บทที่ 163 จวนตระกูลสวีเสียเงินเปล่าประโยชน์
ใต้เท้าสวีต้องการทำเรื่องดังกล่าวให้เงียบลง และต้องการทราบว่าใครคือผู้บงการอยู่เบื้องหลัง เขาบอกสมาชิกทุกคนในตระกูลสวีว่าไม่ต้องการสูตรลับ ทั้งยังกล่าวกำชับหัวหน้าแม่บ้านให้แจกจ่ายเงินจำนวนห้าตำลึงให้แก่ชาวบ้านที่มาเสนอขาย และส่งชาวบ้านกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม
ทว่าเขากลับคาดไม่ถึงว่า ‘ความเมตตากรุณา’ ของเขาจะแผ่ขยายไปสู่ชาวบ้าน ไม่จำต้องกล่าวถึงระยะทาง เพราะหมู่บ้านและอำเภอบริเวณใกล้เขตเมืองหลวงล้วนได้รับข่าวสาร
“หากไปเรือนตระกูลสวีจะได้รับเงินห้าตำลึงฟรี ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ท่านขุนนางสวีประกาศเอง และทุกคนก็ว่าตามนั้น!”
“ทำอย่างไร? เพียงไปรับที่หน้าประตูหรือ?”
“เจ้าต้องมีสูตรลับ!”
“สูตรลับคือสิ่งใด?”
“คือสิ่งที่เจ้าทำได้แตกต่างจากตระกูลอื่น เจ้าดูตระกูลหลิวในหย่งโจวต้มไข่ใบชา จนจวนตระกูลสวีต้องส่งคนไปลงมือสังหารเพื่อเรียนรู้สูตรลับดังกล่าว” คนที่รู้เรื่องราวรีบยกมือ กล่าวให้ความรู้ทันที
“อย่างนั้นก็ได้หรือ!” คนฟังตบต้นขา เขาสามารถทำสูตรลับเช่นนี้ได้เป็นร้อยสูตร
เข้าเมือง!
ไป ไปกันเถอะ!
ตราบใดที่สามัคคีกัน พวกเขาจะไม่เกรงกลัว!
ยามนี้ในสายตาของชาวบ้านทั่วไป ตระกูลขุนนางระดับสูงอย่างจวนตระกูลสวีที่เคยดูเหมือนห่างไกล กลับกลายเป็นสถานที่กอบโกยเงินตราได้โดยง่าย! แม้แต่รูปปั้นสิงห์ตัวใหญ่โตด้านหน้าประตูก็ดูไม่สง่างามอีกต่อไป แต่กลับดูน่ารัก
เช้าของวันที่สอง หัวหน้าพ่อบ้านประจำจวนตระกูลสวีเปิดประตูออกมาเตรียมส่งใต้เท้าสวีและบุตรชายทั้งสองไปท้องพระโรง แต่ทันทีที่ประตูบานใหญ่เปิดออก กลับเหลือบเห็นปลายแถวไร้สิ้นสุดภายในชั่วพริบตาเดียว
สวีเฉิงผิงกับสวีเฉิงกานมองดูชาวบ้านที่เข้ามาเรียกร้องเงินจำนวนห้าตำลึงด้วยสีหน้าโกรธจัด “เจ้าพวกคนไร้ยางอายพวกนี้มาจากไหน เขตเรือนตระกูลสวีอยู่ที่ใด? เหรียญตำลึงอย่างนั้นหรือ? ไม่มีทางเสียหรอก!”
ไม่มีเงินห้าตำลึงเงินอย่างนั้นหรือ?
