บทที่ 130 การมาถึงของเฉินโหย่วฝู
หลังจากที่ผ่านหนึ่งปีในสำนักศึกษาประจำเมือง และหนึ่งเดือนที่ไปอาศัยอยู่ในหย่งโจว หลิวเหิงก็ไม่ใช่เด็กชาวบ้านไม่รู้เหนือไม่รู้ใต้อีกต่อไป
นายอำเภอหงเป็นผู้ปกครองที่อยู่ภายใต้อำนาจของเมืองถงอัน ซึ่งเป็นเขตเดียวกันกับหย่งโจวบ้านเกิดของเฉินเก๋อเหล่า*[1]
การส่งคนร้ายให้นายอำเภอหง อย่างน้อยก็จะทำให้เฉินเก๋อเหล่ารู้เรื่องนี้ อย่างไรผู้ที่มีอำนาจย่อมต้องถ่วงดุลกันเอง หากเฉินเก๋อเหล่าสืบเรื่องนี้แล้วพบว่าเกี่ยวข้องกับใต้เท้าสวี เขาจะต้องสนใจอย่างแน่นอน
เสียงตะโกนของชาวบ้านไม่อาจดังถึงสวรรค์ ดังนั้นจึงทำได้เพียงใช้วิธีนี้เสี่ยงโชคดูเท่านั้น
สำหรับเว่ยหวน …โชคไม่ดี เขาคงจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชายผู้นั้นจริง ๆ
หลิวเหิงกำหมัดแน่น รู้สึกสับสนไปชั่วขณะ
ดวงตาของเขาเย็นเหยียบลง จากนั้นก็หันหน้าไปทางโถงไว้ทุกข์ของมารดา
หน้าโถงไว้ทุกข์ กระดาษขาวที่ประดับอยู่โดนลมพัดพลิ้วไหว ทิ้งเงาร่างที่ขยับไปมาทอดลงบนพื้น
ในชั่วขณะนั้น หัวใจของชายหนุ่มพลันโล่งขึ้น คนอย่างเว่ยหวนจะมามีคุณสมบัติเป็นบิดาของเขาได้อย่างไร? บิดาอยู่ที่หลุมฝังศพของตระกูลหลิว มารดาก็กำลังรอที่จะไปอยู่เคียงข้างท่านที่นั่น ชายผู้นั้นเป็นเพียงคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกันเท่านั้น จะมีความสำคัญอย่างไรได้
เขาขอให้หัวหน้าตระกูลหลิวช่วยหาคนเดินทางไปส่งข่าวถึงหวังชีในเมืองภายในหนึ่งคืน
ตอนเที่ยงวันต่อมา หลังจากพิธีเคารพศพในช่วงเช้า หลิวเหิงก็แต่งชุดไว้ทุกข์ ส่งโหลวเหนิงไปยังศาลาว่าการกับเหยียนเฟิง และแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าชายคนนี้ได้รับคำสั่งจากตระกูลสวีมาเพื่อสังหารเขาและมารดา
หลังจากฟังคำพูดของหลิวเหิงแล้ว นายอำเภอหงก็มองไปทางโหลวเหนิงที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา หลิวเหิงสามารถจับคนร้ายที่ใต้เท้าสวีผู้นั้นส่งมาได้อย่างนั้นหรือ?
