บทที่ 179 ไม่ยอมให้อายุขัยสั้นลง
เวลาล่วงเลยมาถึงวันจัดงานเลี้ยง เกาซูได้รับเชิญในฐานะผู้สนับสนุนใหญ่ของหลีจวงหลิว จึงควงมู่อวิ่นเฉิงมาออกงานด้วย
สายตาของผู้คนต่างจับจ้องมาที่เธอกับสามีด้วยความตื่นตะลึง คู่สามีภรรยานักธุรกิจที่กำลังเป็นที่พูดถึง ณ ขณะนี้ ซ้ำยังกลายเป็นที่รู้จักไปพร้อมกับหลีจวงหลิว เพราะแบบสุดล้ำที่เกาซูเป็นเจ้าของไอเดีย
มูลค่าสินค้าเธอค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี ทำให้เกิดเป็นการตลาดใหม่ขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือการสร้างแบบที่มีจำนวนจำกัด แต่มีราคาที่สูงมาก ตีตลาดกลุ่มคนมีชื่อเสียงและคนมีฐานะ เอาไว้สวมใส่อวดราศีกันไปมา
“สวัสดีค่ะ คุณเกาซูเจ้าของแบรนด์ชิงชิงหรือเปล่าคะ?” หญิงวัยกลางคนที่สวมสร้อยเพชรเม็ดใหญ่เดินตรงมาหาเกาซูด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะ ฉันเกาซูเองค่ะ ส่วนคนนี้คือสามีฉันเอง เขาชื่อมู่อวิ่นเฉิง”
“คุณสองคนเหมาะสมกันมากจริง ๆ นะคะ คนหนึ่งก็สวย อีกคนก็หล่อรูปร่างดี แถมยังเป็นนักธุรกิจดาวรุ่งไฟแรงกันอีก เก่งมากเลยค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
จากนั้น คนก็ร่วมเข้ามารุมล้อมทั้งคู่เอาไว้ราวว่าทั้งสองคนก็เป็นหนึ่งในดาราดัง
เกาซูตอบคำถามทุกคนอย่างคล่องแคล่วราวกับมีประสบการณ์มาหลายสิบปี ซึ่งความเป็นจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างสนุกสนาน เกาซูรู้สึกภูมิใจที่ได้เห็นผลงานของตนเองปรากฏอยู่ในงานระดับโลกเช่นนี้ หลีจวงหลิวในชุดราตรีสีแดงเพลิงที่เธอออกแบบให้โดดเด่นสะดุดตา สร้างความฮือฮาให้กับแขกในงานไม่น้อย
“คุณเกาซู ชุดที่คุณออกแบบให้คุณจวงหลิวสวยมากเลยค่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยชม “ฉันอยากได้บ้างจังเลย”
“ขอบคุณนะคะ” เกาซูยิ้มตอบอย่างสุภาพ “ถ้าสนใจก็แวะมาที่โรงงานได้นะคะ แต่ถ้าให้ฉันออกแบบให้เป็นการส่วนตัว ราคาของชุดก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าค่ะ”
มู่อวิ่นเฉิงยืนอยู่เคียงข้างภรรยาตลอดเวลา เขารู้สึกภูมิใจในตัวเธอเป็นอย่างมาก จากเด็กสาวที่เคยโดนผู้คนดูถูกว่าเป็นหญิงบ้านนอก วันนี้เธอได้กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็มักถูกต้อนรับเป็นอย่างดี
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น หลีจวงหลิวก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับผู้กำกับชื่อดังหลายคน
“คุณเกาซูคะ” หลีจวงหลิวยิ้มสดใส “นี่คือผู้กำกับหวังและผู้กำกับเฉินค่ะ พวกเขาสนใจอยากให้ฉันใส่ชุดของคุณถ่ายแบบลงนิตยาสารสัมภาษณ์ด้วยค่ะ”
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
ทั้งสองทักทายพร้อมกัน
“สวัสดีค่ะ” เกาซูยิ้มตอบ
“คุณเกาซู ผมชื่นชมในฝีมือของคุณมากเลยครับ” ผู้กำกับหวังกล่าว “ชุดที่คุณออกแบบให้คุณจวงหลิวคืนนี้ สวยงามและมีเอกลักษณ์มาก”
