บทที่ 177 ส่วนผสมของหม้อไฟที่ดี
เว่ยเฉิงต้องการมอบของขวัญชิ้นใหญ่แก่เหยียนซีด้วยการแนะนำโรงน้ำชาอวี่เซิ่นของนางในราชสำนัก
แต่น่าเสียดายที่เรื่องนี้ถูกระงับเอาไว้ก่อนจะถึงเวลาที่วางแผนไว้ เพราะจู่ ๆ จักรพรรดิก็เกิดประชวร วันหนึ่งระหว่างที่กำลังทรงพระอักษร พระองค์ก็หมดสติไป
แม้ว่าหมอหลวงจะรีบถวายการรักษาอย่างเต็มที่ แต่พระองค์ก็ยังมีพระอาการอ่อนเพลียไม่น้อย และพวกเขาสามารถช่วยให้จักรพรรดิฟื้นคืนสติมาได้เท่านั้น
เว่ยเฉิงได้ปรึกษาหัวหน้ามหาดเล็กเกี่ยวกับอาการประชวรของฝ่าบาท ว่าจนกว่าอาการของพระองค์จะดีขึ้น ฝ่าบาททรงรับสั่งให้เขาช่วยดูแลกรมกลาโหมและกรมคลังไปก่อน ทำให้บรรดาขุนนางพากันคาดเดาอย่างลับ ๆ ว่าหากองค์ชายสามารถดูแลงานที่ได้รับมอบหมายอย่างราบรื่น ต่อไปก็คงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท
แต่ถึงอย่างนั้น จักรพรรดิเองก็ยังมีหลายอย่างที่ไม่สามารถจัดการด้วยตัวเองได้ ต้องมอบหมายให้เน่ย์เก๋อเป็นผู้จัดการ นั่นยิ่งทำให้อำนาจของพวกเขาในฐานะขุนนางชั้นสูงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใต้เท้าสวี ที่มากไปด้วยอำนาจบารมีขึ้นมาอีกครั้ง
จวนตระกูลสวีกลับมาคึกคักไปด้วยบรรดาแขกที่มาเยือน
ส่วนเหยียนซีและหลิวเหิงก็ยังวุ่นวายอยู่กับการดูแลจัดการสิ่งต่าง ๆ ในเรือนของพวกเขา
เดือนเก้า ในวันครบรอบการตายของนางหวังและนางกู้ เนื่องจากหลิวเหิงและหวังชีอยู่ในเมืองหลวง ห่างไกลจากบ้านเกิด พวกเขาจึงไปที่วัดผู่จี้เพื่อทำพิธีสุ่ยลู่เต้าฉ่างพร้อมกับเหยียนซี หลังจากที่ได้ทำพิธีอยู่สองสามวัน ทั้งหมดก็กลับถึงบ้านและถือว่าการไว้ทุกข์ได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้ว
หลังจากที่หลิวเหิงออกจากการไว้ทุกข์เรียบร้อยก็เดินทางไปยังสำนักกว๋อจื่อเจี้ยนเพื่อไปศึกษาเล่าเรียนทุกวัน เนื่องจากเหยียนเฟิงไปกับเขาตลอดทุกคนจึงสบายใจเรื่องความปลอดภัยได้
และเพื่อความสะดวกในการเดินทาง เหยียนซีจึงซื้อรถม้าและตาเฒ่าหวูโถวก็เข้ามารับหน้าที่เป็นคนขับรถม้า เพื่อรับส่งเขาและสำหรับเดินทางออกไปยังที่ต่าง ๆ
โรงน้ำชาอวี่เซิ่นดำเนินไปอย่างรุ่งเรือง แต่ร้านเนื้อตุ๋นนั้นยังไม่สู้ดีเท่าไรนัก
ในช่วงหน้าหนาวเช่นนี้ใคร ๆ ก็มักจะชอบหาอะไรอุ่น ๆ กิน ตอนนี้พะโล้ที่เป็นของเย็นจึงไม่เหมาะเท่าไรนัก แม้ว่าจะมีบางอย่างที่กินแบบร้อนได้ แต่ก็ไม่อร่อยเท่าเดิมเมื่อถูกทำให้ร้อน
