หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 240 คำนับ
บทที่ 240
คำนับ
แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้คนต่างก็จะคิดว่าหลินหนานเฟิงนั้นเป็นคนไม่มีศีลธรรมและบรรพชนไม่ให้การยอมรับ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้ หลินหนานเฟิงนั้นหมดโอกาสที่จะได้ทำงานในพระราชสำนัก
“ช่างเป็นคนที่ใจร้ายจริงๆ!” หลินซีเหยียนก็ได้เริ่มเดือดขึ้นมา นางนั้นเคยเตือนฮูหยินอวี้ไปแล้วว่าแต่ดูเหมือนจะไม่ส่งผลอะไรกับนางเลย ดังนั้นต่อจากนี้นางจะไม่ใจดีกับนางด้วยแล้ว
หลินซีเหยียนที่คิดเช่นนั้นก็ได้ซุบซิบที่ข้างหูของ เจียงหวายเย่
หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ เจียงหวายเย่ก็ได้มีแววตาเป็นประกายขึ้นมา และที่มุมปากของเขาก็ได้ยิ้มขึ้นมา “แผนการของเสี่ยวเหยียนเอ๋อไม่เลวเลยจริงๆ เราจะส่งคนไปจัดการเดี๋ยวนี้”
แล้วขั้นตอนต่อไปก็คือนอนรอให้วันพรุ่งนี้มาถึง
เพราะหลินหนานเฟิงนั้นจะต้องเข้าพิธียอมรับโดยบรรพชนแล้วกลับคืนเข้าสู่ตระกูล เขาจึงถูกปลุกโดยป้าเฉินแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมตัว ขั้นแรกเขาจะต้องสวมชุดจีนที่เตรียมเอาไว้แต่เช้า แล้วก็จัดการรวบผมแล้วติดกวานหยกไว้ที่หัว ซึ่งตรงส่วนนี้ควรที่จะทำโดยแม่ของหลินหนานเฟิง
แต่น่าเสียดายที่นางนั้นอยู่ไม่ถึงวันนี้
“คุณชายเจ้าคะ กวานหยกอันนี้…..” ป้าเฉินนั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี อย่างน้อยๆก็ควรจะเป็นคนสายเลือดเดียวกันที่จะต้องเป็นคนมาติดให้ถึงจะเป็นสิริมงคล
แต่คุณหนูสามนั้นไม่ได้กลับมาเลยตั้งแต่เมื่อคืน และไม่รู้ด้วยว่าวันนี้นางจะกลับมาเมื่อไร
หลินหนานเฟิงจึงได้หยิบกวานหยกขึ้นมาแล้วคิดที่จะสวมด้วยตัวเอง แต่แล้วก็ได้มีมือเย็นๆโผล่ออกมาคว้าเอากวานหยกไปจากเขา
จากนั้นหูของเขาก็ได้จำเสียงโมโหของน้องสาวเขาได้ “พี่ใหญ่คิดจะรอน้องสักเดี๋ยวก็ไม่ได้เลยเหรอ?”
หลินหนานเฟิงนั้นก็รู้ดีว่าหลินซีเหยียนนั้นไม่ได้โกรธเขาจริงๆ แต่ป้าเฉินนั้นไม่ทราบจึงได้รีบอธิบาย “ข้าเป็นคนเร่งคุณชายเองเจ้าค่ะ อย่าได้โกรธคุณชายเลยนะเจ้าคะ คุณหนูสาม”
“ป้าเฉิน ท่านก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของข้ากับพี่ใหญ่ดี ข้าไม่ได้โกรธเขาจริงๆหรอก” หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มแล้วเอากวานหยกสวมหัวของหลินหนานเฟิง จากนั้นนางก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งจริงๆ วันนี้พี่ใหญ่ช่างสง่างามจริงๆ!”
