บทที่ 137 ไม่สิ้นใจไม่หยุดนิ่ง
หลายวันมานี้หลิวเหิงถูกเหยียนซีควบคุมตัวไว้ด้วยเหตุผลนานับประการ หากเขาออกไปข้างนอก เด็กหญิงจะกังวลใจเป็นอย่างมาก ถ้าเขาคิดลงมือทำสิ่งเลวร้าย จะกล้าไปยืนต่อหน้าดวงวิญญาณของนางหวังได้อย่างไร?
กระนั้นหลิวเหิงมิใช่คนไร้น้ำยาหรือขี้ขลาดตาขาว หากไม่ใช่ช่วงไปสอบขุนนาง เขาก็ไม่มีใจจะนั่งเรียนอยู่ในบ้านขณะมองดูคนอื่นวิ่งวุ่นวายเช่นนี้หรอก
เมื่อเหยียนเฟิงเห็นว่าเหยียนซีที่อยู่ข้าง ๆ ยังคงไม่สบายใจ จึงกล่าวขึ้นว่า “น้องสาว ไม่ต้องกังวล”
แม้ไม่ได้กล่าวอะไรมากนัก ทว่าสี่ถ้อยคำดังกล่าวกลับทำให้เธอเห็นถึงความมุ่นมั่นและตั้งใจ
เหยียนซีได้ยินคำมั่นสัญญาของเด็กชาย จากนั้นจึงนึกถึงคำกล่าวของหลิวเหิงว่าเขาจำเป็นที่จะต้องออกไป แม้จะปิดประตูลงกลอนอยู่ในเรือน แต่ถึงกระนั้นจะปลอดภัยจริง ๆ หรือไม่?
“เช่นนั้นพวกท่านพี่ก็ออกไปวันพรุ่งนี้ แล้วรีบกลับมาโดยเร็ว” เหยียนซีออกคำสั่ง และกล่าวว่า “หากเจรจากันไม่ได้ ก็ไปเลือกซื้อที่ดินตรงที่ทำการไปรษณีย์เถิดเจ้าค่ะ” มันไม่ใช่ที่ดินอุดมสมบูรณ์หรือที่อยู่อาศัย ดังนั้นราคาคงจะไม่แพงจนเกินเอื้อมนัก “หากพวกท่านเจรจาได้ ก็ซื้อที่ดินผืนนั้นเสีย”
การเช่าซื้อขายที่ดินไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับการทำการค้า อีกทั้งเจ้าของที่ดินก็มักจะผลักดันให้ผู้เช่าครอบครองธุรกิจ เธอไม่ต้องการจัดการและทำงานหนักด้วยตนเอง แต่สุดท้ายกลับมาพบว่าล้มเหลวเพียงเพราะการเช่าที่ดิน
“น้องสาว พวกเรามีกันเพียงห้าคน เหตุใดจึงจะเปิดโรงน้ำชาเยอะแยะนักเล่า?” หาได้ยากนักที่เหยียนหลิ่วจะเอ่ยถามอะไร ช่วงนี้พวกเขาทั้งห้ายุ่งกับธุรกิจจนหัวหมุน หากเปิดโรงน้ำชามากที่หลายแห่ง จะไม่วุ่นวายจนตัวตายเลยหรือ?
