ตอนที่ 273 นี่จะไม่สร้างปัญหาเอาเหรอ
แม่สวี่ทราบในทันทีว่าสวี่ม่ายซุ่ยกำลังคิดอะไรอยู่ หล่อนจึงกลอกตาใส่ “ทำไม ถ้าพวกนั้นไม่อยู่บ้าน ฉันก็ทำเกี๊ยวให้หลานชายของฉันไม่ได้เหรอ”
เมื่อได้ยินคำพูดดื้อรั้นเหล่านี้แล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็ยกมือตบหน้าผากแล้วพูดด้วยความเสียใจ “แม่ สิ่งที่แม่ทำจะไม่สร้างปัญหาเอาเหรอ”
“ถ้าพี่สะใภ้ใหญ่ของฉันรู้ หล่อนจะต้องมีปัญหากับแม่อีกแน่ๆ”
แม่สวี่ตอบด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ “ทำได้แค่โวยวายนั่นแหละ”
“พวกหลานชายของฉันอยู่ที่นี่ได้หลายวันแล้ว ฉันจะทำเกี๊ยวให้กินไม่ได้เหรอ ฉันพูดมีเหตุผลไหมล่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “แม่พูดถูก แต่ได้โปรดอย่าขโมยเงินมาทำเลยค่ะ”
แม่สวี่พูดว่า “ใครแอบขโมยเงินมิทราบ ฉันทำทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจและยึดมั่นในคุณธรรมเสมอแหละ แกพอได้แล้ว อย่ามัวแต่วุ่นวาย”
พูดจบแล้วหล่อนก็เปลี่ยนสีหน้าและเริ่มคีบเกี๊ยวให้ทุกคนด้วยรอยยิ้ม
“เจี้ยนเยี่ย อย่ามัวแต่มองเลย รีบกินเร็ว”
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินแล้วก็มองสวี่ม่ายซุ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่สวี่ม่ายซุ่ยกลอกตาใส่แบบหมดคำจะพูด “กินสิ กินเลย พวกเราไม่ได้โดนด่าซะหน่อย”
แม่สวี่พูดว่า “อย่าไปฟังหล่อนพูดเหลวไหล พี่สะใภ้ของนายรู้เรื่องเกี๊ยวพวกนี้แล้ว หล่อนเป็นคนทำเองด้วย”
สวี่ม่ายซุ่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย แล้วหันไปถามหลินเซียวว่า “คุณยายพูดจริงเหรอ?”
หลินเซียวพยักหน้าพลางเอ่ย “จริงครับ”
ทุกคนได้ยินดังนั้น ก็เริ่มกินเกี๊ยวด้วยความสบายใจ
แต่สิ่งที่สวี่ม่ายซุ่ยไม่คาดคิดก็คือ พี่สะใภ้ใหญ่สวี่ยุ่งอยู่กับการทำเกี๊ยวให้ทั้งครอบครัวได้กินกันเอง แต่ไม่คิดว่าแม่สวี่จะทำเช่นนี้
หลังมื้ออาหาร สวี่ม่ายซุ่ยจะพาเด็กๆ กลับไป แม่สวี่จึงใช้โอกาสที่สวี่ม่ายซุ่ยเข้าไปเก็บเสื้อผ้าลูกๆ ในห้องและถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาทั้งสามคนเหรอ?”
