว่าโรงงานเหมืองทรายของเราเปิดบ่อนการพนัน พอโรงงานเหมืองทรายของเราถูกสั่งปิด เขาก็จะได้ไม่ต้องจ่ายเงินค่าของให้เราใช่ไหม ? ”
แต่การที่จะตั้งข้อสงสัยใครคนหนึ่งโดยที่ไม่มีหลักฐาน มันจะเป็นการหมิ่นประมาทเขารึเปล่า ?
ฟู่ซินพูดออกมาด้วยความมั่นใจว่า “ต้องเป็นเหล่าหวังไม่ผิดแน่ ตอนที่ฉันกลับมา ฉันก็โทรไปหาคู่ค้าของเราทุกคน และได้นัดแนะเวลากันเรียบร้อยแล้ว เพราะฉันกลัวว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเสี่ยวจวิน เราก็อาจจะต้องใช้เงิน เพราะอย่างนั้นการที่เราไปเรียกเก็บเงินค่าของ เราก็จะได้มีเงินสดสำรองเอาไว้เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เธอลองคิดดูสิว่า ฉันได้โทรไปนัดแนะเวลาเอาไว้แล้ว แต่พอฉันไปถึงที่บ้านของเหล่าหวัง คนที่บ้านของเขาก็ออกมาบอกว่าเขาติดธุระออกมาไม่ได้ ฉันเลยไปเดินดูรอบ ๆ โรงงานของเขา และฉันก็เห็นว่าอิฐบล็อกของเขาขายไม่ออกเลย อีกทั้งคนงานก็ไม่ได้รับเงินเดือน ตอนนี้กิจการของเขาก็กำลังซบเซา ! ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ “บ้านในสมัยนี้ต่างก็ใช้อิฐแดงสร้างกันหมด เขาน่าจะขายของไม่ออกจริง ๆ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแล้วมันยังไง ? มันเกี่ยวอะไรกับเสี่ยวจวินล่ะ ? ”
ฟู่ซินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเป็นแบบนั้น เรื่องของเสี่ยวจวินก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ เพียงแค่เราต้องหาหลักฐานที่ว่าคนที่ไปแจ้งความเรื่องนี้มีเจตนาไม่ดีก็เท่านั้น”
ความจริงแล้วจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้อยากจะช่วยน้องชายของตัวเองเลยสักนิด เธออยากจะให้เขาลำบากอยู่ในนั้นสักหน่อย จะได้จำไปยาว ๆ แต่ถ้าเธอจะไม่ช่วยเขาเลย มันก็เป็นไปไม่ได้
“เห้อ ! ฉุ้ยเหลียน เธอว่าคนรักของเธอจะมีวิธีดี ๆ อะไรไหม ? ” จู่ ๆ ฟู่ซินก็คิดถึงกู้จื้อเฉิงขึ้นมา เขาอยากรู้เลยถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปทันที
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าเซี่ยจวินหน้าหนาไปหาเพื่อนร่วมรบเก่าของเขาหน่อยก็อาจจะมีทางอยู่บ้าง แต่เซี่ยจวินไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสกปรกแบบนี้ เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอายเป็นอย่างมาก จางฉุ้ยเหลียนเองก็ไม่อยากให้เซี่ยจวินไปขอร้องคนอื่นเพราะเรื่องนี้ ดังนั้นเธอเลยเงียบมาตลอด ปิดปากแน่นบอกว่าเซี่ยจวินช่วยอะไรไม่ได้
ตอนนี้จู่ ๆ ฟู่ซินก็พูดถึงกู้จื้อเฉิงขึ้นมา จางฉุ้ยเหลียนเลยเริ่มอารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิม เธอจะกล้าไปขอให้กู้จื้อเฉิงมาช่วยเรื่องนี้ได้ยังไงล่ะ ? แล้วอีกอย่าง แค่เพราะเรื่องที่ไปเมืองหลวงคราวก่อน มันก็ทำให้อันหลงเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกับเธอและชักสีหน้าใส่เธอแทบจะทุกวินาทีแล้ว
“เขาคงไม่รู้จักใครหรอก” พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนทำหน้าต่อต้าน ฟู่ซินก็เข้าใจทันทีว่ายัยเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
‘ปัญญาพอมี แต่ก็ไม่ได้เก่งเรื่องทางโลก เรื่องใหญ่ต้องค่อยเป็นค่อยไป เรื่องคำนวณนิสัยคน ไม่มีความสามารถอยู่เลยสักนิด ! ’ ฟู่ซินลากลูกศรไปหาจางฉุ้ยเหลียนเงียบ ๆ ก่อนที่เขาจะไปเซินเจิ้น เขาคิดว่าตัวเองต้องแต่งงานกับดาวนำโชคอย่างจางฉุ้ยเหลียนเข้าบ้านให้ได้
แต่ตอนนี้เขากลับคิดว่า เอาผู้หญิงอย่างจางฉุ้ยเหลียนมาเป็นพันธมิตรดีกว่า ภรรยาก็คือคนซักผ้า ทำอาหาร เลี้ยงลูก หน้าตาดีหน่อยก็พอแล้ว หาคนฉลาดมาเป็นภรรยา วัน ๆ ก็เอาแต่บอกให้เขาไปทำโน่นทำนี่ แบบนั้นมันน่าเบื่อจะตายไป จะมีผู้ชายสักกี่คนที่เป็นเหมือนกับหลี่จื่อ ที่ยอมแต่งงานกับบูเช็คเทียน
พอคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็มองไปทางจางฉุ้ยเหลียนที่อยู่ในชุดทันสมัยและประณีต และเขาก็ตัดสินใจได้แล้วว่า เขาจะช่วย ‘เทพเจ้าเงินตรา’ ของเขา ตราบใดที่ ‘เทพเจ้าเงินตรา’ ของเขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็จะสามารถทำเงินได้อย่างมากมายมหาศาลมากขึ้นกว่าเดิม
“ถ้าคนรักของเธอช่วยจัดการกับปัญหานี้ได้ เรื่องของพวกเธอสองคนก็จะเป็นเหมือนกับเรือที่ไหลไปตามน้ำอย่างง่ายดายแล้วไม่ใช่หรือ ! แบบนั้นเธอจะต้องกังวลเรื่องทะเบียนบ้านอะไรอีกล่ะ !……” ฟู่ซินพูดปลุกใจจางฉุ้ยเหลียนให้ตื่นจากความฝัน เพราะอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงดีใจขึ้นมาทันที
MANGA DISCUSSION