ชาวบ้านที่มาต่อแถวล้วนมาเพื่อเงินทอง คนส่วนใหญ่หวังให้เงินทองโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า คนเหล่านั้นล้วนเป็นพวกเกียจคร้านและโลภมาก และส่วนใหญ่เป็นพวกอันธพาลในหมู่บ้านและอำเภอต่าง ๆ พวกเขาทั้งไร้ยางอายและไร้ศักดิ์ศรี แต่กลับกล้าหาญเสียยิ่งกว่าชาวนาที่รู้เพียงการทำนาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน
พวกเขาอาศัยอยู่ห่างไกล และออกจากบ้านมากลางดึกเพียงเพื่อเงินตรา เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนตั้งแต่รุ่งสาง ก็เห็นต้นไม้ยังคงปกคลุมไปด้วยความชื้นของน้ำค้างยามเช้า
นายน้อยแห่งตระกูลสวีแต่งกายด้วยเครื่องแบบขุนนาง เขาสวมชุดที่ทำมาจากผ้าไหมและผ้าซาติน ดูสง่างามเป็นอย่างมาก ทว่ากลับไม่มีใครทราบว่านี่คือนายน้อยทั้งสองแห่งจวนตระกูลสวี!
เมื่อได้ยินคำกล่าวของนายน้อยทั้งสองแห่งจวนตระกูลสวี ใครบางคนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังก็ร้องตะโกนว่า “คนที่มาเสนอขายสูตรลับเมื่อวานนี้ ใต้เท้าสวีมอบเงินให้ตั้งห้าตำลึง พวกเราก็พากันบากบั่นมาตลอดทาง เหตุใดจึงไม่ให้พวกเราด้วย?”
เสียงร้องตะโกนดังกล่าวทำให้ทุกคนตื่นตัว
“ถูกต้อง พวกเราต้องการให้ใต้เท้าสวีตัดสิน!”
“ใช่ ทุกคนต่างกล่าวว่าใต้เท้าสวีไม่โป้ปด ย่อมไม่หลอกลวงพวกเรา!”
“เหตุใดพวกเมื่อวานจึงได้ แต่พวกเราไม่ได้?”
“พวกเราให้ใต้เท้าสวีตัดสินกันเถอะ!”
ทันใดนั้นเสียงชาวบ้านก็ร้องตะโกนว่าใต้เท้าสวี น้ำเสียงหลายร้อยร้องตะโกนพร้อมกัน จนก้องกังวานไปเกือบครึ่งของเมืองหลวง
เสียงร้องตะโกนทำให้ทุกอย่างเริ่มชุลมุนวุ่นวาย ชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังเริ่มวิ่งออกมาด้านข้าง
เนื่องจากนายท่านไม่ได้ออกคำสั่ง ทหารยามทั้งหลายจึงทำได้เพียงขับไล่ชาวบ้านออกไป ไม่สามารถใช้กระบองไม้ทุบตีพวกเขาจนสิ้นใจได้ ทว่าเพียงเท่านั้นกลับไม่สามารถยับยั้งเอาไว้ได้
“พวกเจ้า… พวกเจ้าต้องการอะไร? ทหาร มาทุบตีเสียให้หมด!…” นายน้อยคนรองของจวนตระกูลสวีใช้ชีวิตโดยการเรียกหาทาสรับใช้มาตั้งแต่เกิด และไม่เคยให้ใครเข้าใกล้มาก่อน ยามนี้เมื่อฝูงชนเข้ามาใกล้ เขาจึงได้กลิ่นเหงื่อ เห็นได้ชัดว่าชาวบ้านที่อยู่ใกล้เขารับประทานหัวหอมและกระเทียมเข้าไป จึงส่งกลิ่นแปลก ๆ ทันทีที่ปริปาก
เขากล่าวออกไปครึ่งประโยคก็รีบเอามือปิดจมูก
เมื่อได้ยินคำสั่งของนายน้อยคนรอง ทหารยามยกกระบองไม้ขึ้นและเตรียมจะหวดลงไป ทว่าใต้เท้าสวีกลับส่งเสียงตะคอก จนพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากวางไม้กระบองลงอย่างละอายใจ
สวีเฉิงผิงรู้สึกวิตกกังวลมาก เขาหวาดกลัวว่าจะไปเฝ้าท้องพระโรงไม่ทันเวลา
ใต้เท้าสวีอาศัยสถานะทางสังคม ทุกครั้งที่ต้องออกเดินทางไปข้างนอกจำต้องตรวจสอบเวลา นับเวลาระหว่างทาง และจะถึงประตูวังหลวงก่อนเวลาทุกครั้ง
หากล่าช้าจะสายเกินเวลา
การเข้าเฝ้าในท้องพระโรงล่าช้า ย่อมมีบทลงโทษเล็กน้อยด้วยการปรับลดเงินเดือน ทว่าหากถูกเฆี่ยนตีและตำหนิท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย ฝ่ายตนจะยังสู้หน้าผู้อื่นอยู่ได้อีกหรือ?