ไข่ต้มชาร้อน ๆ รสชาติดียังชวนให้ลูกค้าอยากกินอยู่ ตอนนี้จึงทำเงินได้มากที่สุด
สำหรับเนื้อสัตว์อื่น ๆ ปกติจะขายหมดไม่พอให้ลูกค้าซื้อเป็นประจำ แต่ช่วงนี้กลับยังเหลืออยู่
ฤดูหนาวในเมืองหลวงนั้นหนาวเย็นกว่าที่หมู่บ้านหยางซานมาก
ในเดือนหนึ่งร้านขายพะโล้ทำเงินได้ราวหนึ่งถึงสองร้อยตำลึง แต่จู่ ๆ รายได้ก็หายไปเป็นจำนวนมาก เมื่อเห็นว่ามีเพียงไข่ต้มชาที่ขายได้ราว ๆ ร้อยตำลึงเท่านั้นเหยียนซีก็เริ่มคิดไม่ตก และกังวลเกี่ยวกับเงินที่หายไปจนผมแทบหงอกขาว
เหยียนซีขมวดคิ้วมุ่นอยู่ที่เรือน ครุ่นคิดอย่างหนักเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน จนหลิวเหิงเริ่มทนอยู่เฉยไม่ได้เช่นกัน
“ข้าได้ยินจากเพื่อนร่วมสำนักว่าคนเมืองหลวงชอบกินหม้อไฟในฤดูหนาว” หลิวเหิงไม่มีความรู้เรื่องวิธีการทำอาหาร และเขาก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรนางได้มากนัก จึงได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมจากเพื่อนร่วมสำนัก
หลังจากสอบถามก็พบว่าคนในเมืองหลวงมีประเพณีแตกต่างจากที่หย่งโจว เมื่อเข้าฤดูหนาวพวกเขาจะกินหม้อไฟกันที่บ้าน
“อาหารเสียบไม้ต้มที่เจ้าทำก็ดูคล้ายคลึงกับหม้อไฟ ที่ร้านก็มีหม้อด้วยเช่นกันใช่หรือไม่”
หม้อไฟงั้นหรือ?
หม้อไฟไม่ได้เป็นอาหารสมัยใหม่หรอกหรือเนี่ย!?
เหยียนซีกระโดดตัวลอย “ข้าคิดออกแล้วเจ้าค่ะ พี่เอ้อร์หลาง ความคิดของท่านน่าสนใจมาก!”
เธอมีความสุขมากจนโผเข้ากอดหลิวเหิง และรีบเข้าไปในครัวอย่างกับลูกธนู
หลิวเหิงตะลึงไปครู่หนึ่ง ยืนนิ่งไม่ต่างจากท่อนซุงเป็นเวลานาน ก่อนจะได้สติกลับมา ใบหน้างดงามของเขาแดงก่ำซับสีเลือด
ซีเอ๋อร์ยังเด็กมากและไม่เข้าใจเรื่องระยะห่างระหว่างชายหญิง! เขารีบปรามตัวเองในใจ แต่จู่ ๆ ก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ ในตอนนี้เขาอาจจะต้องอธิบายให้นางเข้าใจเกี่ยวกับความต่างระหว่างชายหญิง ยกเว้นเหยียนหลิ่วแล้ว ทุกคนในบ้านนี้ล้วนเป็นบุรุษ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากนางจะทำเช่นนี้จนเคยชิน แต่เมื่อคิดว่าหากนางไปกอดกับหวังชีแล้ว…
จู่ ๆ หลิวเหิงห็พบว่าตัวเองฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ และตามด้วยความกังวลที่เกิดขึ้นในใจ
ชายหนุ่มเดินเข้าไปที่เตา ซึ่งตอนนี้เหยียนซีกำลังลงมือปรุงน้ำแกงที่เต็มไปด้วยเครื่องปรุงหลากหลาย
