บทที่ 56 ถือว่าเห็นแก่ผู้หญิงด้วยกัน
มู่อวิ่นเฉิงขมวดคิ้วรับยามาจากมือของเสี่ยวอวี้ จับคางของเกาซู แล้วเตรียมจะป้ายยาบนแผลที่ใบหน้าของเธอ
“ไม่เอานะ! ไม่เอาเด็ดขาด! ทายาแดงบนหน้ามันน่าเกลียดเกินไป!” เกาซูโวยวายเสียงดังลั่น
“เงียบ แล้วก็อยู่นิ่ง ๆ ซะ”
“ไม่เอา! มันจะเป็นแผลเป็นได้นะ! ฮือออ…” เกาซูร้องไห้โฮ น้ำตาไหลพรากด้วยความตกใจ
มู่อวิ่นเฉิงแทบจะหัวเราะออกมา “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วเหรอ? รู้จักร้องไห้แล้วสินะ?”
ก่อนหน้านี้ ตอนที่พาคนทั้งโรงงานไปปิดล้อมบ้านคนอื่น ทำไมไม่กลัว? ตอนที่ถูกทำร้ายจนเป็นแบบนี้ ทำไมไม่ร้อง?
ในที่สุด เขาก็ยอมแพ้ ทายาแดงเฉพาะแผลที่คอ แต่แผลบนใบหน้า ถ้าไม่ทำอะไรเลยคงไม่ได้
“ผมมีแอลกอฮอล์ด้วยครับผู้กอง” เสี่ยวอวี้รีบบอก
มู่อวิ่นเฉิงหยิบสำลีชุบแอลกอฮอล์ พยายามเช็ดแผลบนใบหน้าเธออย่างเบามือที่สุด แต่แค่เพียงสัมผัส เธอก็ร้องออกมา ราวกับหมูโดนเชือด “โอ๊ย!!! เจ็บ…”
เขามองสำลีในมือ ก็ลังเลที่จะทำต่อ
“อดทนหน่อยสิ ถ้าแผลอักเสบขึ้นมาจะแย่กว่านี้อีกนะ!” เขาตัดสินใจไม่สบตาเธอ รีบทำแผลให้เสร็จอย่างรวดเร็ว “ถ้าไม่ยอมเจ็บทีเดียวตอนนี้ ระวังจะได้เป็นแผลเป็นจริง ๆ นะ”
เสี่ยวอวี้คิดในใจ ‘ทำไมผู้กองต้องพูดให้น่ากลัวขนาดนั้นด้วย ทำให้พี่สะใภ้กลัวจนตัวสั่นแล้ว’
มู่อวิ่นเฉิงยังคงทำหน้าเคร่งขรึม “ถ้าเป็นแผลเป็นจนหน้าเสียโฉม ถึงตอนนั้นเธอคงร้องไห้หนักกว่านี้แน่!”
“รู้แล้วน่า รู้แล้ว…” เกาซูรู้สึกว่าบางครั้งเขาก็จู้จี้ขี้บ่นเกินไป
“เรื่องแผนการของเธอ…” มู่อวิ่นเฉิงพูดต่อ “ไม่ต้องกังวลไป เสี่ยวอวี้จัดการให้เรียบร้อยแล้ว”
“หมายความว่ายังไง?” เกาซูถามอย่างงุนงง
“เรื่องฟู่จิงซือ เสี่ยวอวี้เค้นเอาความจริงจากเขาได้หมดแล้ว” การทำให้คนพูดความจริง เป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเรามาก
“อ้อ…” ในที่สุดเกาซูก็เข้าใจ
เรื่องนี้ถือว่าจบลงแล้วสินะ
“ขอบคุณนะ เสี่ยวอวี้”
เธอยิ้มให้เสี่ยวอวี้ แต่รอยยิ้มก็ทำให้แผลบนใบหน้าปวดตุบขึ้นมา จนเธอต้องร้องครวญครางออกมาเบา ๆ
“อย่ายิ้มแบบนั้นสิ” มู่อวิ่นเฉิงเอ่ย “ส่วนเรื่องตำรวจ เธอไม่ต้องกังวลไป พวกเขาจะจัดการทุกอย่างอย่างยุติธรรม”
เกาซูพยักหน้ารับอย่างวางใจ ก่อนจะยิ้มให้สามีด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม
ฝ่ายมู่อวิ่นเฉิงที่เห็นภรรยากำลังส่งสายตาหยาดเยิ้มให้ตนอยู่ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหูขึ้นมา เขาหลบสายตาก่อนจะเอ่ยชื่ออีกฝ่ายเพียงแผ่วเบา
“เกาซู… อย่าพาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายอีก”
หญิงสาวได้ยินน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใยแล้วก็พลอยรู้สึกผิดที่ทำให้สามีไม่สบายใจ
“อืม… ฉันจะพยายาม”
“เกาซู…” มู่อวิ่นเฉิงพูดเสียงอ่อนลง สีหน้าก็อ่อนโยนขึ้นมาก “ฉันมีธุระต้องจัดการ… คงอยู่ดูแลเธอตลอดเวลาไม่ได้… ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมา… ฉันคง…”
“บอกแล้วไงว่าฉันจะพยายาม วางใจเถอะ ฉันเอาตัวรอดเก่งจะตาย คุณก็เห็นแล้วนี่?”