“พวกแกไม่อยากพากลับไปเลี้ยงจริงๆ ใช่ไหม จะมีอาหารพอเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ถ้าพากลับไปด้วย เจี้ยนเยี่ยจะแก้ปัญหาเรื่องอาหารเองค่ะ”
แม่สวี่พูดว่า “แก้ไขได้ก็ดี เพียงแต่ลูกสองคนของแกอาจจะรู้สึกโดนแย่งความรักไปบ้าง”
“บอกฉันมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสามคน แกออกเดินทางแล้วกลับมาพร้อมเด็กอีกสามคนได้ไง”
สวี่ม่ายซุ่ยแอบชะเง้อมองออกไปข้างนอก และเล่าภูมิหลังชีวิตของเด็กทั้งสามคน พอแม่สวี่ได้รับฟังแล้ว หล่อนก็รู้สึกเจ็บปวดมากจนต้องปาดน้ำตา “น่าสงสารเหลือเกิน”
“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเดรัจฉานแบบนี้อยู่ ถ้าพาเด็กทั้งสามคนนี้กลับไปแล้ว แกต้องปฏิบัติต่อพวกเขาให้ดีเลยนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ค่ะ แต่ฉันคิดว่าเด็กสามคนนี้ค่อนข้างอ่อนไหวง่าย ถ้าพวกแม่รู้เรื่องของพวกเขาแล้วก็อย่าเอาไปพูดข้างนอกนะคะ”
แม่สวี่พูดว่า “แกไม่ต้องห่วงฉันหรอก”
“เจ้าคนเล็กอายุแค่สองขวบ แต่ไม่คิดว่าจะเดินได้เรียบร้อยขนาดนั้น ถ้าหลังเทศกาลแล้วงานยุ่งก็ส่งมาให้ฉันได้ ฉันจะช่วยดูแลให้”
สวี่ม่ายซุ่ย “ได้ค่ะ ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะคะ”
“ฉันจะไม่คุยกับแม่ละ เพราะได้เวลากลับแล้ว ยังไงนี่ก็เข้าวันที่สองของเทศกาลแล้วด้วย”
แม่สวี่จึงไม่รั้งไว้อีก “อืม เดินทางระวังด้วยล่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยยังคงขับรถกลับ โดยที่สวี่ม่ายซุ่ยนั่งเบาะผู้โดยสารและอุ้มสวี่อวิ้นเฮ่าไว้บนตัก ส่วนเด็กๆ ทั้งสี่คนที่เหลือนั่งเบียดกันที่เบาะหลัง
หลินเซียวกับหลินฟานนั่งข้างกัน ส่วนสวี่ซินเยว่กับสวี่อวิ้นจื้อกลัวที่จะเบียดพวกเขา ทั้งสองจึงพยายามนั่งเบียดกันเองให้มากที่สุด
หลินเซียวเห็นแบบนั้นแล้วก็ลังเลอยู่นาน สุดท้ายเขาจึงย้ายไปนั่งอีกด้านของหลินฟานแล้วพูดว่า “มีที่ว่างอีกมาก ไม่ต้องนั่งเบียดกันขนาดนั้นหรอก”
จากนั้นสวี่ม่ายซุ่ยกับหลินเจี้ยนเยี่ยจึงรับรู้ปัญหาด้วย แต่เมื่อหันกลับไป ก็เห็นว่าหลินเซียวหาทางแก้ปัญหาแทนแล้ว
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “อวิ้นจื้อ ขยับไปนั่งใกล้หลินเซียวหน่อย ดูสิว่าพี่สาวของเธอโดนเบียดขนาดไหน”
สวี่ซินเยว่ได้ยินแล้วก็ตอบกลับทันที “ไม่เป็นไรครับอาสะใภ้ ผมไม่ได้เบียดเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยยังพูดว่า “แต่ตรงนั้นยังมีที่ว่าง เพียงแค่รอให้อวิ้นจื้อไปนั่งเท่านั้น”
เมื่อสวี่อวิ้นจื้อกำลังจะปฏิเสธอีกครั้ง หลินเซียวก็หมดความอดทนและดึงเขามาเอง จากนั้นพูดว่า “นายไม่รู้เหรอว่าผู้ชายและผู้หญิงห้ามใกล้ชิดกัน ทำไมนายยังไปนั่งเบียดกันแบบนั้นล่ะ?”