“ใช่ค่ะ” หลีจวงหลิวเสริม “ทุกครั้งที่ใส่ชุดของคุณเกาซู ฉันรู้สึกมั่นใจมาก ๆ เลย แถมยังได้รับคำชมไม่ขาดสายอีกต่างหาก”
เกาซูรู้สึกซาบซึ้งใจ “ขอบคุณมากนะคะ ที่ให้โอกาสฉัน”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ ฉันต่างหากที่กำลังจะขอร้องให้คุณมอบโอกาสให้” หลีจวงหลิวเสนอ “ฉันกำลังจะถ่ายหนังเรื่องใหม่ อยากให้คุณเป็นคนออกแบบเครื่องแต่งกายให้จะได้ไหมคะ”
“ได้สิคะ” เกาซูตอบรับทันที “ฉันยินดีมากเลย” หากชุดที่เธอออกไปแบบถูกใจคนที่ชมภาพยนต์ ชุดเหล่านั้นก็จะยิ่งขายได้
มู่อวิ่นเฉิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ้มอย่างภูมิใจในตัวภรรยา
หลังจากคุยธุรกิจกันพักใหญ่แล้ว หลีจวงหลิวก็ขอแยกตัวไปคุยกับเกาซูตามลำพัง
“คุณเกาซูคะ” หลีจวงหลิวพูดเสียงนุ่ม “จริง ๆ แล้ว ฉันอยากขอบคุณคุณมาก ๆ เลยนะคะ ไม่รู้ต้องพูดอีกกี่ครั้งถึงจะพอ”
“เรื่องอะไรเหรอคะ” เกาซูถามอย่างสงสัย
“ตั้งแต่ได้ใส่ชุดของคุณ ชีวิตฉันก็เปลี่ยนไปมากเลย” หลีจวงหลิวยิ้มอย่างจริงใจ “คุณไม่เคยมองฉันเป็นแค่ดารา แต่คุณเข้าใจความต้องการของฉัน ออกแบบชุดที่ทำให้ฉันรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง และยังโดดเด่นจนคนชอบ”
“ฉันแค่ทำในสิ่งที่ฉันรัก และดีใจที่มันตรงกับความต้องการของคุณค่ะ เราสองคนพึ่งพาอาศัยกัน ตั้งแต่ที่คุณใส่ชุดของฉัน กิจการของฉันก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ”
หลีจวงหลิวจับมือเกาซู “งั้นเรามาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเถอะนะคะ ไม่ใช่แค่นักธุรกิจกับดารา แต่เป็นเพื่อนที่เข้าใจกัน แค่มองตาก็รู้ใจ…”
“ยินดีมากค่ะ” เกาซูยิ้มตอบ
งานเลี้ยงดำเนินต่อไป เมื่อถึงเวลากลับบ้าน หลีจวงหลิวยังอุตส่าห์มาส่งถึงรถ
จากนั้น เกาซูและมู่อวิ่นเฉิงก็ขับรถกลับมาพักที่บ้านใจกลางเมืองหลวง
มู่อวิ่นเฉิงสังเกตเห็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่ยังคงติดอยู่บนใบหน้าของภรรยาก็อดท้วงไม่ได้
“ดูมีความสุขจังเลยนะ” เขาทักขณะที่เกาซูกำลังถอดรองเท้าส้นสูง
“ใช่แล้วล่ะ” เกาซูตอบพลางทิ้งตัวลงบนโซฟา “วันนี้มันเหมือนความฝันเลย… จากเด็กบ้านนอกที่ไม่มีใครเหลียวแล วันนี้กลับมีคนมารุมล้อมขอถ่ายรูป ขอนามบัตร”
มู่อวิ่นเฉิงนั่งลงข้าง ๆ ภรรยา “นั่นเพราะความสามารถของเธอเองนั่นล่ะ”
“แต่ถ้าไม่มีคุณ ฉันคงไม่มีวันนี้” เกาซูเอนศีรษะพิงไหล่สามี “ถ้าตอนนั้นคุณปฏิเสธฉัน… ฉันก็คงไม่มีแรงผลักดันให้ทำเรื่องแบบนี้…”
“ฉันดีใจที่เธอไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ” มู่อวิ่นเฉิงยิ้ม “ตอนนี้แบรนด์ของเธอกำลังจะไปไกลกว่าที่คิด โดยเฉพาะหลังจากที่คุณจวงหลิวชวนไปออกแบบชุดให้หนังเรื่องใหม่”