หลิวเหิงคุกเข่าลงด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ข้าน้อยหวังให้ท่านมอบความยุติธรรมให้แก่ครอบครัวเราด้วยขอรับ”
ในฐานะจู่เหริน เขาไม่จำเป็นต้องคุกเข่าลงต่อหน้าเจ้าหน้าที่เช่นนี้ แต่การคุกเข่านี้ถือเป็นการขอร้องอย่างถึงที่สุด
“เอ้อร์หลางโปรดลุกขึ้นเถอะ” หลังจากที่นายอำเภอหงช่วยหลิวเหิงให้ลุกขึ้น เขาก็มองไปทางโหลวเหนิงที่คุกเข่าอยู่ด้วยความหวั่นในใจ ใช่ว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่หลิวเหิงให้การ แต่ใครเล่าจะกล้าไปเอาเรื่องใต้เท้าสวีผู้นั้นได้
อีกอย่างคดีนี้ยังเกี่ยวพันถึงครอบครัวของรองเจ้ากรมยุติธรรม หากรับตัวคนร้ายคนนี้ไว้จะต้องมีเรื่องใหญ่ตามมาอย่างแน่นอน หากหลิวเหิงอยากจะเติบโตต่อไปในหน้าที่การงาน ก็ย่อมต้องเผชิญหน้ากับใต้เท้าสวีในสักวัน ทว่านั่นก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อตัวเขาเองเป็นอย่างมาก…
เมื่อนึกถึงมารดาของตนที่เคยบอกว่านางติดหนี้บุญคุณเหยียนซีไว้ นายอำเภอก็ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าควรจะตัดสินใจเช่นไร
หลิวเหิงนิ่งเงียบ ทำให้ชวนสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าเขาจะรู้หรือไม่ว่านายอำเภอไม่เต็มใจจะรับทำคดีนี้
ระหว่างที่ทั้งสองยังคงนิ่งเงียบ เจ้าหน้าที่ก็เข้ามากระซิบกระซาบสองสามคำแก่นายอำเภอหง
นายอำเภอมีท่าทีตกตะลึงแล้วรีบออกคำสั่ง “รีบเชิญเข้ามาเร็วเข้า!”
หลิวเหิงเห็นว่าเจ้าหน้าที่นำทางเฉินโหย่วฝูเข้ามา
เฉินโหย่วฝูแต่งกายด้วยอาภรณ์สีน้ำเงิน เป็นเสื้อผ้าที่ดูเรียบง่าย ทว่าใบหน้าของเขาก็มีแววเหนื่อยล้าอย่างไม่อาจปกปิด เมื่อได้พบกับหลิวเหิงก็รีบตรงเข้ามา แล้วพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “เอ้อร์หลาง ข้าขอแสดงความเสียใจด้วย ข้าได้ยินเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับท่านป้าแล้ว คนร้ายทำการอุกอาจมาก ข้าเชื่อว่านายอำเภอหงคงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ แน่นอน!”
ว่าจบก็หันมองทางนายอำเภอหง
คำพูดเช่นนั้นเป็นการสร้างแรงกดดันต่อนายอำเภอหงเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
นายอำเภอหงมองที่หลิวเหิงอย่างซับซ้อน และคำนับเฉินโหย่วฝูเล็กน้อย “คุณชายเฉินพูดถูกแล้ว เจ้าหน้าที่ทุกคนจะต้องพิจารณาคดีนี้อย่างเป็นกลาง แล้วคืนความยุติธรรมให้ผู้ตายและครอบครัวอย่างแน่นอน”
เฉินโหย่วฝูไม่เพียงเป็นคนที่มีชื่อเสียง แต่ยังเกิดในตระกูลเฉิน เขารีบตรงมาที่นี่ทันทีที่ทราบข่าว เห็นชัดว่าคงควบม้ามาตลอดทางโดยไม่ได้หยุดพัก
หลิวเหิงประหลาดใจกับการมาถึงของเฉินโหย่วฝู ทว่าหลังจากได้ยินสิ่งที่ทั้งสองพูดคุยกันก็เริ่มเข้าใจทุกอย่าง แม้จะทำความเคารพอย่างนั้น แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
การที่เฉินโหย่วฝูมาถึงที่นี่ก็เป็นเครื่องยืนยันได้แล้วว่าตระกูลเฉินกำลังสนใจเรื่องนี้ เพราะมีคนตระกูลสวีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เรื่องราวที่เกิดขึ้นชวนให้หลิวเหิงเริ่มสงสัยในคำกล่าวของเหล่านักปราชญ์ที่ตนได้เรียนรู้มาตลอด
ครอบครัวเหยื่อไม่อาจทำทุกสิ่งเพื่อล้างแค้น
และเพื่อความยุติธรรมแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำสิ่งใดก็ได้ สติปัญญาของเขาในตอนนี้รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรทำ แต่ในฐานะบุตรชาย เขาจะไม่สามารถทำอะไรเพื่อมารดาได้เลยเชียวหรือ?
“เอ้อร์หลาง ในเมื่อนายอำเภอหงรับคดีนี้แล้ว เขาจะต้องจริงจังกับการหาข้อเท็จจริงมาให้ได้เจ้าอย่างแน่นอน ข้าได้ยินข่าวจากผู้จัดการเฉียน จึงได้รีบมาที่นี่เพื่อเคารพท่านป้า” เฉินโหย่วฝูจับมือหลิวเหิง “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไว้ทุกข์ให้ท่านป้า แต่ก็ไม่อยากให้เจ้าจมอยู่กับความเศร้ามากจนเกินไป”
“ขอบคุณพี่เฉินมาก” หลังจากที่ขอบคุณเขาแล้ว หลิวเหิงก็คำนับนายอำเภอหงแล้วกล่าวอำลา
เมื่อเขาและเฉินโหย่วฝูกลับมาที่หมู่บ้านหยางซาน หวังชีก็กลับมาถึงแล้วเช่นกัน เขาร้องไห้อย่างขมขื่นที่หน้าศพนางกู้
ภายในโถงไว้ทุกข์มีเสียงร้องไห้ดังระงม
หลิวเหิงหน้าแดงขึ้นอย่างอดไม่ได้ เขาส่งธูปสามดอกให้เฉินโหย่วฝูในฐานะบุตรของผู้ตาย
หลังจากเฉินโหย่วฝูรับมันขึ้นมาก็คำนับเล็กน้อยที่โลงศพของนางหวัง และทำความเคารพตามธรรมเนียม
เหยียนซีคุกเข้าอยู่ที่โถงไว้ทุกข์ เธอแต่งกายด้วยผ้าดิบเพื่อแสดงความกตัญญู และคำนับเฉินโหย่วฝูกลับ
“ข้ายังมีเรื่องที่จะต้องจัดการกับครอบครัว เพราะอย่างนั้นจึงรั้งอยู่ที่นี่นานไม่ได้ เอ้อร์หลาง หากมีเรื่องอะไรให้ช่วยเหลือ ก็สามารถให้คนมาส่งข่าวถึงข้าได้โดยตรงเลยนะ” เฉินโหย่วฝูเอ่ยกับหลิวเหิงหลังเคารพศพเสร็จแล้ว
คนของตระกูลเฉินขับรถม้ามารอที่หน้าประตูบ้านทันทีที่เขามาถึงหมู่บ้านหยางซาน
หลิวเหิงไปส่งเขาที่รถม้า ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าลานบ้าน หลังจากที่เฉินโหย่วฝูขึ้นไปนั่งแล้วก็ถอนหายใจออกมา เปิดม่านหน้าต่างรถขึ้น กุมมือหลิวเหิง “เอ้อร์หลาง ความงามส่วนใหญ่ที่เราเห็นในโลกนี้ล้วนไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ทั้งเจ้าและข้าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องโสมมเหล่านั้นได้ หวังเพียงเจ้าจะเข้าใจและผ่านมันไปได้”
หลิวเหิงสะเทือนใจเล็กน้อย “ขอบคุณพี่เฉินสำหรับความเป็นห่วง หวังว่าพี่เฉินจะประสบความสำเร็จในการสอบปีหน้า”
เฉินโหย่วฝูถอนหายใจอีกครั้ง กุมมือของเขาอีกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยลาอีกครั้ง พร้อมทั้งปิดม่านในรถม้าลง
เด็กรับใช้ของเขากำลังรออยู่ที่รถ เมื่อเห็นท่าทางของคุณชายและหลิวเหิงจึงเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “คุณชายหลิวโชคดีมากที่ได้คุณชายมาเป็นสหายนะขอรับ”