เมื่อหลินซีเหยียนเดินตามหลินหนานเฟิงไปจนถึงหอบรรพชนแล้ว ทุกคนในตระกูลหลินต่างก็มารอกันอยู่แล้ว ไม่เพียงแค่นั้นแต่ยังมีเหล่าคุณชายและคุณหนูจากตระกูลอื่นๆต่างก็พากันมาดูพิธีการนี้ด้วย
“หนานเฟิงมานี่มา” มหาเสนาบดีหลินก็ได้กวักมือเรียกหลินหนานเฟิงด้วยสีหน้าจริงจัง
หลินหนานเฟิงก็ได้เดินไปหาแล้วยืนอยู่ด้านหลังของมหาเสนาบดีหลินกับหลินเฉิงอวี้ แล้วจากนั้นก็รอรับเทียนที่ส่งมาโดยเด็กรับใช้
มหาเสนาบดีหลินก็ได้มองไปที่แผ่นป้ายวิญญาณที่อยู่ในห้องนั้น แล้วความเหี่ยวย่นบนใบหน้าก็ได้เผยให้เห็นถึงความละอายใจบนใบหน้าของเขา “เป็นเพราะความเลินเล่อของข้าเองที่ปล่อยให้เชื้อสายของตระกูลหลินต้องร่อนเร่อยู่ข้างนอกเป็นเวลาหลายปี ในเวลานี้เขาได้กลับมาแล้ว ข้าจึงได้นำเขามาพบกับพวกท่าน”
หลินหนานเฟิงยังคงมีสีหน้าเช่นเคย ไม่ปรากฏซึ่งความตื่นเต้นหรือดีใจบนใบหน้าของเขา
ฮูหยินอวี้ที่อยู่ในชุดที่สวยงามก็ได้ดูเด่นสะดุดตาอยู่ในหมู่ลูกๆของนางเอง แต่ในเวลานี้สายตาของนางได้จับจ้องมาไปที่หลินหนานเฟิง
“ฮูหยินอวี้คิดว่าพี่ใหญ่นั้นดูดีมากหรืออย่างไรถึงได้เอาแต่จ้องไปที่เขาแบบนั้น?” หลินซีเหยียนก็ได้เปิดปากออกมาโดยพูดด้วยเสียงเบาๆที่เพียงพอจะได้ยินกันแค่สองคน “ข้าไม่นึกเลยว่าฮูหยินอวี้นั้นจะเป็นห่วงพี่หลินหนานเฟิงขนาดนั้น
ฮูหยินอวี้ก็ได้ยิ้มอย่างเก้ๆกังๆ แล้วจากนั้นก็ได้หันหน้าไป “เชิญคุณหนูสามพูดและหัวเราะไปเถอะ”
หลังจากที่มหาเสนาบดีหลินกล่าวเสร็จ ทั้งสามคนก็ได้คำนับพร้อมกันสามหน แล้วจากนั้นธูปก็จะถูกส่งมอบโดยเด็กรับใช้แล้วนำไปปักในกระถางธูป
ซึ่งพิธีดำเนินไปโดยไม่มีอะไรผิดปกติ ฮูหยินอวี้ก็ได้คิ้วขมวดอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางลงมือทำด้วยตัวเองเมื่อคืนแท้ๆ มันไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดสิ
ต่อมา เหล่าคุณหนูบ้านมหาเสนาบดีก็ได้ทำการจุดธูป แล้วปิดท้ายด้วยฮูหยินอวี้พาเหล่าฮูหยินมาจุดธูป
ซึ่งผลคือสถานการณ์ที่ควรจะเกิดขึ้นกับธูปของคุณชายใหญ่กลับเกิดขึ้นกับฮูหยินอวี้แทน ธูปของฮูหยินอวี้นั้นดับสนิท แล้วผู้คนที่มาดูพิธีนี้ต่างก็ประหลาดใจ ดูเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นกับบ้านมหาเสนาบดีช่วงนี้เสียแล้ว
มหาเสนาบดีหลินก็ได้มองไปที่ฮูหยินอวี้ด้วยสีหน้าที่มืดครึ้มราวกับจะเกิดพายุขึ้นในไม่ช้า
หลังจากนั้นก็ได้พากันก้มคำนับสามหนเสร็จ ก็เป็นอันเสร็จพิธีการ แต่ทว่าเรื่องสูญเสียศีลธรรมของฮูหยินอวี้นั้นก็ได้ถูกแพร่กระจายออกไปแล้ว
ในห้องทำงาน ฮูหยินอวี้ก็ได้อธิบายเรื่องนี้ให้มหาเสนาบดีหลินฟังอย่างตื่นตระหนก “ท่านพี่ มันจะต้องมีปัญหาอะไรกับธูปแน่ๆเลยเจ้าค่ะ ไม่ใช่เพราะข้าจะนำหายนะมาสู่จวนมหาเสนาบดีแน่ๆเจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าปัญหามันอยู่ที่ธูปนั่น?” มหาเสนาบดีหลินก็ได้ยิ้มอย่างเหี้ยมโหด แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวอย่างไม่พอใจ “ฮูหยินอวี้ ข้าเตือนเจ้าแล้วว่าอย่าลงมือทำอะไรกับพิธีการนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่ฟังข้าบ้าง? นี่เจ้ายังเห็นข้าอยู่ในสายตาอยู่ไหม?”
“ท่านพี่ ข้ารู้ตัวว่าข้าทำผิดไปแล้ว ข้าทำลงไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบจริงๆเจ้าค่ะ” เครื่องสำอางที่อยู่บนหน้าของ ฮูหยินอวี้นั้นถูกน้ำตาทำให้เสียไปหมด “ได้โปรดให้อภัยข้าด้วยนะเจ้าคะ!”
“เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว จะให้ข้าอภัยให้เจ้าได้อย่างไร”
พิธีการนี้เป็นพิธีใหญ่ การที่ธูปดับกลางคันนั้นหมายถึงเป็นคำเตือน ซึ่งไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่มีหนทางใดที่จะระงับเรื่องนี้ออกไปได้เลย “ดูเหมือนว่าข้าคงจะต้องลงโทษเจ้า เพื่อไม่ให้เจ้าทำให้ตระกูลหลินตกต่ำไปมากกว่านี้”
“ไม่นะท่านพี่!” ฮูหยินอวี้ก็ได้ตื่นตระหนกขึ้นมาจริงๆ และนางก็ได้เกลียดชังหลินซีเหยียนอย่างสุดขั้วหัวใจของนาง “ท่านพี่ มันจะต้องเป็นฝีมือของหลินซีเหยียนที่ทำอะไรเช่นนี้แน่ๆเลยเจ้าคะ ถ้าท่านพี่จะลงโทษข้า ก็ต้องลงโทษนางด้วย”
ทันทีที่นางพูดจบ มหาเสนาบดีหลินก็ได้ตบนางอย่างรุนแรง “นังผู้หญิงชั่วช้านี่ เมื่อกี้เจ้าก็โทษหนานเฟิง คราวนี้เจ้ายังจะโทษซีเหยียนอีกเหรอ?”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาก็คงลงโทษหลินซีเหยียนด้วย แต่ในเวลานี้หลินหนานเฟิงที่ปกป้องนางอย่างมากนั้นได้โผล่มา แน่นอนว่าเขาทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว ดังนั้นไม่ว่าหลินซีเหยียนจะลงมือจริงๆหรือไม่นั้น ความรับผิดชอบทั้งหมดก็ตกไปอยู่ที่ฮูหยินอวี้
เมื่อคิดเช่นนี้แล้วมหาเสนาบดีหลินก็ได้มองไปที่ดวงตาของฮูหยินอวี้ แล้วดวงตาของเขาก็ได้เย็นยะเยือกมากขึ้นเรื่อยๆ “ข้าจะไม่ไล่เจ้าออกไป แต่ต่อจากนี้เจ้าจะต้องทานข้าวให้ไวแล้วมาสวดมนต์แทนที่จะออกไปนอกเรือนนี้”
“ท่านพี่…ท่านคิดจะกักบริเวณข้าอย่างนั้นเหรอเจ้าคะ?” ฮูหยินอวี้ก็ได้มองไปที่มหาเสนาบดีหลินอย่างไม่เชื่อสายตา และรู้สึกปวดใจขึ้นมา “ท่านพี่จะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านลืมสิ่งที่ข้าเคยทำเพื่อท่านไปแล้วเหรอเจ้าคะ?”
แล้วแววตาที่กระวนกระวายก็ได้ปรากฏในดวงตาของมหาเสนาบดีหลิน เขามองไปรอบๆแล้วดูหน้าต่างที่เปิดกว้างอยู่ เขาจึงได้รีบปิดแล้วจากนั้นก็หายใจอย่างโล่งอก แล้วเขาก็ได้กระซิบกระซาบกับฮูหยินอวี้อย่างดุดัน “เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ฮูหยินอวี้”
ฮูหยินอวี้ก็ได้ยิ้มขึ้นมาเมื่อเห็นเขามีอาการกลัวเช่นนี้ “ก็ถ้าท่านกักบริเวณข้า ข้าก็จะบอกคุณหนูสามถึงความจริงทั้งหมดแล้วข้าจะคอยดูว่านางจะปล่อยท่านเอาไว้หรือไม่?”
“ก็ได้ ข้าจะไม่กักบริเวณหรือลงโทษเจ้าก็ได้ เจ้าไปได้แล้ว”
มหาเสนาบดีหลินก็ได้มีท่าทีดุดันขึ้นมาเมื่อถูกขู่โดย ฮูหยินอวี้ ฮูหยินอวี้นั้นเคยเป็นเหมือนกระต่ายน่ารักที่ดึงดูดความรักจากผู้คนแท้ๆ ตอนนี้นางกลับบ้าคลั่งกัดคนไม่เลือกหน้าเสียแล้ว
ฮูหยินอวี้ที่เดินออกมาจากห้องทำงานก็ได้ทำเสียงในลำคอและพูดสาบานในใจของนาง “หลินซีเหยียน ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่”
ในเงาของต้นไม้ที่ไม่มีใครสังเกตต้นหนึ่ง หลินซีเหยียนนั้นอยู่ในอ้อมแขนของเจียงหวายเย่ที่กำลังเอนตัวอยู่บนกิ่งต้นไม้ต้นนั้น พวกเขาได้ฟังทุกคำพูดในห้องทำงานนั้นอย่างชัดเจน
ช่างเป็นเรื่องที่เศร้าจริงๆที่มีพ่อเช่นนี้ เจียงหวานเย่ก็ได้จับมือของหลินซีเหยียนแน่นและพูดปลอบนาง “เจ้ายังมีข้ากับเทียนเอ๋ออยู่นะ”