“เช่นนั้นเราก็ต้องจ้างคน ซื้อคน แล้วทำสัญญาลงนามระยะยาวเสีย ตอนนี้พวกเราเริ่มหาพวกพ้องจากในหมู่บ้านได้แล้ว” เหยียนซีไม่กังวลเรื่องกำลังคน บัดนี้การซื้อขายกำลังคนมีมากมายจนนับไม่ถ้วนแล้ว ทั้งราคายังย่อมเยา บางครัวเรือนมีสมาชิกมาก แต่กลับมีที่ดินทำกินไม่พอ จึงออกมาหาเลี้ยงชีพระยะยาว
การหางานเลี้ยงชีพในระยะยาวด้วยดูแลร้านค้าเช่นนี้ คงง่ายดายยิ่งกว่าการทำไร่ทำนาเสียอีก และเกรงว่าจะมีความสุขกันมากกว่าด้วย
เธอกล่าวถึงการรับสมัครกับท่านแม่ของหลิวจิ้นเป่า ทั้งยังบอกอีกว่าต้องการหาชายหนุ่มไว้ทำงานหนักอีกสักสองสามคน และคาดว่าอีกสองสามวันน่าจะมีคนเข้ามาถามไถ่
“ซีเอ๋อร์ พวกเราจะเปิดโรงน้ำชาร้อยแห่งเช่นนี้ ไม่เกรงกลัวตระกูลสวีหรือ? เราจะล้างแค้นให้แม่ของเอ้อร์หลางได้หรือไม่?” หวังชีคิดไม่ตก
เดิมทีเขาต้องการเสนอให้หลิวเหิงย้ายที่อยู่และไปซ่อนตัวเสีย หลังจากนั้นสามปีค่อยมาพูดคุยเรื่องความแค้นนี้กันใหม่ ทว่าหลิวเหิงปฏิเสธ ในขณะที่เหยียนซีฟังแล้วรู้สึกว่ามันเปล่าประโยชน์
เด็กหญิงส่ายหน้า การแก้แค้นนั้นง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
สีหน้าของหลิวเหิงมืดมนลง การแก้แค้นช่างง่ายดายนักเมื่อกล่าวถึง หากแต่ลงมือทำจริง ๆ คงมิใช่เรื่องง่าย เมื่อพวกเขาคิดจะแก้แค้น ประการแรกจำต้องตั้งหลักในเมืองหลวงให้ได้เสียก่อน
“น้องสาว หรือข้ากับท่านพี่ควรไปที่เมืองหลวงดี?” เหยียนหลิ่วเอ่ยถาม
“สังหารสวีอวี้หรง!” เหยียนเฟิงกล่าวต่อ
การลอบสังหารเป็นสิ่งที่เหล่าหน่วยกล้าตายมักจะลงมือทำ ถึงแม้ว่าเขากับเหยียนหลิ่วจะยังฝึกไม่สำเร็จ แต่ตราบใดที่เรือนของสวีอวี้หรงไม่ได้รับการป้องกันจากองครักษ์ พวกเขาทั้งสองก็มีโอกาสที่จะลงมือทำได้สำเร็จ
“ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย!” หวังชีรีบกล่าว “ข้าจะไปกับพวกเจ้า อย่างไรเสียข้าก็มีกำลังเพียงพอ”
“จำต้องออกเดินทางก่อนเวลาหรือไม่? หากออกเดินทางในช่วงหน้าหนาว เกรงว่าจะปกปิดร่องรอยเอาไว้ไม่ได้”
“ใช่ ในช่วงฤดูหนาวหากหิมะตกลงมานั้นเมื่อใด ถนนจะถูกปิดกั้น ยากที่จะเดินทางไปถึงเมืองถงอัน เราต้องรีบออกเดินทางก่อนที่หิมะจะตก วันนี้บัณฑิตที่แวะเวียนมาในโรงน้ำชากำลังเร่งเดินทางเข้าไปยังเมืองหลวง” หวังชีเร่งกล่าวเมื่อตระหนักได้ว่า เมื่อปีที่แล้วเขาต้องเดินทางจากเมืองถงอันไปยังอำเภอหมิงสุ่ย
“ออกเดินทางวันพรุ่งนี้” เหยียนเฟิงตัดสิ้นใจขั้นสุดท้าย
“หากถึงเมืองหลวงแล้ว ก็แอบไปดูว่านางสวีอวี้หรงอยู่ที่ใด แล้วจึงคิดหาวิธีจัด…”
“จากนั้นล่ะ?” เหยียนซีกล่าวขัดจังหวะทั้งสามคนด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “พวกท่านสังหารสวีอวี้หรงแล้วอย่างไรต่อ? จะหนีกลับมาได้อย่างไร?”