เมื่อวานนี้จักรพรรดิแสดงความไม่พอใจต่อตระกูลสวี หากวันนี้บิดาและบุตรชายไปสายเกินเวลาพร้อมกัน จะถูกนับว่าเป็นความไม่พอใจของจักรพรรดิอีกหรือไม่?
สวีเฉิงผิงกระวนกระวายจนร้องเรียก “ท่านพ่อ” ใต้เท้าสวีก็ตระหนักถึงเรื่องที่กำลังวิตกกังวลเช่นกัน
หากออกคำสั่งให้ทหารยามเอากระบองไม้ทุบตีเพื่อเปิดทาง จนทำให้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย และมีชาวบ้านบาดเจ็บสาหัส หรือกระทั่งสิ้นใจลง เหล่าขุนนางทั้งหลายจะต้องทราบข่าวเมื่อพวกเขาไปเข้าเฝ้าท้องพระโรง และฝ่ายที่จับตามองตระกูลสวีอยู่ ก็จะต้องเปิดโปงเหตุการณ์ดังกล่าวในช่วงเช้าวันนี้เป็นแน่
นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านมาต่อแถวอยู่ราวสองสามร้อยคน แม้ว่าจะใช้กระบองไม้ทุบตีเพื่อเปิดทาง แต่หากชาวบ้านพวกนี้เข้ามาก่อความวุ่นวาย จะไม่สามารถขับไล่พวกเขาออกไปได้สักพักหนึ่ง
เขาจึงทำได้เพียงระงับความขุ่นเคืองและกล่าวกับหัวหน้าพ่อบ้านว่า “เอาให้พวกเขาไป” จากนั้นจึงขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว
“ไอหยา!… จะให้เงินหรือไม่?”
“ห้ามออกไป!”
หัวหน้าพ่อบ้านทำได้เพียงก้าวออกไปข้างหน้า และร้องตะโกนสุดกำลัง “ตามข้ามา มาลงทะเบียนที่นี่”
“เอาเงินมา เอาเงินมา!”
“ทุกคนเข้าแถว และรับเงินไป!”
ชาวบ้านทั้งหลายพากันไปยืนต่อแถวทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของหัวหน้าพ่อบ้าน และเดินตามอีกฝ่ายไปทีละคน
เกี้ยวของใต้เท้าสวีและบุตรชายทั้งสองเคลื่อนตัวผ่านพวกเขาไป โดยที่ไม่มีใครคิดกล่าวทักทายหรือหลบทาง
ขณะที่เกี้ยวเคลื่อนตัวผ่านฝูงชน ใต้เท้าสวีก็จับเสาเกี้ยวแน่น รู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง
เขารู้ว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ทว่าวิธีการกลับต่ำช้าจนเกินไป เหลวไหลราวกับเด็กน้อยที่ชอบโต้เถียงและแอบปาก้อนหินใส่หน้าต่างของคนอื่น ทว่าวิธีการดังกล่าวก็ทำให้เขาโกรธเคืองอีกครั้งแล้วจริง ๆ คนประเภทนี้คิดว่าถูกเอาเปรียบแล้วจะก้มหน้าก้มตายอมรับเสียอีก
ความรู้สึกแน่นหน้าอกเช่นนี้ ผ่านมากี่ปีแล้วที่ไม่ได้พบเจอ?
หลิวเหิง!
ชื่อดังกล่าวผุดขึ้นมาในหัวของใต้เท้าสวี
สิ่งต่าง ๆ เริ่มเกิดขึ้นหลังจากหลิวเหิงส่งคำร้องฟ้องศาลว่าจวนตระกูลสวีส่งมือสังหารไปขโมยสูตรลับ
เมื่อนึกถึงชื่อดังกล่าว ใต้เท้าสวีก็รู้สึกว่าไร้สาระ อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่จู่เหรินต้อยต่ำ เหตุใดคนสองกลุ่มจึงลงมือสังหารไม่ได้สักที!
สวีอวี้หรงประเมินศัตรูต่ำเกินไป เป็นไปได้ไหมว่าบุรุษทั้งสี่ที่สวีโจวจือส่งไปจะเปล่าประโยชน์?
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตนเองประมาทจนเกินไป ไม่สนใจจู่เหรินที่ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งขุนนาง เพียงแต่คิดลงมือสังหาร ทว่าบัณฑิตผู้อ่อนแอสามารถรอดพ้นจากมือสังหารได้อย่างไร?
เขากลับคาดไม่ถึงว่าทุกสิ่งอย่างจะเกิดจากฝีมือของหลิวเหิง
เขาเคยอ่านประวัติคร่าว ๆ ของหลิวเหิง หญิงหม้ายเป็นคนเลี้ยงดูเขามา อีกฝ่ายศึกษาตำราตั้งแต่อายุยังน้อย อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหยางซาน และพยายามจะเดินทางเข้าหย่งโจวทุกครั้งที่มีโอกาส เด็กคนนั้นมองดูการเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินนี้มาตั้งแต่ยังน้อย และคุ้นเคยกับดินแดนนี้เป็นอย่างมาก ทว่าบัณฑิตจะมีความเชี่ยวชาญในการทำกิจการได้อย่างไร? มีความกล้าหาญและวิธีมาจากไหน?
ศัตรูของเขาหรือ?
ตระกูลเฉิน?
ใต้เท้าสวีส่ายหน้า เขาไม่เชื่อว่ามันจะเป็นฝีมือของหลิวเหิง และไม่เชื่อว่าเฉินเก๋อเหล่าจะออกอุบายราวกับเด็กน้อยเช่นนี้
ปัญญาชนล้วนมีความทะนงตนในศักดิ์ศรี การสมรู้ร่วมคิดก็ดี แต่การประโคมข่าวอย่างโกรธเคืองเช่นนี้มีประโยชน์อันใด?
เมื่อวานนี้หัวหน้าทหารยามส่งชาวบ้านที่มานำเสนอสูตรลับกลับไปยังบ้านเกิดของพวกเขา พวกเขาเหล่านั้นเดินทางมาจากทั่วทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่หย่งโจวจรดชานเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทั้งหมดล้วนเคยได้ยินเรื่องติฉินนินทา และรู้เนื้อหาคำฟ้องร้องของหลิวเหิง จึงทำให้เดินทางขึ้นมายังเมืองหลวง ในบรรดาคนทั้งหลายเหล่านั้น บางคนเดินทางมาเอง บางคนรวมกลุ่มกับกองคาราวานเข้ามายังเมืองหลวง และบางคนก็ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อน ๆ และชาวบ้าน
ดังนั้นเรื่องทั้งหมดนี่เกิดจากการที่ชาวบ้านปล่อยข่าวลือผิดเพี้ยนจริง ๆ หรือ?
ใต้เท้าสวีไม่เชื่อ ทว่ากลับนึกไม่ออกว่าใครจะเป็นคนใช้วิธีการดังกล่าว
เขาไม่รู้ว่าบ้านตระกูลหลิวยังมีเหยียนซีอยู่อีกคนที่ไม่ได้ปรากฏชื่ออยู่ในทะเบียน
ในเมื่อลงมือสังหารไม่ได้ พวกเราก็จะใช้มีดทื่อ ๆ เล่มนี้แล่เนื้อเจ้าเสีย!
เหยียนซียังคงส่งเสริมความเชื่อดังกล่าว กล่าวว่าจวนตระกูลสวีส่งคนมาชี้แจงข่าวลือแล้ว อีกทั้งพวกเขายังไปพบกับกลุ่มพ่อค้า และบอกว่าตระกูลสวีจะแจกจ่ายเงินจำนวนห้าตำลึงให้ทุกคนถึงแค่วันนี้เท่านั้น หลังจากวันนี้จะไม่มีอีกแล้ว
MANGA DISCUSSION