สวี่อวิ้นจื้อได้แต่สับสน “…”
และในที่สุดเขาก็แก้ตัวด้วยเสียงแผ่ว “แต่นั่นคือพี่สาวของผม”
หลินเซียวพูดด้วยความไม่ใส่ใจ “เป็นพี่สาวก็ห้ามใกล้ชิด”
หลังจากขับรถขึ้นเรือโดยสารแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็บอกให้หลินเจี้ยนเยี่ยรออยู่ในรถคนเดียว ส่วนเธอก็ตั้งใจพาพวกเด็กๆ ลงจากรถเพื่อดูทะเล
สวี่อวิ้นจื้อซึ่งเงียบมาตลอดทางจึงถามด้วยความสงสัยว่า “ขับรถขึ้นเรือได้ด้วยเหรอครับ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ได้สิ พวกเราที่นี่ก็ทำกันบ่อยๆ”
“พวกเธอเคยเห็นทะเลมาก่อนไหม?”
สวี่ซินเยว่ส่ายหัวพลางเอ่ย “ไม่เคยค่ะ พวกเราเกิดและโตที่ตงเป่ย ไม่เคยออกมาข้างนอกเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ไม่เป็นไร จากนี้ไปเราจะได้เห็นทะเลทุกครั้งที่ออกมาข้างนอก”
“รอให้อากาศอุ่นขึ้น ก็ให้หลินเซียวพาพวกเธอมาเล่นน้ำทะเลได้”
สวี่ซินเยว่ก็พยักหน้าและถามต่อทันทีว่า “อาสะใภ้ การพาพวกเรามาที่นี่จะสร้างปัญหาให้คุณไหมคะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลและอย่าคิดมาก เดิมทีฉันแค่ไม่ชอบมีลูกมากเกินไปเท่านั้นแหละ”
สวี่ซินเยว่ได้ยินแล้วก็ทำแค่พยักหน้าเงียบๆ
สวี่ม่ายซุ่ยพูดต่อ “ถ้างั้นพวกเธอก็เล่นกันข้างนอกนะ ฉันจะไปนั่งข้างใน แล้วถ้าอยากได้อะไรก็เรียกฉันได้”
สวี่ซินเยว่ตอบรับอย่างเชื่อฟัง “ได้ค่ะ”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยผละออกไปแล้ว สวี่อวิ้นจื้อก็พูดกับสวี่ซินเยว่ว่า “พี่อย่าคิดมากเลยนะครับ อาสะใภ้กับคุณอาเป็นคนดีมากๆ และไม่รังแกพวกเราแน่นอน”
สวี่ซินเยว่ยิ้มด้วยความเศร้าหมอง “ฉันรู้ แต่ฉันแค่คิดว่าเราจะสร้างปัญหาให้พวกเขาเกินไปไหม”
สวี่อวิ้นจื้อพูดว่า “ถ้างั้นพวกเราก็ช่วยทำงานให้มากๆ ผมลงนาได้นะ”
สวี่ซินเยว่ก็เห็นด้วย “งั้นฉันจะช่วยทำอาหารและทำความสะอาดบ้านแล้วกัน”
สวี่อวิ้นจื้อพูดว่า “ดีเลย”
ทางด้านสวี่ม่ายซุ่ยยังไม่รู้ความคิดของพวกเด็กๆ ในเวลานี้เธอแค่อยากนอน เพราะบนรถไฟไม่มีที่ให้นอนสบายๆ สวี่ม่ายซุ่ยจึงไม่ได้งีบหลับดีๆ เลย
เมื่อกลับถึงเกาะในที่สุด สวี่ม่ายซุ่ยก็ถูกหลินเซียวปลุก “แม่ครับ ตื่นได้แล้ว ได้เวลากลับไปหาพ่อที่รถแล้วครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “อืม ไปกันเถอะ”
เมื่อเธอยืนขึ้น ก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าสวี่ซินเยว่กำลังอุ้มสวี่อวิ้นเฮ่าอยู่
เมื่อมองรูปร่างผอมบางของเด็กหญิงที่ยังคงอุ้มเฮ่าเฮ่าด้วยความชำนาญ สวี่ม่ายซุ่ยจึงฉายแววเป็นทุกข์ออกมา