“เสี่ยวเฟิงกับเสี่ยวหลิ่วคงหลบหลีกกลับมาได้ ไร้ปัญหา” หวังชีกล่าวออกมา
“แต่ท่านล่ะ? ท่านป้ากู้หวังว่าท่านจะได้แต่งงานมีลูกมีหลาน หากท่านไม่หนีออกมา เหยียนเฟิงกับเหยียนหลิ่วจะกลับออกมาหรือ? พวกท่านจะเร่งรีบไปหาความตายกันเพื่ออะไร? พวกเราทุกคนต้องหาทางมีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อมีแค้นก็จำต้องได้รับการชำระ ทว่าคนนั้นก็ต้องยังอยู่ต่อไป” พวกเขาทั้งสามคนคิดหารือกันอย่างมีชีวิตชีวา ทว่าไม่คิดหาทางกลับ เช่นนี้ไม่ใช่หาทางไปตายหรือ?
เมื่อหวนคิดถึงความตาย หัวใจของเหยียนซีก็เต็มไปด้วยความอึดอัด ความรู้สึกไร้อำนาจและความโกรธจัดประเดประดังเข้ามาจนเธอเสียความสงบ “หากพวกท่านพูดพล่ามถึงความตายอีก ข้าจะไล่พวกท่านออกไปให้หมด!”
เด็กหญิงหันหลังและเดินกลับออกไปด้วยความขุ่นเคือง ทว่าเธอเดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็กลับหันหลังมาและกล่าวกับเหยียนเฟิงและเหยียนหลิ่วว่า “และพวกเจ้า! ข้าซื้อพวกเจ้าสองคนมา อย่าได้บังอาจกล่าวถึงหน่วยกล้าตาย! จงอย่าได้ไปเป็นหน่วยกล้าตายอีก บัดนี้พวกเจ้าไม่ใช่หน่วยกล้าตายแล้ว! ไม่จำเป็นต้องถูกส่งให้ไปตาย พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ!” เธอร้องตะโกน และเตรียมจะก้าวออกไป ทว่าหลิวเหิงกลับห้ามปรามเอาไว้
เหยียนซีพยายามขัดขืนถึงสองสามครั้ง แต่หลิวเหิงกลับกระซิบว่า “ข้างนอกนั้นหนาว”
เนื่องจากเรือนเก่าถูกไฟไหม้ พวกเขาทั้งห้าจึงต้องพักอยู่ในเรือนหลังใหม่อย่างแออัด หลังคามุงด้วยกระเบื้องสามห้อง ห้องแรกถูกใช้เป็นโกดัง ส่วนห้องกลางใช้เป็นห้องโถงหลัก มีห้องรับประทานอาหารอยู่ใกล้กับประตูหน้า ห้องที่เหลือครึ่งหนึ่งถูกปูด้วยผ้าหนา และอีกครึ่งหนึ่งใช้เป็นห้องนอนของเหยียนซีกับเหยียนหลิ่ว เหยียนซีก้าวออกไปด้วยความโกรธ และยืนให้ลมพัดใส่ร่างอยู่ในสนามหญ้า
เหยียนซีนิ่งเงียบ จนหลายคนในห้องได้แต่มองหน้ากันและกัน พวกเขาไม่เคยเห็นเด็กหญิงโกรธเคืองเท่านี้มาก่อน
“น้องสาว อย่างโกรธเคืองไปเลย” เหยียนหลิ่วก้าวเข้าไปยืนข้าง ๆ เหยียนซี กล่าวเสียงกระซิบด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอื้อมมือออกไปประคองให้เด็กหญิงนั่งลง
วันนี้ทุกคนต่างพากันรู้สึกโศกเศร้า
หลิวเหิงถอนหายใจ “ท่านพี่ หากข้าสามารถแลกชีวิตได้ ข้าคงจะสละชีวิตตนเองสังหารสตรีชั่วร้ายจากบ้านตระกูลสวีไปแล้ว! ทว่าซีเอ๋อร์นั้นกล่าวได้ถูกต้อง พวกเราไม่มีทางได้เห็นหน้านางด้วยซ้ำ ต่อให้เสี่ยวเฟิงกับเสี่ยวหลิ่วจะมีทักษะการต่อสู้ที่เก่งกาจเยี่ยงไร สองกำปั้นก็ยากที่จะเอาชนะสี่มืออยู่ดี หากพวกเราทำพลาดไป คงไม่มีโอกาสได้แก้แค้นอีก ในเมื่อมีมีดปักอยู่เหนือศีรษะ คิดจะแก้แค้นก็จำต้องอดทน”
“อดทนเอาไว้ พวกเราชาวบ้านธรรมดา ..ทว่าแล้วเมื่อใดจึงจะแก้แค้นได้เล่า?” หวังชีนั่งลงและเอาสองมือกุมเหนือศีรษะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความกังวล
แม้พวกเขาจะทำงานหนักถึงขนาดไหน ทว่าก็ยังอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงหลายพันลี้อยู่ดี การแก้แค้นช่างดูเหมือนภาพลวงตายิ่งนัก
“ท่านพี่ชี ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเราจะได้แก้แค้นหรือไม่ ทว่าหากเรามีเงิน เราก็สามารถวานจ้างปรมาจารย์ ยอดมือสังหาร! ย่อมมีผู้องอาจภายใต้เงินรางวัลก้อนโตอยู่แล้ว หากเราจ้างสักร้อยคน ก็คงจะสามารถสังหารได้หรอกมิใช่หรือ? สวีอวี้หรงซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังบิดา แต่บิดาของนางจะเป็นขุนนางอาวุโสไปตลอดชีวิตงั้นหรือ?”
“ที่เมืองหลวงมีบุคคลสำคัญอยู่มากมาย ย่อมมีคนไม่เกรงกลัวตระกูลสวีอยู่เป็นธรรมดา กระนั้นตำแหน่งขุนนางอาวุโสกลับดีเกินคาด ข้าเชื่อว่าไม่มีผู้ใดไม่อยากครอบครองตำแหน่งนี้หรอก”
ข้าราชการก็ไม่แตกต่างจากการทำงานแวดวงธุรกิจในชาติที่แล้วมากนัก ศัตรูของศัตรูย่อมเป็นมิตรแท้
คำกล่าวอ้างดังกล่าวมีไว้สำหรับทุกคน และมีไว้สำหรับตนเองด้วย
ผู้มากอำนาจจำต้องถือบางอย่างที่ช่วยปกป้องรักษาชีวิตเอาไว้ในมือ เช่นนั้นจึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะปริปาก เช่นเดียวกับบัดนี้ที่พวกเขากำลังกล่าวถึงการแก้แค้น หากเรื่องดังกล่าวได้ยินไปถึงหูคนอื่น ก็คงจะกลายเป็นเรื่องตลกขบขันจนต้นไม้สั่นไหว
พวกเขาไม่ใช่ผู้วิเศษหรือมีความสำคัญอันใด หากมีคุณงามความดีมากพอ บ้านต่าง ๆ ของตระกูลพวกเขาก็ควรจะร่วมมือกันแล้วมิใช่หรือ?
“เงินตราเปลี่ยนภูตผีวิญญาณได้ หากไร้อำนาจ ก็จำต้องมีเงิน”
“เมืองหลวงอยู่ไกลเกินไป บัดนี้พวกเรายังไม่สามารถไปได้ พวกเราจำต้องเปิดร้านค้า แผ่ขยายทีละร้านจนไปถึงหน้าประตูเรือนตระกูลสวี ไม่สิ้นใจ ไม่หยุดนิ่ง!”
ทว่าพวกเขาต้องการเวลา แม้จะไม่อาจรู้ว่าบ้านตระกูลสวีจะให้เวลาแก่พวกเขาหรือไม่
เหยียนซีกำหมัดแน่น คราวนี้พวกเขาจะเตรียมพร้อมเต็มกำลัง หากบ้านตระกูลสวีคิดลงมือ พวกเขาจะไม่มีวันถูกจับโดยละม่อมเหมือนหนก่อนเป็นแน่!
MANGA DISCUSSION