บทที่ 25 สั่นสะท้าน
ช่างเถอะ หลังจากจูเหล่าโถวพาเจ้าของร่างเดิมกลับมายังหมู่บ้านสกุลจูก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนสกุลจูมาก่อน
จูเหล่าโถวในฐานะพี่ชายคนโตเดิมทีมีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูบิดามารดา แต่ว่าเจ้าของร่างเดิมออกอาละวาด ใช้ลูกในท้องแย่งชิงผู้ชายมาได้ก็บีบคั้นให้จูเหล่าโถวแตกหักกับบิดามารดา แยกเรือนออกมาโดยไม่สนใจน้องชายน้องสาวทั้งสามคนที่อยู่ในช่วงเจรจางานมงคล กลายเป็น ‘เรื่องตลก’ ที่ลือกันไปทั่วหมู่บ้าน
ในยุคสมัยนี้ ถือธรรมเนียมปฏิบัติว่าหากบิดามารดายังมีชีวิตอยู่จะไม่แยกเรือนออกมา
เจ้าของร่างเดิมไม่สนใจพ่อแม่สามี คิดแต่จะแยกเรือนออกมาให้ได้ นี่ไม่ใช่การ ‘อกตัญญู’ หรอกหรือ?
แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนั้นเจ้าของร่างเดิมค่อนข้างโชคดี ภรรยาน้องชายสองคนแต่งเข้าบ้านมา มีแค่นางคนเดียวที่ให้กำเนิดลูกชาย นับว่าได้เปรียบกว่าคนอื่น
โดยเฉพาะตอนนั้น จูซานเสิ่นคลอดลูกสาวออกมาติดต่อกันสองคน อัดอั้นใจจนเกือบไปกระโดดน้ำตายเสียแล้ว
สิ่งที่ทำให้จูซานเสิ่นกับจูซื่อเสิ่นเจ็บแค้นใจไปครึ่งค่อนชีวิตก็คือ ต่อให้เอาลูก ๆ ของพวกนางสองคนมาเรียงกันตามลำดับอาวุโส ก็ยังมีจำนวนน้อยกว่าลูกที่เย่อวี๋หรานคลอดออกมาคนเดียวเสียอีก
สะใภ้สามมีลูกสามคน ลูกสาวคนโตจูฮวาฮวา อยู่อันดับหนึ่ง ลูกสาวคนรองจูเจาตี้ อยู่อันดับสาม ลูกชายจูอู่จ้วง อยู่อันดับห้า ส่วนสะใภ้สี่คลอดลูกสาวหนึ่งและลูกชายหนึ่ง ลูกสาวจูเจาหนาน อยู่อันดับสอง ส่วนลูกชายจูซื่อหู่ อยู่อันดับสี่
ลูกของทั้งสองคนรวมกันแล้วก็ยังไม่ถึงเจ็ด เจ้าของร่างเดิมคนเดียวคลอดออกมาแปดคน ทั้งยังเป็นลูกชายถึงเจ็ดคน
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลูกชายคนเล็กเป็นคนโง่งมผู้หนึ่ง พอให้พวกนางโงหัวขึ้นมาได้บ้าง ก็ไม่รู้ว่าจะต้องคับอกคับใจจนมีสภาพแบบไหน
ครั้นย้อนนึกถึงตรงนี้ เย่อวี๋หรานก็ขานรับ ‘อื้ม’ เบา ๆ แล้วเลียนแบบท่าทางเจ้าของร่างเดิม ให้คนช่วยหามจูชีขึ้นมาด้วยท่าทางเย็นชา
จูอู่จ้วงกับจูซื่อหู่ไม่กล้าส่งเสียง เดินเข้ามาช่วยหามคนอย่างว่าง่าย คนหนึ่งหามศีรษะกับไหล่ของจูชี อีกคนหามเท้าของจูชี แบกไปที่เรือนของหมอชาวบ้าน
และนั่นก็คือตอนที่จูถงฮว่าอยู่หน้าเรือนหมอชาวบ้าน ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า ‘พ่อโก่วหวา เมียจูเหล่าโถวมาแล้ว!’ นั่นเอง
หมอชาวบ้านเห็นคนกลุ่มใหญ่ใกล้เข้ามาก็ไม่กล้าเปิดประตู รีบไปยืนอยู่ตรงกำแพงเรือนที่สูงไม่ถึงเอว ตะโกนออกไปข้างนอกว่า “พ่อจูโก่วหวาไม่ได้อยู่ที่นี่”
ในมือเย่อวี๋หรานถือมีดหั่นผัก เดินนำอยู่หน้าสุด และมองมาอย่างเย็นชา “เดี๋ยวข้าค่อยไปหาพ่อจูโก่วหวา แต่ตอนนี้ข้ามาหาเจ้า”
หมอชาวบ้านมองมีดในมือนางก็แทบจะแข้งขาอ่อน “มา มาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
ถ้ารู้ก่อนว่าผู้ที่จูถงฮว่าไปมีเรื่องด้วยคือหญิงเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นี้ แม้แต่ขี้เถ้ากำเดียวเขาก็คงจะไม่ให้จูถงฮว่าแล้ว จะได้ไม่ชักนำหายนะมาสู่ตนเอง
“เฮอะ! เจ้าทึ่มสกุลจูที่พวกเจ้าเรียกกันหรือก็คือจูชีลูกข้าวาสนาดีตายยาก เขายังไม่ตาย รบกวนท่านช่วยดูอาการให้หน่อยเถอะ” เนื้อหายังนับว่าสุภาพ แต่น้ำเสียงนี่สิ ไม่คล้ายมาหาหมอ แต่เหมือนมาหาเรื่องกันถึงเรือนเสียมากกว่า
เย่อวี๋หรานปวดศีรษะ นิสัยของเจ้าของร่างเดิมเป็นแบบนี้ ไม่แปลกเลยที่ไปล่วงเกินคนทั้งหมู่บ้าน
หรือนางไม่กลัวว่าหมอชาวบ้านจะไม่รักษาคนในครอบครัวนาง? หรือเจ้าของร่างเดิมคิดว่าคนในครอบครัวจะไม่เจ็บป่วย?