เธอจึงก้าวไปข้างหน้าและกางแขนจะอุ้มเขาไว้เอง แต่สวี่ซินเยว่รีบปฏิเสธ “อาสะใภ้ ตอนนี้ฉันอุ้มไหวแล้วค่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยไม่เห็นด้วย “ไม่เป็นไร ฉันจะอุ้มเขาเอง”
เมื่อจัดการเสร็จแล้ว พวกเธอก็เดินกลับไปหาหลินเจี้ยนเยี่ยและนั่งรถกลับบ้าน เนื่องจากการนั่งรถช่วยประหยัดเวลาในการพูดคุยระหว่างทางและยังหลีกเลี่ยงการถูกสอบถามได้มากด้วย
กระนั้นเมื่อลงจากรถก็ยังได้เจอคนอื่น เมื่อหลี่ต้านีเห็นบรรดาไชเท้าน้อยเดินลงจากรถทีละคน หล่อนก็ถามด้วยความตื่นตกใจ “เธอหายไปทำอะไรมาเนี่ย ทำไมมีเด็กเยอะแยะขนาดนี้ล่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบสั้นๆ “ก็ไปรับมาเองแหละ”
“เร็วเข้า รีบเรียกคุณป้าสิ”
เด็กทั้งหลายก็รีบเรียกด้วยความเชื่อฟัง “คุณป้า”
หลี่ต้านีพยักหน้ารับ ส่วนสวี่ม่ายซุ่ยมองพวกเด็กๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ”
“หลินเซียว ลูกพาอวิ้นจื้อไปนอนที่ห้องของอาเล็กนะ”
หลินเซียวพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากที่พวกเขาเดินไปแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยจึงได้มีเวลาคุยกับหลี่ต้านี “แล้วพี่มาอยู่นี่ได้ไง?”
หลี่ต้านีพูดว่า “ก็เพราะเธอไม่อยู่บ้านไง ฉันกังวลก็เลยแวะมาดูน่ะสิ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ขอบคุณมากนะ ฉันโชคดีจริงๆ ที่มีพี่อยู่”
หลี่ต้านีพูดว่า “เกรงใจอะไรกันล่ะ” จากนั้นหล่อนก็มองไปที่ประตูถัดไปแล้วกระซิบว่า “ในช่วงไม่กี่วันที่เธอหายไปน่ะ จางซุ่ยฮวามาด้อมๆ มองๆ บ้านพวกเธอบ่อยๆ น่ะสิ”
“เดี๋ยวถ้าเธอเข้าบ้านแล้วก็ตรวจดูข้าวของว่ามีอะไรหายไปบ้างด้วยนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “ได้ค่ะ”
หลี่ต้านีมองรอยคล้ำใต้ตาของสวี่ม่ายซุ่ย ก่อนพูดด้วยความกังวล “เธอดูเหนื่อยมากนะ งั้นก็รีบกลับไปนอนพักเถอะ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ให้หลินเซียวไปบอกฉันแล้วกัน เอาล่ะ ฉันกลับก่อนนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยยืนอยู่ที่เดิมพลางมองตามเงาร่างของหลี่ต้านีที่เดินจากไป รู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายแบบสุดซึ้ง
เนื่องจากได้นอนบนเรือสักพักหนึ่ง ตอนนี้สวี่ม่ายซุ่ยจึงสดใสขึ้นมาก หลังจากวางข้าวของในมือเสร็จแล้ว เธอก็เริ่มไปทำความสะอาดห้องให้สวี่ซินเยว่
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เด็กๆ สามคนนี้ได้รับการสั่งสอนมาดีทีเดียว หมดห่วงเรื่องการเลี้ยงดูไปได้อย่างหนึ่ง
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION