ตอนที่ 236 ก่อความวุ่นวาย
เฉียนเสี่ยวเหลียนเห็นเหตุการณ์เป็นแบบนี้จึงตอบว่า “สองคนนั้นกำลังแย่งจานอาหารกันอยู่ และเผลอทำหลุดมือน่ะ”
จางซุ่ยฮวาได้ยินแบบนี้ก็เริ่มกังวลขึ้นมา “เธออย่ามาพูดพล่อยๆ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเธอลุกขึ้นก่อนแล้วเริ่มแย่งมันเอง”
เฉียนเสี่ยวเหลียนพูดว่า “เธอพูดให้ดีๆ หน่อยได้ไหม?”
จางซุ่ยฮวายอกย้อน “เธอพูดใส่ร้ายพวกเราก่อน แล้วยังจะให้พวกเราพูดเรื่องดีๆ ใส่เธอเหรอ”
เมื่อเฉียนเสี่ยวเหลียนโดนตอกกลับแบบนี้ หล่อนก็โต้ตอบทันทีเช่นกัน “พวกเธอมันหน้าไม่อาย ใส่ซองแดงสองหยวนแต่ยกโขยงมากินทั้งครอบครัว ทันทีที่อาหารถูกยกขึ้นโต๊ะ คนอื่นยังไม่ทันได้ขยับตะเกียบ พวกเธอทั้งบ้านก็คว้ามันไปกินหมดแล้ว”
“พวกฉันก็ใส่ซองเหมือนกัน แล้วทำไมจะกินไม่ได้”
เมื่อใดก็ตามที่จางซุ่ยฮวากำลังมีโทสะ หล่อนจะกลายเป็นคนไร้สมองทันที และพูดทุกสิ่งด้วยเสียงดังลั่นว่า “อาหารมีไม่พอเอง แล้วจะตำหนิฉันได้ไง ถ้าเธอจะโทษก็โทษครอบครัวเจ้าของงานสิ พวกเธอกินไม่ทันก็เพราะพวกเธอมันไร้ความสามารถเอง ยังจะกล้าพูดโทษคนอื่นได้ไง”
พี่สะใภ้โหวและรองผู้บัญชาการโหวซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ได้ยินแล้วก็มีสีหน้าน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ พี่สะใภ้โหวจ้องเขม็งไปยังคนสองคนที่สร้างปัญหา นึกอยากจะพุ่งเข้าไปข่วนหน้าเสียให้เข็ด แต่ในเวลานี้ทางด้านแม่เฉินกำลังหยิบผักบนหัวและเช็ดคราบอาหารที่เสื้อผ้าของตนอยู่
วันนี้หล่อนเลือกสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินตัวใหม่ แต่มันเปื้อนไปด้วยคราบอาหารสีเหลือง มองแล้วมันช่างน่าเกลียดเหลือเกิน ส่วนผมเผ้าของหล่อนก็เปรอะไปด้วยน้ำจากจานอาหาร
เนื่องจากพี่สะใภ้โหวและรองผู้บัญชาการโหวกำลังยุ่งอยู่กับการไกล่เกลี่ยเหตุวิวาทจึงไม่มีใครสนใจหล่อนเลย สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่ความอับอายของแม่เฉินและลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินเข้ามากระซิบว่า “คุณนายเฉิน คุณไปบ้านฉันเพื่อทำความสะอาดคราบพวกนี้ก่อนดีไหมคะ”
แม่เฉินเหลือบมองคู่สามีภรรยาที่ยังคงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทอยู่ หล่อนหันมาสองสวี่ม่ายซุ่ยแล้วถอนหายใจเบาๆ “ขอบคุณนะ” หล่อนก้มหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วเดินตามสวี่ม่ายซุ่ยออกไป
เมื่อมาถึงบ้านแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็ขอให้แม่เฉินรออยู่ที่ลานบ้านก่อน ส่วนเธอก็ไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบกาน้ำร้อนกับแชมพูออกมาแล้วพูดกับแม่เฉินว่า “คุณนายเฉิน คุณสระผมก่อนดีกว่านะ”
แม่เฉินเห็นผมมันเยิ้มของตนก็รู้สึกไม่ชอบใจอยู่แล้ว หล่อนจึงรีบคว้าโอกาสนี้ไว้โดยไม่ต้องคิด “ขอบคุณนะ คุณเป็นคนมีน้ำใจมากจริงๆ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ด้วยความยินดีค่ะ เดี๋ยวฉันจะเทน้ำร้อนใส่กะละมังให้ แล้วจะหาผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมาให้ด้วย”
พูดจบแล้วเธอก็เดินเข้าบ้าน
แม่เฉินที่ถูกทิ้งไว้ในลานบ้านเพียงลำพังจึงถือโอกาสนี้มองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ เมื่อเห็นว่าบ้านหลังนี้สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ยิ่งนึกชื่นชมสวี่ม่ายซุ่ยมากขึ้น
สวี่ม่ายซุ่ยเดินเข้าไปในห้องแล้วค้นได้เสื้อกันหนาวสะอาดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวจึงหยิบออกมา เมื่อเธอเดินมาที่ลานบ้าน แม่เฉินก็สระผมใกล้เสร็จแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยยืนอยู่ข้างหล่อนสักพักแล้วจึงลดผ้าเช็ดตัวให้หล่อนหยิบหลังจากสระผมเสร็จแล้ว
แม่เฉินหยิบผ้าเช็ดตัวที่สวี่ม่ายซุ่ยยื่นให้และต้องชะงักไปอึดใจหนึ่ง เพราะหล่อนเคยอาศัยอยู่ในชนบทและรู้ว่าผ้าเช็ดตัวในชนบทมีลักษณะแบบใด บ้างก็มีสีเหลืองหม่น มีกลิ่นเหม็นหรือสกปรกมากๆ แต่หล่อนไม่เคยเห็นผ้าเช็ดตัวใช้แล้วที่สะอาดขนาดนี้มาก่อน
เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่ขยับ สวี่ม่ายซุ่ยจึงคิดว่าเป็นเพราะหล่อนไม่อยากใช้ผ้าเช็ดตัวของคนอื่น เธอจึงเริ่มอธิบาย “ผ้าเช็ดตัวผืนนี้เป็นของใหม่ ยังไม่เคยใช้หรอกค่ะ”
แม่เฉินจึงตระหนักได้ว่าหล่อนคิดไปไกลแล้ว รีบหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดผมพลางอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ไม่สำคัญว่าจะใหม่หรือเก่าหรอก ตอนแรกฉันคิดว่าไม่เคยเห็นผ้าใช้แล้วที่สะอาดขนาดนี้มาก่อนน่ะ”
“คุณดูแลลานบ้านเองหมดเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ฉันดูแลแค่บางส่วน สำหรับอีกส่วนก็มีพวกคนในบ้านช่วยดูแล”
แม่เฉินชื่นชม “ทำความสะอาดได้ดีมากเลย”
สวี่ม่ายซุ่ย “มันค่อนข้างดีที่สุดสำหรับพวกเราแล้วล่ะค่ะ” จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่เสื้อผ้าของอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “คุณนายเฉินอยากเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยไหม”
แม่เฉินก้มมองคราบอาหารบนเสื้อผ้าของตนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอรบกวนคุณแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “ด้วยความยินดีค่ะ”
เธอยื่นเสื้อที่อยู่ในมือให้หล่อนพลางเอ่ย “แต่ไม่รู้ว่าชุดนี้จะพอดีกับคุณหรือเปล่า?”
ตอนที่แม่เฉินยังเป็นสาวน้อย หล่อนก็อยู่ในคณะระบำเร่ ทำให้หล่อนดูแลรูปร่างเป็นอย่างดี แม้จะดูอวบไปบ้างเมื่อสวมเสื้อผ้าของสวี่ม่ายซุ่ย “ไม่เลวเลย ต้องขอบใจจริงๆ แล้วเสื้อผ้าพวกนี้ราคาเท่าไหร่ล่ะ? ฉันจะจ่ายคืนให้คุณ”
สวี่ม่ายซุ่ยไม่ปฏิเสธและคิดคำนวณ “หกหยวน”
แม่เฉินรู้สึกแปลกใจที่เห็นว่าเธอพูดจาตรงไปตรงมา จากนั้นจึงหยิบเงินออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ ตอนนี้หล่อนรู้สึกสบายใจขึ้นมากแล้ว เพราะสิ่งที่คนในตำแหน่งของพวกหล่อนกังวลมากที่สุดคือเรื่องของภาพลักษณ์
ตอนนี้สวี่ม่ายซุ่ยเก็บเงินค่าเสื้อจากหล่อน ก็หมายความว่าหล่อนซื้อมันด้วยเงิน หล่อนจึงไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณอีกฝ่าย และไม่กลัวที่จะโดนพูดถึงเรื่องนี้ในอนาคต
หลังจากทำความสะอาดตัวเองเสร็จแล้ว แม่เฉินก็อยากให้สวี่ม่ายซุ่ยพาหล่อนกลับ แต่สวี่ม่ายซุ่ยไม่มีความตั้งใจที่จะกลับไปอีก “คุณนายเฉินพอจะจำทางกลับไปที่งานได้ไหม?”
แม่เฉินตอบว่า “จำได้”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “คุณจำได้ก็ดีแล้ว ฉันกินอิ่มแล้วล่ะค่ะ เลยว่าไม่กลับไปที่นั่นอีก”
แม่เฉินอยู่ในฐานะภรรยาของเสนาธิการเฉินมานานจึงเข้าใจสัจธรรมเหล่านี้ดี เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หล่อนก็รู้ว่าสวี่ม่ายซุ่ยไม่อยากให้ครอบครัวของเหล่าโหวรู้ จึงตอบด้วยรอยยิ้ม “ตกลง งั้นฉันจะไปที่นั่นเองนะ”
“หากครั้งต่อไปได้พบกันอีก เธอเรียกฉันว่าอาสะใภ้ดีกว่านะ ไม่จำเป็นต้องเรียกคุณนายเฉินหรอก เพราะห่างเหินกันเกินไปน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยไม่ปฏิเสธ “ได้ค่ะ”
เมื่อแม่เฉินกลับมาที่บ้านตระกูลโหว ทางรองผู้บัญชาการโหวและพี่สะใภ้โหวกำลังกังวลแทบบ้า เมื่อเห็นว่าหล่อนกลับมา ทั้งสองก็ก้าวมาหาและถามว่า “พี่สะใภ้หายไปไหนมาเหรอ?”