“พี่เอ้อร์หลางเจ้าคะ ทำไมมาอยู่ที่นี่ ไม่ไปอ่านตำราหรือ” เหยียนซีถามอย่างสงสัย เมื่อหันกลับมาเห็นว่าเขายืนอยู่ที่ทางเข้าห้องครัว
“ซีเอ๋อร์ ปีนี้เจ้าอายุสิบเอ็ดแล้ว และกำลังจะสิบสองในปีหน้า” หลิวเหิงคิดอยู่นานก่อนจะกระแอมขึ้นมา
ตอนนี้เธออยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว เหยียนซีรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยพยักหน้าตาม หยุดมือที่กำลังทำอาหารมองไปทางหลิวเหิง
“เอ่อ…เจ้าเป็นสตรี แม้ว่ายังเด็กอยู่ก็ตาม” หลิวเหิงสบตาของเหยียนซี ก่อนจะก้มมองพื้นแล้วพรูลมหายใจออกมา “สิ่งที่เจ้าแสดงออกกับข้าในตอนนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับเรา แต่เจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นกับชายอื่นได้ โดยเฉพาะหวังชีและอีกหลายคน หากพวกเขาเข้าใจผิดจะทำให้เจ้าลำบาก!”
เขารีบพูดรัวจนจบในอึดใจเดียว ก่อนจะรีบหันหลังเดินหนีไป
เหยียนซีตะลึงอยู่นาน ก่อนที่จะตระหนักได้ว่าเขากำลังหมายถึงที่เธอกอดเขาเมื่อครู่ นั่นทำให้เด็กหญิงอดไม่ได้ที่จะมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา เกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เพราะเอาแต่คิดว่าตนเองยังเด็กมาก แต่ในยุคนี้ สตรีวัยสิบเอ็ดปีไม่นับเป็นเด็กน้อยแล้ว ต่อไปคงต้องระวังตัวให้มากขึ้น
ระหว่างที่คิดอย่างนั้นใบหน้าของเด็กหญิงก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ กลายเป็นว่าตอนนี้เธอไร้เดียงสามากเกินไป
เพราะใบหน้าของเหยียนซีแดงระเรื่อระหว่างที่เธอกำลังเตรียมน้ำจิ้ม หวังชีและคนอื่น ๆ จึงสงสัยว่าน้ำจิ้มนั่นต้องเผ็ดร้อนเอาเรื่องแน่นอน
เหยียนซีคิดว่าเมื่อผู้คนในเมืองหลวงชอบกินหม้อไฟ ดังนั้นพวกเขาก็ควรจะได้ลองกินน้ำจิ้มสำหรับหม้อไฟด้วย
โดยเฉพาะเนื้อแกะ เนื้อหมู และเนื้อสัตว์อื่น ๆ ที่มีกลิ่นเฉพาะตัว การกำจัดกลิ่นเหล่านั้นไม่ได้เป็นเรื่องง่าย หากใช้เพียงต้นหอม ขิง กระเทียม อาจไม่ได้ทำให้หม้อไฟมีรสชาติที่อร่อยมากนัก
เธอจึงเพิ่มเครื่องปรุงอย่างน้ำปรุงรสจากเห็ดหนึ่งถ้วย ผสมกับเต้าเจี้ยวถั่วลิสงอีกหนึ่งถ้วย “คืนนี้เราจะกินหม้อไฟที่ข้าทำเอง และลองจิ้มน้ำจิ้มนี่ดูกันนะเจ้าคะ”
“คุณหนู ทำไม่ให้ข้าช่วยล่ะเจ้าคะ” เหยียนหลิ่วเห็นว่าเหยียนซีทำน้ำปรุงเห็ดจากเห็ดสับละเอียด จึงกลัวว่านางจะเมื่อยมือขึ้นมา
