บทที่ 29 น้องเจ็ดยังไม่ตาย
พวกเขาลงจากภูเขามาอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก พุ่งเข้ามาทางประตูเรือน ด้านหนึ่งวางของลง ด้านหนึ่งร้องเข้าไปในเรือน “มีคนอยู่ไหม? ข้างในมีคนอยู่หรือเปล่า?”
เย่อวี๋หรานได้ยินเสียงก็ให้หลิวซื่อที่ช่วยงานอยู่ออกไปดู
ส่วนหลินซื่อไม่กล้าขยับ ยังคงเด็ดผักอยู่ข้าง ๆ ต่อไป
จูต้า จูเอ้อร์ จูซาน จูอู่เห็นหลิวซื่อก็ถามนางว่าพวกท่านแม่อยู่ที่ไหน พวกเขาหยิบสิ่งของในเรือนที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้ก็จะรีบออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ยังทันอยู่หรือไม่
“ไม่ต้องไปแล้ว ท่านแม่จัดการเรียบร้อยแล้ว” หลิวซื่อกล่าวเสียงเบา
“เรียบร้อยแล้ว? น้องเจ็ดของข้าล่ะ? ศพล่ะ?”
“น้องเจ็ดยังไม่ตาย เพียงแต่ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน ตอนนี้นอนพักอยู่ในเรือน ท่านหมอยังไม่ได้หามกลับมา” หลิวซื่อตอบ “เสี่ยวเม่ยเฝ้าอยู่ทางนั้น รอให้น้องเจ็ดฟื้นขึ้นมากินยา ให้ท่านหมอดูอาการอีกครั้ง ถ้าไม่มีปัญหาอะไรค่อยหามกลับมา”
เมื่อได้ยินว่าจูชียังไม่ตาย เหล่าพี่น้องถึงได้ถอนหายใจออกมา แต่ละคนถ้าไม่บ่นว่าปวดขาก็ร้องว่าปวดแขน
“ตกใจหมด!” จูซานปาดเหงื่อทั่วร่าง นั่งลงบนพื้น “แขนข้าจะหลุดอยู่แล้ว”
“ขาข้าก็เหมือนกัน รู้สึกเหมือนจะไม่ใช่ของข้าแล้ว พี่รอง ท่านช่วยดูให้ข้าหน่อย ไหล่ข้าหนังหลุดไปแล้วใช่ไหม?”
“ช่วยดูหลังให้ข้าด้วย ปวดร้าวไปหมดแล้ว”
“ไอ้หยา ขาข้าไม่รู้ว่าถูกบาดเป็นแผลตั้งแต่เมื่อไหร่”
……
เย่อวี๋หรานได้ยินเสียงพี่น้องสกุลจูดังเข้ามาในห้องครัวก็ร้องออกไปว่า “พวกเจ้าไปเดินรอบเรือนสักหลายรอบก่อนค่อยมานั่งพัก ระวังขาได้รับบาดเจ็บ”
“เอาจริงหรือท่านแม่? พวกข้าเพิ่งวิ่งลงมาจากบนเขา ท่านยังจะให้พวกข้าไปเดินอีก?” จูซานยื่นศีรษะเข้าไปในครัว ครั้นได้กลิ่นหอมจากข้างในก็ถามเย่อวี๋หรานอย่างหน้าไม่อายว่าทำของอร่อยกินใช่หรือไม่
“ให้พวกเจ้าเดินก็เดิน พูดเหลวไหลอะไรเยอะแยะ หรือจะให้ข้าไปจับตามองพวกเจ้าด้วยตัวเอง?”
จูซานหดคอกลับไป “ขอรับ ไปแล้วขอรับ”
เขาถอยกลับไปในลานเรือน เรียกพี่น้องทั้งหลายให้ลุกขึ้น บอกว่าท่านแม่สั่งมา ต้องเดินเท่านั้น ไม่เดินก็ไม่ต้องกินข้าวเย็น
ครั้นได้ยินเสียงโหวกเหวกจากในลานเรือน เย่อวี๋หรานก็ส่ายศีรษะอย่างจนใจ แม้ภูเขาไท่ตังจะอยู่ใกล้กับหมู่บ้านสกุลจู แต่วิ่งมาระยะทางขนาดนั้น คนผู้หนึ่งก็ยากจะรับไหว
นางให้พวกเขาเดินหลายรอบค่อยกลับมาพักผ่อนก็เพื่อตัวพวกเขาเอง ชาติที่แล้วตอนเรียนวิชาพลศึกษา ทุกครั้งหลังวิ่งเสร็จคุณครูก็จะให้นักเรียนเดินสักหลายรอบเพื่อให้ร่างกายค่อย ๆ ผ่อนคลายลงจากการออกกำลังอย่างหนักหน่วง หลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ
หากลองใช้แก้วมาอุปมาอุปมัยแทนร่างกายคน ปกติแล้วเราจะเติมน้ำร้อนลงในแก้วที่ใส่น้ำเย็น โดยค่อย ๆ ทำอย่างไม่รีบร้อน เป็นกระบวนการเปลี่ยนจากเย็นเป็นอุ่น เปลี่ยนจากอุ่นเป็นร้อน โดยทั่วไปแก้วจะไม่เกิดปัญหาอะไร แต่ถ้าเติมน้ำเดือดจัดลงไปในแก้วที่เพิ่งเอาออกมาจากตู้เย็น แก้วก็อาจทนทานต่ออุณหภูมิร้อนจัดกับเย็นจัดไม่ไหวจนกระทั่งแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ร่างกายคนเราก็ดุจเดียวกัน จำเป็นต้องมีกระบวนการปรับตัว
สิ่งที่เย่อวี๋หรานกำลังทำอยู่ก็คือขนมเปี๊ยะมันเทศ[1] นางเอามันเทศไปนึ่งในหม้อจนสุก จากนั้นก็ผสมธัญพืชกับแป้งลงไป ปั้นเป็นก้อนกลมขนาดเล็ก ๆ กดเป็นแผ่นกลมแบน แล้วเอาไปนึ่งในหม้ออีกครั้ง
ปลาที่จูซานนำกลับมาด้วยคราวก่อนถูกนางเอามาผ่าครึ่ง
ปลาแม่น้ำไม่เหมือนปลาทะเล นอกจากก้างหลักแล้วยังมีก้างเล็ก ๆ อีกจำนวนมาก แต่เรื่องนี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเย่อวี๋หราน นางที่คุ้นเคยกับโครงสร้างภายในของปลาเป็นอย่างดีใช้ความพยายามเล็กน้อยก็ใช้ซี่ไม้ไผ่คัดเอาก้างปลาออกมาจนหมด
จากนั้นนำปลาวางลงบนจาน เอาไปนึ่งในหม้อจนสุก
จากนั้นเอาเนื้อปลาขึ้นมาบด ผสมกับหัวไชเท้าหั่นฝอยและมันเทศบด แล้วปั้นเป็นก้อนกลมขนาดเท่านิ้วโป้ง
ปั้นพลางนับพลาง ทำให้แน่ใจว่าสมาชิกในครอบครัวได้กินกันทุกคน ถึงเวลามาจะได้แบ่งกันอย่างลงตัว นางไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งเพียงเพราะแบ่งอาหารได้ไม่เท่าเทียมกัน
ลูกชิ้นผสมเนื้อปลาประเภทนี้ใช้น้ำมันทอดสักหน่อยก็เสร็จแล้ว น่าเสียดายที่ในเรือนไม่มีน้ำมัน เย่อวี๋หรานได้แต่เอาเครื่องในปลาที่เหลือจากก่อนหน้านี้ออกมาทาให้ทั่วหม้อ จากนั้นนำเครื่องเคียงลงไปผัด เติมน้ำเย็นลงไปต้มเป็นน้ำแกง
หลังน้ำเดือดก็โยนลูกชิ้นปลาลงไปต้มจนสุก
เมื่อหลี่ซื่อกับจูซื่อกลับมาถึงประตูหน้าเรือนก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อปลาลอยออกมาถึงในลานเรือน
จูซื่ออึ้งไปเล็กน้อย “ไม่ใช่พูดว่าน้องเจ็ดตายแล้วหรือ ทำไมท่านแม่ยังมีอารมณ์มาทำกับข้าวล่ะ?”
เพราะนอกจากมารดาของเขาแล้ว เขาก็นึกไม่ออกว่ายังมีใครฝีมือทำอาหารสูงส่งเท่านี้อีก แค่ได้กลิ่นก็ทำให้คนน้ำลายสอ
หลี่ซื่อกลืนน้ำลาย “ไม่รู้ อาจไม่ตายก็ได้”
ครั้นเข้าไปในลานเรือนก็เห็นพี่น้องหลายคนกำลังยื่นคอเข้าไปในครัว ท่าทางตั้งตารอคอย มองไม่เห็นความเศร้าโศกสักนิด
“พี่สาม เจ้าเจ็ดไม่เป็นไรใช่ไหม?” จูซื่อวางสิ่งของลง เดินไปถึงข้างกายจูซานแล้วถามขึ้นมา
จูซานถูกดึงเบา ๆ ก็พูดว่า “ใครว่าไม่เป็นไร? ยังนอนอยู่ในเรือนท่านหมออยู่เลย เสี่ยวเม่ยคอยดูแลอยู่ ยังไม่ได้สติแต่ว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิต วางใจเถอะ”
“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไม่ใช่บอกว่าเจ้าเจ็ดถูกคนตีตายแล้วหรือ?”
หลี่ซื่อเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ลากเก้าอี้มานั่งฟังจูซานอธิบายด้วยกันกับจูซื่อ
พี่น้องคนอื่นถามจากหลิวซื่อจนทราบเรื่องชัดเจนแล้ว ที่แท้มารดาของพวกเขาไม่รอพวกเขากลับมาก็คว้ามีดหั่นผักบุกไปเอาเรื่องถึงเรือนจูถงฮว่าตามลำพังแล้ว
“เรื่องราวก็เป็นแบบนี้ ตอนนี้จูถงฮว่ารับปากแล้วว่าเขาจะรับผิดชอบค่ารักษาทั้งหมดของเจ้าเจ็ด” จูซานพูด “แต่เจ้าก็อย่าคาดหวังมากว่าจูถงฮว่าจะมีเงินทองมากมายขนาดนั้น ครอบครัวเขาเป็นอย่างไรพวกเราก็รู้กันอยู่ ข้าว่าเจตนาของท่านแม่ก็คือให้พวกเราจ่ายกันเองไปก่อน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม เจ้าเจ็ดก็เป็นลูกชายของท่านแม่ เห็นคนจะตายแล้วยังไม่ช่วยก็คงไม่ได้”
พูดตามตรงแล้ว ตอนที่เขาได้ยินคำพูดของท่านแม่จากปากของหลิวซื่อ ส่วนลึกในจิตใจของจูซานก็รู้สึกตื้นตันอยู่บ้าง
เจ้าเจ็ดคนทึ่มกลายเป็นแบบนั้น ท่านแม่ก็ยังจะช่วย ในอนาคตถ้าพวกเขาพี่น้องคนไหนเกิดเรื่องขึ้นมา ท่านแม่ยังจะไม่ช่วยหรือ?
เฮอะ! ต่อไปใครกล้าพูดว่าท่านแม่ของพวกเขาไม่ดี เขาก็จะไม่ไว้หน้าคนผู้นั้น
“ท่านแม่พูดแบบนั้นจริง ๆ?” จูซื่อมีสีหน้าหวั่นไหว
หลี่ซื่อกะพริบตาปริบ และพูดว่า “แปลกตรงไหน? ท่านแม่ก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ? ครอบครัวพวกเราใครถูกรังแกแล้วท่านแม่ไม่ไปเอาคืนให้บ้าง?”
จูซื่อได้แต่ครุ่นคิด แน่ใจหรือว่านั่นคือการแก้แค้นแทนพวกเขา ไม่ใช่ว่าบุกไปทวงผลประโยชน์ถึงเรือนผู้อื่น?
แต่คำพูดประดานี้ เขาย่อมไม่พูดขึ้นมาต่อหน้าภรรยา ลูกชายที่ไหนจะเอาข้อเสียของมารดามาเปิดโปงกัน?
สรุปได้ว่า วาจานั้นของเย่อวี๋หรานยังคงทำให้พวกเขาตื้นตันใจไม่มากก็น้อย
จูซานเอ่ยว่า “แน่นอน พี่สะใภ้รองไม่โกหกพวกเราหรอก เรื่องพวกนี้รอสักหน่อยไปถามเสี่ยวเม่ยหรือน้องสะใภ้ห้าดูก็รู้แล้ว โกหกกันไม่ได้หรอก”
“แต่ว่า…” จูซื่อมองคนในลานเรือนด้วยท่าทางลังเล ดึงจูซานมาด้านข้างไม่ให้ภรรยาของเขาได้ยิน แล้วกระซิบเสียงเบาข้างหูจูซานว่า “เรื่องของน้องหกนี่มันยังไงกัน?”
สีหน้าจูซานเปลี่ยนไปเล็กน้อย “คำพูดนี้ ข้าจะถือว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“พี่สาม ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น ข้าก็แค่…แค่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง”
“ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ คำพูดนี้ก็ปล่อยให้มันย่อยหายไปในท้องของเจ้า ได้ยินแล้วใช่ไหม? เจ้าลืมคำพูดของท่านแม่ในตอนนั้นไปแล้วหรือ? ต่อไปให้ทำเหมือนไม่มีลูกชายคนนี้ ต่อหน้าเมียเจ้าก็ปิดปากให้สนิท ระวังอย่าให้ท่านแม่รู้เข้า ทุกคนแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหวหรอกนะ”
หลี่ซื่อเหลือบมองมาทางนี้ น่าเสียดายที่สามีนางกับพี่สามลดเสียงเบาไม่ให้นางได้ยิน นางย่อมไม่ได้ยินอยู่แล้ว
“ทำตัวลึกลับจริง ไม่รู้ว่าทำอะไรกัน มีเรื่องที่ข้าฟังด้วยไม่ได้หรือ?”
“ฮึ! ไม่ฟังก็ไม่ฟัง”
[1] ขนมเปี๊ยะมันเทศ (ทำได้ทั้งแบบทอดและนึ่ง ในภาพเป็นแบบทอด)
Source : https://www.xiachufang.com/recipe/103694991/
MANGA DISCUSSION