“สัญญาสิ”
“อื้ม! ฉันสัญญา”
ระหว่างที่ยิ้มอยู่ดี ๆ เกาซูก็หน้าเจื่อนลงถนัดตา คำว่า ‘มีธุระต้องไปจัดการ’ ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเลยสักนิด ราวกับว่า เธอคือเด็กน้อยที่กำลังจะจากกับผู้ปกครองอย่างไรอย่างนั้น
แต่ในเมื่อมันคือหน้าที่ เธอจะไม่เป็นตัวถ่วงเขาแน่นอน เมื่อเขามีธุระต้องจัดการ ก็ขอให้ไปเถอะ
ดวงตาคู่สวยร้อยผ่าว เธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ พลางก้มหน้าพูดเสียงแผ่วเบา “ฉัน… ฉันจะไปส่งคุณ”
“ไม่ต้องหรอก กินข้าวที่นี่เถอะ พวกเราจะรีบไป” เขาตอบกลับ
คำพูดของเขาทำให้หัวใจเธอเจ็บแปลบ เขาคิดว่าเธอเดินช้าเป็นภาระหรือไงกัน?
ไหนบอกว่าอยากจะเดินดูโรงงานก่อน
ก็ได้… ถ้าอย่างนั้นเธอไม่ไปก็ได้
“อืม งั้นก็ตามใจ”
มู่อวิ่นเฉิงไม่ทันได้สังเกตว่าเกาซูกำลังแสดงอาการไม่พอใจอยู่จึงเดินออกไปโดยไม่คิดอะไร
เกาซูหันมาสนใจเสี่ยวอวี้ ก่อนจะยิ้ม แล้วส่งขนมที่ตนเพิ่งซื้อมาเมื่อครู่ให้อีกฝ่าย
“เสี่ยวอวี้ นี่ของเธอจ้ะ เอาไปกินบนรถนะ”
“ขอบคุณครับพี่สะใภ้” เสี่ยวอวี้รับของแล้วรีบก้าวตามมู่อวิ่นเฉิงออกไป
เธอยืนมองเงาร่างของมู่อวิ่นเฉิงที่ค่อย ๆ เลือนหายไป หยดน้ำตาที่กลั้นไว้ไม่อยู่ไหลรินอาบแก้มในที่สุด
ไม่รู้ทำไม เมื่อไม่มีเขาอยู่ เธอกลายเป็นเหมือนหญิงดุร้าย ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น กล้าเผชิญหน้ากับใครก็ได้ แต่พอเขาปรากฏตัว เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เธอกลับกลายเป็นคนอ่อนแอขึ้นมาทันที
“ฮึ่ย! ฉันต้องเข้มแข็งเอาไว้สิ!” เธอปาดน้ำตาแล้วรีบวิ่งไล่ตามทิศทางที่เขาจากไปอย่างสุดกำลัง
แต่ไม่นึกว่า ทั้งคู่จะเดินเร็วเสียจนหายวับไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว
เกาซูเดินคอตกกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารด้วยความหดหู่
มู่อวิ่นเฉิงเดินไปกับเสี่ยวอวี้อย่างรวดเร็ว พลางคุยกันไปด้วย
“เจอตัวไหม?” มู่อวิ่นเฉิงถาม
“เจอแล้วครับ แต่ผู้จัดการโรงงานไปธุระข้างนอก ยังไม่กลับมา ได้ยินว่าภรรยาของคุณก็สนิทกับผู้จัดการฝ่ายขายเป็นพิเศษ ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับรองผู้จัดการเท่าไหร่ ส่วนผู้จัดการฝ่ายขายคนนั้น ตัวเขาไม่มีปัญหาอะไร ต้นตอมาจากเป่าเจียงซานกับฟู่จิงซือ พวกเขาเป็นคนยุยงเรื่องนี้ ทำให้ภรรยาของหัวหน้าฝ่ายขายเข้าใจผิด ผมได้เล่าสถานการณ์ให้รองผู้จัดการโรงงานฟังแล้ว ตอนนี้รองผู้จัดการหมี่กำลังรอคุณอยู่ที่สำนักงานครับ”
“อืม งั้นก็ไปเดี๋ยวนี้เลย”
เสี่ยวอวี้จึงพามู่อวิ่นเฉิงไปที่ห้องรองผู้จัดการในตึกสำนักงาน