ครั้นนึกถึงตอนที่เจ้าของร่างเดิมล้มฟาดพื้นก็ไม่ได้ถูกหามออกมาหาหมอ เย่อวี๋หรานจึงคิดว่าความจริงแล้วน่าจะเป็นเพราะคนสกุลจูไม่มีเงินมาหาหมอกระมัง?
ยังดีที่หมอชาวบ้านคนนี้ค่อนข้างขี้ขลาด ดูเหมือนจะกลัวเจ้าของร่างเดิมมากทีเดียว ครั้นได้ยินว่ามาให้ตรวจอาการก็รีบให้คนมาหามคนเจ็บเข้าไปข้างใน
เย่อวี๋หรานเกรงว่าจะทำให้เขากลัวจึงไม่ได้ตามเข้าไป เรียกให้จูปาเม่ยเข้าไปแทน
“นั่นเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเจ้า จำความรู้สึกตอนที่ได้ยินข่าวการตายของเขาไว้ให้ดี ความผูกพันทางสายเลือดไม่ใช่สิ่งที่จะตัดขาดกันได้ ถ้าไม่อยากเสียใจทีหลังก็ดูแลพี่เจ็ดของเจ้าให้ดี”
มือของจูปาเม่ยถือมีดทำครัว ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่ แต่ก็ขานรับเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินเข้าไป
“จูซื่อหู่ จูอู่จ้วง เมียเจ้ารอง และเมียเจ้าห้า ไปกับข้า” เย่อวี๋หรานหันมาพาคนอื่น ๆ จากไป
สาเหตุที่นางพาจูซื่อหู่กับจูอู่จ้วงมาด้วยย่อมเป็นเพราะว่าในกลุ่มของนางไม่มีผู้ชาย ถ้าคิดจะไปถกเหตุผลกับผู้อื่น ก่อนอื่นกำปั้นของเจ้าต้องแข็งพอ นางกลัวว่าพาผู้หญิงไปแค่สองคน เมื่อถึงเวลานั้นแม้แต่ประตูเรือนผู้อื่นก็เข้าไปไม่ได้
นางไม่ได้จะให้เด็กสองคนนี้ทำอะไร แค่ตามอยู่ด้านหลังนางทำท่าขึงขังก็พอแล้ว
จูซื่อหู่และจูอู่จ้วงได้แต่นิ่งไปพลางครุ่นคิด น่ากลัวชะมัด ท่านป้าคิดจะทำอะไร?!
ในบรรดาคนมุง คนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจูถงฮว่าเดินอ้อมไปที่เรือนของเขาก่อนแล้ว และกระซิบบอกเขาว่า เจ้าเด็กทึ่มสกุลจูยังไม่ตาย แต่ว่าหญิงเฒ่าเจ้าเล่ห์พาคนบุกมาทางนี้แล้ว
“เจ้าดูแลตัวเองด้วย อย่าบอกใครว่าข้ามาที่นี่”
กล่าวจบก็รีบข้ามกำแพงเรือนออกไปด้วยความกลัวว่าจะมีคนมาเห็นเข้า
เมื่อได้ยินว่าเจ้าเด็กทึ่มสกุลจูยังไม่ตาย จูถงฮว่ากับภรรยาก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน แต่ครั้นได้ยินว่าหญิงเฒ่าเจ้าเล่ห์กำลังมาแล้วก็ยังหวาดกลัวมากอยู่ดี
“เมียเอ๋ย ไม่อย่างนั้น เจ้าก็พาลูกไปหลบที่เรือนพี่ใหญ่ของข้าเถอะ?”
ภรรยาของเขาสะบัดศีรษะรัวราวกับกลองป๋องแป๋ง “ไม่ไป พี่ใหญ่ของเจ้าเห็นข้าขัดตามานานแล้ว ถ้าตอนนี้ข้าพาโก่วหวาไป เขาต้องไม่ยอมเปิดประตูให้ข้าแน่ เจ้าคิดว่าเจ้ากลัวหญิงเฒ่าเจ้าเล่ห์ แล้วพี่ใหญ่เจ้าจะไม่กลัวอย่างนั้นหรือ?”
จูถงฮว่าทอดถอนใจ
แต่ว่าสิ่งที่จะต้องเกิดก็ย่อมเกิดขึ้นในที่สุด บัดนี้เย่อวี๋หรานยกพลบุกมาถึงหน้าประตูเรือนของเขาแล้ว
เย่อวี๋หรานพยักพเยิด สั่งความว่า “ซื่อหู่ อู่จ้วง เคาะประตู”
จูซื่อหู่กับจูอู่จ้วงมองมีดในมือของท่านป้า รู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง
ปัง ๆๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ใจของจูถงฮว่าก็พลันกระดอนขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ
“เปิดประตู!” เย่อวี๋หรานขัดใจที่จูซื่อหู่กับจูอู่จ้วงเคาะประตูเสียงเบา ความเดือดดาลสักน้อยก็ไม่สำแดงออกมา จึงเอ่ยขึ้นเสียงเย็น
จริง ๆ เลย น้องชายสองคนของจูเหล่าโถวเลี้ยงลูกชายมาอย่างไรกันแน่ แต่ละคนถึงได้เลี้ยงออกมาเป็นนกกระทาแบบนี้?
ได้ยินเสียงนี้ จูถงฮว่าก็ตัวสั่น “ท่าน…ท่านป้า…”
เขาเปิดประตูเรือนเดินออกมาตัวสั่นเทิ้ม
แต่เขาไม่กล้าเปิดประตูใหญ่ เพียงยืนอยู่ในลานบ้าน ถามเย่อวี๋หรานที่ยืนอยู่ข้างนอกว่า “ท่านป้า ท่านมาทำไมหรือ?”
หมู่บ้านสกุลจูยากจน กำแพงเรือนต่ำเตี้ย ล้วนสร้างขึ้นจากดินผสมกรวดหรือกิ่งไม้ผสมฟางข้าว ต่อให้สูงแค่ไหนก็ไม่เกินระดับคอ
หลังบิดามารดาล่วงลับ จูถงฮว่าก็ถูกพี่ชายไล่ออกมา ตอนที่แยกเรือนยังถูกเอารัดเอาเปรียบไม่น้อย กำแพงดินนี้เขาเป็นคนค่อย ๆ ซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ภายหลังก็ต้องไม่สูงอยู่แล้ว สูงกว่าระดับเอวขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ แม้จะมีกำแพงคั่น แต่ความจริงแล้วพวกเขากำลังคุยกันต่อหน้า
เย่อวี๋หรานจ้องเขาเขม็ง กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “เจ้าจะเปิดประตูเชิญข้าเข้าไป หรือจะให้ข้าพังประตูเข้าไปเอง?”
การต่อสู้ทั้งเชิงรุกและเชิงรับสำคัญที่การโจมตีจิตใจ ในเมื่อเย่อวี๋หรานคิดจะยืม ‘ชื่อเสียง’ ของเจ้าของร่างเดิมเพื่อเคาะภูเตือนพยัคฆ์ จึงทำให้ทุกคนตระหนักถึงการดำรงอยู่ของนางอีกครั้ง และนางไม่มีทางที่จะใจอ่อน
ไม่ว่าจะเพื่อจูชีหรือเพื่ออนาคตของตัวเอง เย่อวี๋หรานคิดจะใช้เรื่องนี้เพาะสร้าง ‘บารมี’ ของนางในหมู่บ้านสกุลจูขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ทำให้ทุกคนรับรู้ว่าเย่อวี๋หรานไม่ใช่คนที่จะมารังแกได้ง่าย ๆ หากรังแกคนที่นางปกป้องก็เท่ากับรังแกนาง
เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไปนางคิดจะทำอะไร คนในหมู่บ้านสกุลจูก็จะไม่คาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้า หรือแอบทำอะไรตุกติกลับหลัง
จูถงฮว่ากลืนน้ำลาย มองมีดหั่นผักในมือใครบางคน และตระหนักว่านี่เป็นช่วงเวลาวิกฤต “ท่านป้า พวกเราคุยกันดี ๆ เถิด …ตอนนั้นข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นกับเจ้าทึ่ม…”
เย่อวี๋หรานจ้องเขาเขม็ง
จูถงฮว่ารีบเปลี่ยนคำพูด “ไม่ใช่ ข้าหมายถึงจูชี ข้าไม่ได้ตั้งใจจะลงมือกับจูชี ตอนนั้นข้าพลั้งมือตีหัวเขาด้วยความหุนหันพลันแล่น เขาล้มลงบนพื้น ข้าเองก็ตกใจมาก แต่ว่าตอนนั้นโก่วหวานอนเลือดอาบหน้าอยู่บนพื้น ข้านึกว่าโก่วหวาตายแล้วจึงไม่ได้สนใจจูชี คิดแต่จะรีบพาโก่วหวาไปหาหมอให้เขาช่วยดูอาการ เผื่อว่ายังพอช่วยได้…”
MANGA DISCUSSION