“โชคดีงั้นหรือ?” เฉินโหย่วฝูส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้ารู้จักเขาเพียงผิวเผิน เมื่อได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ก็ได้กินอาหารรสเลิศ พูดคุยเรื่องความรักกับเขา มันก็ไม่เลวทีเดียว แต่น่าเสียดายที่หลังจากวันนี้ คงจะต้องเสียสหายคนนี้ไปเสียแล้ว”
ผิงอันตกตะลึงเล็กน้อย “แต่หากไม่ใช่เพราะท่าน นายอำเภอหงคงจะกลัวอำนาจของใต้เท้าสวีจนไม่ยอมรับทำคดีนี้ หากไม่ใช่เพราะมิตรภาพระหว่างกัน คุณชายก็คงไม่รีบเดินทางทั้งคืนเพื่อมาถึงที่นี่ไม่ใช่หรือขอรับ”
เฉินโหย่วฝูมองผิงอันพลางเอนหลังพิงผนังรถม้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกลับไป
จะเรียกว่าเป็นการช่วยเหลือได้หรือไม่งั้นหรือ? บางทีหากตัดสินใจด้วยมิตรภาพระหว่างทั้งสอง หากเขารู้เรื่องราวทั้งหมด และหวังดีต่อหลิวเหิงจริง ๆ ก็สมควรจะเกลี้ยกล่อมหลิวเหิงให้พอเท่านี้ดีกว่า
แต่เมื่อครอบครัวส่งข่าวให้เขาเดินทางมาที่นี่ ความช่วยเหลือที่มอบให้กับหลิวเหิง มันเกิดขึ้นจากมิตรภาพอย่างแท้จริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ใต้เท้าสวีอยู่ในตำแหน่งมานาน ได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิเป็นอย่างมาก และต้องถูกกดดันอย่างหนักจากคดีที่เกิดขึ้น เรื่องราวของหัวหน้าผู้คุมการสอบในหย่งโจวคราวนี้ แสดงให้เห็นว่าเขากำลังวางแผนต่อต้านตระกูลเฉินอยู่ กรณีที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของหลิวเหิง สำหรับตระกูลเฉินนั้น เป็นเพียงโอกาสที่ตระกูลเฉินจะนำมาใช้ต่อสู้กลับ และต้องการใช้สวีอวี้หรงมาเป็นเครื่องมือเพื่อสั่งสอนบทเรียนแก่ใต้เท้าสวีเท่านั้น
ทว่าสำหรับหลิวเหิงแล้ว โอกาสที่เพิ่มขึ้นของตระกูลเฉินมีแต่จะสร้างหายนะให้แก่ตัวเขา
ยิ่งใต้เท้าสวีต้องสูญเสียมากเท่าไร หลิวเหิงก็จะยิ่งเป็นที่เพ่งเล็งมากขึ้นเท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้นแล้วเขาก็ไม่อาจรู้ได้เช่นกันว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของหลิวเหิงจะเต็มใจต่อสู้เพื่อปกป้องเขามากน้อยเพียงใด
ทว่าเว่ยหวนก็รอบุตรชายของเขามากว่าครึ่งชีวิตแล้ว และตอนนี้ก็ยังไม่อาจมีทายาทสืบตระกูลได้อีก ก็หวังแต่ว่าเขาจะพยายามปกป้องหลิวเหิงจริง ๆ
อย่างไรเสีย ระเบิดอย่างหลิวเหิงได้ถูกจุดชนวนไฟขึ้นมาแล้ว คงไม่มีประโยชน์ที่จะมาคิดเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป
[1] เก๋อเหล่า หมายถึง ขุนนางระดับสูงที่คอยรับใช้องค์จักรพรรดิ
MANGA DISCUSSION