ในห้องทำงาน หญิงวัย 40 กว่า ๆ เห็นมู่อวิ่นเฉิงก็รีบลุกขึ้นยืน เธอยิ้มให้แล้วโค้งศีรษะเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ “สวัสดีค่ะ ผู้กองมู่”
มู่อวิ่นเฉิงพยักหน้ารับ ก่อนจะทักทายกลับไปอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ ผมเป็นสามีของเกาซู”
“ฉันทราบแล้วล่ะค่ะ” รองผู้จัดการโรงงานหมี่ รินน้ำชาให้เขาอย่างสุภาพ
แต่มู่อวิ่นเฉิงกลับพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ วันนี้ ผมมาในฐานะสามีของเกาซูเท่านั้น ในฐานะสามีของเธอที่รู้ว่าเธอต้องเผชิญอะไรในโรงงาน และคุณ ในฐานะผู้หญิงกัน คุณมีความคิดเห็นยังไงกับเรื่องที่เธอถูกกลั่นแกล้งครับ”
“เรื่องนี้…” รองผู้จัดการโรงงานรีบพูดว่า “มีหลายเรื่องที่พวกเราก็ไม่รู้ค่ะ…”
“จริงเหรอครับ? เธอมาที่โรงงานนี้ตั้งหลายวัน คนงานในโรงงานก่อเรื่องวุ่นวายไปแล้วมากกว่าครึ่ง ถ้าพวกคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลย นั่นแสดงว่าการบริหารจัดการโรงงานของพวกคุณมีปัญหาแล้วล่ะ ถ้าเกิดอุบัติเหตุด้านความปลอดภัยขึ้นมาล่ะ? พวกคุณที่เป็นฝ่ายบริหารจะรับผิดชอบไหวเหรอ”
รองผู้จัดการโรงงานไม่พูดอะไร เธอรู้สึกผิดไม่น้อย เพราะความจริงแล้ว เธอรู้เรื่องนี้มานานพอสมควร แต่เห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับเธอ และคิดว่าเกาซูเป็นแค่คนงานชั่วคราวเท่านั้น แถมยังสร้างปัญหาในโรงงานมากมาย รองผู้จัดการหมี่จึงไม่อยากยุ่งเท่าไรนัก
“เกาซูเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เธอก็มีความรู้สึกเหมือนพวกคุณนั่นแหละ คุณทนได้แค่ไหน ถ้าต้องโดนอย่างที่เธอโดน”
รองผู้จัดการหมี่ไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกมา นั่นเพราะเธอเพิ่งตระหนักได้จากคำพูดของมู่อวิ่นเฉิง
หากเธอเป็นเกาซู คงร้องไห้หนีกลับบ้านนอกไปแล้ว หรือไม่… ก็คงยอมตายตั้งแต่ตอนที่ถูกคนในโรงงานประณามว่าเป็นหญิงงามเมืองแล้ว
มู่อวิ่นเฉิงยังคงพูดต่อ “ที่ผมมาพูดครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อให้คุณเห็นใจเธอแค่คนเดียว แต่ผมแค่อยากจะบอกว่า ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับใคร คุณก็ไม่ควรที่จะเพิกเฉย ผมรู้ว่าคุณไม่ใช่คนไร้จิตสำนึกเหมือนคนพวกนั้นที่ร่วมกันทำร้ายเกาซู และผมก็รู้ว่าคุณเองก็สะเทือนใจที่เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ รองผู้จัดการหมี่ ผมหวังว่าคุณจะให้ความเป็นธรรมกับคนที่ถูกกระทำอย่างเกาซู ถือว่าเห็นแก่ผู้หญิงด้วยกันเถอะครับ”
MANGA DISCUSSION