“อย่าพูดว่า ‘ของฉัน’ คนเดียวสิ ของพวกเราต่างหาก อย่าลืมว่าคุณก็มีส่วนที่ทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างแบบนี้”
“อืม… โรงงาน ‘ของเรา’ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว จากนี้มาช่วยกันทำให้มันดีขึ้นเถอะ”
“นั่นสิ” เกาซูพยักหน้า “ฉันต้องรีบกลับไปดูแบบที่โรงงานพรุ่งนี้แล้ว ต้องเตรียมงานหลายอย่าง…”
เห็นภรรยาเอาแต่คิดเรื่องงานแล้ว มู่อวิ่นเฉิงก็หยิกแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ
“เดี๋ยวก่อนสิ” มู่อวิ่นเฉิงจับมือภรรยาไว้ “พักผ่อนก่อน เธอเหนื่อยมามากแล้ว เรื่องงานค่อยคิดกันพรุ่งนี้”
เกาซูหัวเราะเบา ๆ “ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษที พอคิดแล้วมันอดตื่นเต้นไม่ได้น่ะ”
เช้าวันต่อมา
เกาซูและมู่อวิ่นเฉิงขับรถดินทางกลับโรงงานจากเมืองหลวง
ระหว่างทางเกาซูหลับตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่ลงจากรถก็ยังคงงัวเงียอยู่
มู่อวิ่นเฉิงเห็นอาการของเธอแล้วอดห่วงไม่ได้
“ไหวไหม ฉันว่าเธอนอนพักอีกสองสามสี่วันค่อยกลับไปทำงานจะดีกว่านะ”
เกาซูส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันไหว แต่ช่วงนี้รู้สึกเพลีย ๆ นิดหน่อยน่ะ”
มู่อวิ่นเฉิงขมวดคิ้วแน่น เขาจับมือภรรยามานั่งลงที่โซฟา ก่อนจะจ้องลึกเข้าในดวงตาอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“ฉันบอกให้พักก็เถอะ อย่าดื้อนักเลย ช่วงนี้เธอทำงานหนักมาก เดี๋ยวก็ล้มป่วยไปหรอก”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ล้มป่วย’ เกาซูก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ในทันที
ความทรงจำของชาติที่แล้วฉายภาพของตนเองที่ทำงานอย่างหนักหน่วงไม่คิดชีวิตผุดขึ้นมาให้รู้สึกสะท้อนใจ เป็นเพราะความทะเยอทะยานและความต้องการพิสูจน์ตนเอง ทำให้เธอไม่เคยสนใจร่างกายเลยสักนิด
เธอเพียรโหมงานต่อเนื่องจนสุขภาพเริ่มถดถอยและทรุดลงอย่างรวดเร็ว ร่างกายต่อต้านด้วยการป่วยหนักในที่สุด
แต่เวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เธอไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป มีมู่อวิ่นเฉิงที่รักและเป็นห่วงเธอในทุก ๆ วัน คอยดูแลเอาใจใส่อยู่เคียงข้าง มีครอบครัวที่อบอุ่นและพร้อมช่วยเหลือ ไม่ใช่ครอบครัวที่เคยเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวและเอาเปรียบเธอ
มีจงอี้และเกาเริ่น ลูกน้อยที่น่ารัก จากนี้ไป เธอตั้งมั่นในใจอย่างแน่วแน่ว่า จะไม่ยอมให้ตัวเองต้องอายุขัยสั้นลงอีกแล้ว เธอจะดูแลตัวเองให้ดี เพื่อจะได้ใช้ชีวิตที่เหลือกับคนที่เธอรักและคนที่รักเธอไปนาน ๆ
เกาซูหันไปมองมู่อวิ่นเฉิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขา ก่อนจะพูดขึ้น “อื้ม… ขอโทษนะที่ฉันดื้อกับคุณมาตลอด วันนี้ฉันจะพักผ่อนตามที่คุณบอก คุณเองก็พักด้วยกันเถอะ”
MANGA DISCUSSION