“นี่เป็นแค่งานเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง” เหยียนซีรู้ว่าตนเองไม่ได้อ่อนแอบอบบางอีกต่อไปแล้ว ในช่วงนี้ของปีที่แล้วมือเล็ก ๆ ของเธอมักจะสั่นเทาและมีรอยหิมะกัด แต่ตอนนี้ในเมืองหลวงที่อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ากลับไม่มีอาการอะไรเลย เพราะมีเหยียนเฟิง เหยียนหลิ่ว และอาต้าเป็นคนทำงานที่ต้องโดนน้ำเย็น ๆ แทน
หม้อไฟเป็นอาหารที่ทุกคนจะกินด้วยกันอย่างมีชีวิตชีวา ล้อมวงกินด้วยกันหลาย ๆ คน
เหยียนซีเห็นว่าหม้อไฟของคนยุคนี้จะกินกันในหม้อทองแดงตั้งบนเตาถ่าน ซึ่งไม่ได้ต่างจากคนสมัยใหม่มากนัก เพียงแต่ในยุคนี้พวกเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเครื่องเทศและเครื่องปรุงมากนัก เป็นรสชาติต้นตำรับแบบอ่อน ๆ เป็นแบบที่คนยุคใหม่ไม่คุ้นเคย
เธอใช้น้ำแกงกระดูกหมูเป็นพื้นฐาน จากนั้นก็เติมเครื่องเทศ ต้นหอม ขิง กระเทียม ลำไย พุทราจีน ทำให้มีกลิ่นเครื่องเทศและผลไม้ จากนั้นก็นำน้ำจิ้มที่ทำไว้มาแจกจ่ายให้ทุกคน และล้อมวงกันกินหม้อไฟ
หลิวเหิงตามเพื่อนร่วมสำนักไปกินหม้อไฟที่ร้านอาหารมาก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนแรกที่เอาตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อแกะขึ้นชิม “ดูเหมือนว่าถ้าทำแบบนี้แล้วเนื้อแกะจะมีกลิ่นน้อยกว่าที่ข้าเคยไปกินที่ร้านอาหาร” เขาจิ้มเนื้อแกะลงไปในน้ำจิ้ม แล้วกินอีกคำ “อร่อยมาก!”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น คนอื่น ๆ จึงเริ่มทำตามและกินเช่นกัน เฉวียจือเพิ่มเต้าหู้แห้งแช่แข็งชิ้นหนึ่งลงไปต้มในหม้อไฟ จากนั้นก็คีบขึ้นมาจิ้มน้ำจิ้มแล้วลองกิน “เจ้าของร้าน เต้าหู้แห้งแช่แข็งนี่เหมาะมากกว่าเต้าหู้ที่ขายในร้านเรา กินง่ายกว่ามากขอรับ!” ตอนนี้เขารับหน้าที่ดูแลโรงน้ำชา จึงมีประสบการณ์เรื่องอาหารมาไม่น้อย
เหยียนซีซื้อเต้าหู้อย่างดีกลับมาแล้วทิ้งค้างคืนไว้ให้มันกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อเอาไปต้มมันจะละลายทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้นกว่าเต้าหู้ทั่วไปหนึ่งระดับ
ตาเฒ่าหวูโถวกินเนื้อสัตว์และผักจนหมดก็พยักหน้าซ้ำ ๆ “เจ้าของร้าน ฝีมือระดับนี้สามารถเปิดร้านได้อย่างสบาย ๆ เลยล่ะขอรับ”
อาหารมากมายที่เหยียนซีทำออกมาไม่หยุดหย่อน ทำให้พวกเขามีทักษะการรับรสที่ดีเยี่ยม อาหารที่ว่าเลิศรสในภัตตาคารที่พวกเขาไม่เคยเข้าถึงได้ในอดีต ตอนนี้เป็นเพียงของกินธรรมดาทั่วไปสำหรับพวกเขาแล้ว
MANGA DISCUSSION