หลังจากเหตุการณ์ทั้งสองนี้ ทำให้แม่เฉินได้เห็นนิสัยใจคอของทั้งสองโดยสมบูรณ์ และตอบด้วยท่าทางใจเย็นว่า “ไปหาที่เปลี่ยนเสื้อผ้ามาน่ะ”
พี่สะใภ้โหวได้ยินเช่นนี้ก็พูดโดยไม่ได้คิดว่า “ถ้าอยากเปลี่ยนก็บอกฉันก่อนสิ พวกเราตามหาคุณจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว”
แม่เฉินแค่ปรายตามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเย็นชา “ฉันผิดเองที่ไม่บอก”
เมื่อเห็นว่าแม่เฉินโกรธ รองผู้บัญชาการโหวจึงดึงพี่สะใภ้โหวออกมาและอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สะใภ้ พอดีว่าหล่อนเวียนหัวจากงานที่ยุ่งวุ่นวายจึงพูดไม่รู้เรื่อง คุณอย่าถือสาหล่อนเลยนะ คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเหรอ? พวกเราก็หาชุดมาให้คุณเปลี่ยนด้วยนะ”
แม่เฉินเหลือบมองรองผู้บัญชาการโหว และตอบด้วยความหยิ่งผยอง “เปลี่ยนเสร็จแล้ว พวกคุณเอาชุดพวกนั้นคืนไปเถอะ แล้วนี่งานเลี้ยงเลิกหรือยัง?”
รองผู้บัญชาการโหวรีบกล่าวว่า “ทุกคนกินเสร็จแล้ว แต่คุณเพิ่งจะกินไปแค่ครึ่งเดียวเอง ผมจึงจัดไว้ให้คุณอีกโต๊ะในบ้าน”
แม่เฉินพูดว่า “ไม่ต้องหรอก ฉันก็อิ่มแล้วเหมือนกัน ในเมื่อตอนนี้กินเสร็จแล้ว พวกเหล่าหลี่อยู่ไหนล่ะ?”
รองผู้บัญชาการโหวตอบว่า “รอคุณอยู่ในบ้านน่ะ”
แม่เฉินพูดว่า “นี่ก็สายแล้ว คุณเรียกรถมารับเรากลับเถอะ ฉันจะกลับพร้อมพวกเหล่าหลี่”
หลังจากนั้นหล่อนก็เดินตรงเข้าไปข้างใน
พี่สะใภ้โหวเห็นรองผู้บัญชาการโหวโค้งคำนับให้หล่อนแล้วก็ทำหน้าบูดบึ้งพลางเอ่ยด้วยความเหยียดหยาม “มีอะไรให้ทำท่าทางอวดดีขนาดนั้น หล่อนมันก็แค่…”
ก่อนที่หล่อนจะพูดจบ รองผู้บัญชาการโหวก็จ้องเขม็ง “ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรก็หุบปากซะ แล้วอาหารของวันนี้กลายเป็นแบบนี้ได้ไง?”
พี่สะใภ้โหวแสร้งทำเป็นใสซื่อ “มีปัญหาตรงไหนเหรอ?”
รองผู้บัญชาการโหวพูดว่า “คุณอย่าเสแสร้ง ทำไมอาหารแต่ละจานมีแค่ครึ่งเดียว เงินที่ผมให้คุณเอาไปไว้ไหนหมด?”
ดวงตาของพี่สะใภ้โหววาวโรจน์ “ใช้หมดแล้ว ใครจะรู้ว่าแขกจะมาเยอะขนาดนี้ล่ะ?”
เมื่อรองผู้บัญชาการโหวเห็นพี่สะใภ้โหวแสดงอาการแบบนี้ เขาก็รู้ว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังทันที เขาเหลือบมองไปที่โต๊ะของบ้านพ่อแม่หล่อน และเห็นน้องชายภรรยาที่ดูคึกคักสดใสเหมือนถูกฉีดเลือดไก่ เขาจึงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณเอาเงินไปให้น้องชายอีกแล้วใช่ไหม?”
พี่สะใภ้โหวเถียงกลับ “ไม่ใช่นะ ฉันจะให้เขาทำไมล่ะ ก็ใช้ไปกับงานนี้หมดแล้วไง”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เจ้าภาพงานเลี้ยงมีหมกเม็ดกันด้วย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมงานมันถึงพังพินาศ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION