สักวันนึง ฉันจะกำจัด ‘ความเกลียดชัง’ ให้หายไปจากโลกใบนี้ซะ
นั่นเป็นเป้าหมายที่ฝังรากลึกอยู่ในหัวของฉันตั้งแต่ยังเด็ก จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ามีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร
ฉันโตขึ้นมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อที่ได้รับความเคารพจากคนหมู่มาก
มีแม่ที่โอบอ้อมอารี
มีสาวใช้คนสนิทที่พร้อมสนับสนุนฉันทุกอย่าง
มีอาจารย์ที่ฉลาดหลักแหลมและน่านับถือ
มีบ้านหลังใหญ่ให้กลับมา ทั้งอบอุ่นและสงบ
มีเพื่อนบ้านที่คอยต้อนรับทักทายเป็นอย่างดี
ทุกสภาพแวดล้อมที่ดีนั่นคงหล่อหลอมให้ฉันเป็นคนรักสันติ
แต่ฉันได้ไปเห็นกับตามาหลายครั้งผ่านการเดินทาง… ว่าการเป็นคนแบบนั้นมันใช้ไม่ได้กับโลกภายนอก
ภาษา เผ่าพันธุ์ สีผิว วัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อ… ทุก ๆ ที่ล้วนแล้วแต่ต่างกัน
และเพราะความแตกต่างนั้น มนุษย์จึงหวาดกลัวอีกฝ่ายเพราะความไม่รู้ และไม่พอใจที่สิ่งนั้นอาจขัดแย้งกับตนเอง
จนเกิดเป็น ‘ความเกลียดชัง’ ที่ตัวฉันชิงชัง
ตลอดมาฉันก็ทำได้แค่ประนีประนอมและเป็นคนกลางให้ทุกคนเข้าใจกัน และคิดว่าคงช่วยให้โลกนี้ดีขึ้นบ้างแล้ว
แต่พอสงบเรื่องนึงได้ก็มีความเกลียดชังแบบใหม่ถือกำเนิดขึ้นอีกอยู่ร่ำไป
สิ่งที่ฉันทำ มันไม่มากพอที่จะทำลายความเกลียดชังที่ฉันชังเกลียดเลยแม้แต่น้อย
ฉันได้ตระหนักความจริงว่าสิ่งที่ฉันทำมันไม่เคยพอ… ด้วยตัวเอง
ในวันนั้น… ทิวทัศน์รอบตัวของบ้านเกิดฉันที่เคยเต็มไปด้วยธรรมชาติ ดอกไม้และความสงบงดงาม กลับถูกทาทับด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควัน
โถงทางเดินเต็มไปด้วยคราบเลือด หน้าต่างแตกกระจายเป็นช่องให้ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้คนที่กำลังถูกสังหารหมู่
ไปจนถึงภายในห้องนอนที่พบคราบเลือดสาดกระจายเต็มห้อง
และชายสวมผ้าคลุมคนนึงสะบัดคมดาบ …ยืนอยู่บนแอ่งเลือดจากร่างไร้วิญญาณของพ่อกับแม่
หน้าอกฉันร้อนเหมือนโดนเหล็กร้อนเสียบแทง มือเองก็สั่นเพราะกำไว้สุดแรงเหมือนความโกรธของทุกอณูในร่างกายถูกรวมไว้ที่เดียว
นั่นคือชั่วขณะที่ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน สะท้อนภาพของไอ้สารเลวที่เป็นต้นเหตุให้ความโกรธานี้เกิดขึ้น
“ฉันจะฆ่าแก…”
คำพูดนั้นหลุดออกมาในขณะที่กัดฟันด้วยความโกรธเกลียด และความทรมานในอกนี้จะไม่หายไปจนกว่าจะฉีกร่างของมันเป็นชิ้น ๆ
วันเดียวกันนั้นฉันก็ได้เข้าใจ
ว่าความฝันของฉันมันคงไม่มีวันสำเร็จ
เพราะว่าในท้ายที่สุดแล้ว… ฉันก็เป็นคนนึงที่โดน ‘ความเกลียดชัง’ นี้กลืนกิน
❖❖❖❖❖
ยามเช้ากลางกรุงนั้นเป็นเหมือนกันทุกที่ ผู้คนเร่งรีบไปทำงานและเข้าเรียนให้ทันเข้าแถวตอนเช้า รถไฟฟ้าแออัดไปด้วยผู้คนจำนวนมากจนแทบหายใจไม่ออก
‘สถานีต่อไป โรงเรียนมัธยมปลายเซนต์ลอเรนซ์…’
ประกาศนั้นราวกับเสียงสวรรค์ พร้อมกันนั้นรถไฟฟ้าก็เทียบชานชาลาพอดี
ประตูอิเล็กทรอนิกส์เปิดออกหลายคนก็ถูกดันออกมา ในกลุ่มนั้นมีเด็กหนุ่มคนนึงอยู่ในคลื่นมนุษย์ด้วย เขาถอนหายใจออกมาอย่างแรง ทั้งด้วยความโล่งอกและเพราะต้องการจะสูดอากาศบริสุทธิ์
ท่าทางของเขาไม่ได้หงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งเพราะชินแล้วรวมถึงเพราะสถานีนี้เป็นจุดหมายปลายทางของเขาเองก็ด้วย
คนเยอะทุกวันเลยแฮะ ขนาดคิดว่าออกมาเร็วแล้วนะเนี่ย
เด็กหนุ่มบ่นอุบอยู่ในใจก่อนจะจัดเสื้อเชิ้ตนักเรียนสีขาวที่หลุดลุ่ยเสียใหม่แล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง เนื่องจากประเทศนี้เป็นเมืองร้อน (แบบสุดๆ) เสื้อใส่ซ้อนจึงแทบไม่จำเป็น
ภาพที่สะท้อนกับกระจกรถไฟฟ้าที่กำลังจะออกจากชานชะลาของเด็กหนุ่ม คือเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าค่อนข้างคม ดวงตาสีดำ ไว้ผมสั้นดูเรียบร้อย ส่วนสูง 178 ซม. รูปร่างถือว่าสมส่วนและมีกล้ามเนื้อพอสมควร เรียกได้ว่าเป็นคนหน้าตาปานกลางค่อนไปทางดี หากรวมกับท่าทางและการวางตัวคงเพิ่มระดับไปเป็นหนุ่มหล่อได้สบาย
เขาเดินลงบันไดไปเรื่อยจนกระทั่งถึงถนน แล้วมุ่งตรงสู่จุดหมายปลายทางในอีกไม่กี่ร้อยเมตร… โรงเรียนมัธยมปลายเซนต์ลอเลนซ์ที่เขากำลังเข้าศึกษา ตลอดทางเดินไปจนถึงรั้วโรงเรียนเนืองแน่นไปด้วยเด็กหนุ่มเด็กสาวแต่งชุดนักเรียนแบบเดียวกัน ไม่แม้แต่อีกฟากหนึ่งของถนน
เด็กหนุ่มสังเกตเช่นนั้นไปตามปกติ จนกระทั่งมีคนส่งเสียงเรียกจากทางด้านหลัง
“ยะโฮ! ว่าไงชิน!”
เสียงของเด็กหนุ่มอันคุ้นเคยวิ่งเข้ามาจากทางด้านหลังและตบไหล่ของเด็กหนุ่ม… ตบไหล่ของชินอย่างสนิทสนม พร้อมกับเดินเข้ามาข้าง ๆ
“มันเจ็บนะ เจ้าบ้าเคนเนธ”
ชินตอบกลับด้วยท่าทีร่าเริงขึ้นมาราวกับเป็นคนละคนกับตอนที่เดินอยู่คนเดียว แต่สำหรับคนทั่วไปนั้นคงยากจะสังเกต
ส่วนเคนเนธที่ได้ยินเช่นนั้นหัวเราะแฮะๆ ขอโทษแบบขอไปทีเหมือนทุกที
เขาคนนี้เป็นเด็กหนุ่มที่สูงราว 180 ซม. ซึ่งมากกว่าชิน ผมสีดำที่จัดทรงแหวกแนวแต่ดูดีมีสไตล์ของเขาทำให้ดูดีไม่น้อย สำหรับคนทั่วไปเขาคือเด็กหนุ่มที่ดูดีสุดๆ
แต่สำหรับชิน เขาเป็นเพียงเพื่อนสนิทชายจอมกวนประสาทเท่านั้น
“จะว่าไปทำการบ้านภาษาไทยเมื่อวานอะยัง?” เคนเนธทำตาปริบๆ ใส่ชินขณะเดินอยู่ข้าง ๆ ทำเอาชินต้องถอนหายใจไปอีก
“ให้ตายสิ… ทำเองบ้างไม่เป็นรึไงนายน่ะ” ชินหน่ายใจ แต่ถึงพูดแบบนั้นเขาก็ยังเปลี่ยนกระเป๋าสะพายมาห้อยด้านหน้าและหยิบสมุดแบบฝึกหัดออกมาให้เคนเนธอยู่ดี
“ฮิฮี่ ต้องแบบนี้สิเพื่อนยาก ขอบคุณมากคร้าบ!”
เคนเนธรับสมุดไปด้วยความขอบคุณก่อนจะยิ้มร่า ชินเห็นภาพนั้นแล้วได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ เหมือนที่ผ่านมา
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินผ่านเข้าไปในโรงเรียนเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา
หน้าประตูรั้วโรงเรียนมีอาจารย์สาวยืนทักทายนักเรียน ถัดเข้าไปคือตึกเรียนที่สร้างจากไม้สูงสามชั้น ตลอดทางประดับด้วยไม้ยืนต้นและพุ่มดอกไม้ เป็นแบบนั้นจนกระทั่งทั้งสองคนเดินขึ้นตึกเรียนของตัวเองซึ่งเป็นตึกแรกที่เห็นเมื่อเข้ามาในโรงเรียน แล้วพอขึ้นบันไดจนถึงชั้นสอง ซึ่งเป็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พวกเขาก็เดินเลี้ยวเข้าไปที่ห้องเรียนห้องที่สองจากในสุด บนประตูเขียนกำกับไว้ว่า ‘ม. 5/2’
ทันทีที่สองหนุ่มเดินเข้ามาในห้อง สมาชิกในชั้นเรียนที่นั่งคุยเล่นกันอยู่ก็หันมามอง แล้วพอเห็นเคนเนธ ทุกคนโดยเฉพาะสาว ๆ ก็ส่งเสียงทักทายเขาในทันที
“สวัสดีทุกคน!”
เคนเนธส่งเสียงแล้ววิ่งเข้าไปหากลุ่มที่นั่งคุยเล่นอยู่หน้าห้อง ซึ่งจะว่าไปนักเรียนในห้องมีเพียง 25 คนเท่านั้น เรียกได้ว่าทุกคนก็แทบจะอยู่หน้าห้อง ยกเว้นคนที่นั่งปั่นงานอยู่เท่านั้นเอง
ยังเสียงดังไม่เปลี่ยนเลยนะ… น่าอิจฉาหน่อย ๆ แฮะ
ชินคิดในขณะที่มองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มอ่อน ก่อนจะแยกไปนั่งที่นั่งตัวเองตรงข้างริมหน้าต่างหลังสุด ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มโปรดขึ้นมาอ่าน และเริ่มเข้าสู่ห้วงสมาธิ
ความจริงมันควรจะเป็นแบบนั้น หากไม่มีใครเดินเข้ามาทักทายด้วยการเคาะโต๊ะของชิน
“อรุณสวัสดิ์จ่ะ” เสียงใสราวกระดิ่งดังขึ้นจากข้าง ๆ โต๊ะของชิน แม้ไม่ต้องเงยหน้ามองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร
“อืม อรุณสวัสดิ์เกวน” ชินตอบกลับก่อนที่จะเงยหน้ามองเด็กสาว… เกวนผู้ยืนยิ้มให้เขาข้างโต๊ะ
เธอคือเด็กสาวไว้ผมยาวสลวยสีดำ พร้อมกับหนีบกิ๊บติดผมรูปดอกไม้ส่วนสูงราว 165 ซม. รูปร่างน่าตาดี รูปร่างเองก็จัดว่าใช้ได้ เพราะมีส่วนโค้งเว้าที่ผู้หญิงควรจะมี
“โถ่… อ่านหนังสืออีกแล้วเหรอ? ทำไมไม่ลองเข้าไปคุยกับเพื่อนคนอื่นบ้างล่ะ”
เกวนขมวดคิ้วพูดราวสั่งสอน แต่การทำแก้มป่องลมกลับให้ความรู้สึกน่ารักมากกว่าเกรงกลัว
ยังกับเป็นคุณครูเลยนะเธอเนี่ย
ชินยิ้มแห้งก่อนจะค่อย ๆ ปิดหนังสือ เป็นเวลาเดียวกับที่เกวนนั่งลงโต๊ะของตัวเองซึ่งอยู่ด้านขวาติดกับชิน
อนึ่ง โต๊ะเรียนนั้นมีการจัดเรียงแบบติดกันและมีทางเดินสองฝั่ง โดยโต๊ะฝั่งริมหน้าต่างจะนั่งติดกันสองโต๊ะ คอลัมน์กลางจะมีสามโต๊ะ ส่วนด้านขวาสุดริมผนังจะจัดให้ติดกันสองโต๊ะ
ชินรอให้เกวนจัดท่านั่งตัวเองเสร็จเขาจึงค่อยเปิดปาก
“ก็ไม่มีเรื่องให้คุยนี่นา… แล้วอีกอย่าง ฉันก็ใช่ว่าจะไม่สานสัมพันธ์กับใครเลยซักหน่อย ทุกคนก็เป็นเพื่อนฉันหมดนะ”
“แหม มันก็ใช่อยู่หรอก”
เกวนตอบกลับด้วยใบหน้าเสียดายและเป็นห่วง แต่ก็เข้าใจอยู่ว่าที่ชินพูดมันเป็นจริงตามนั้น
ชินไม่ได้เป็นพวกไม่เข้าสังคม กลับกันเขาเป็นพวกชอบช่วยเหลือคนอื่นและคอยแนะนำอะไรหลายอย่างให้กับทุกคนในชั้น มีหลายครั้งที่ปัญหาของห้องเคลียร์ได้ด้วยความเห็นและหลักการประนีประนอมของชิน นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกคนชื่นชอบชินกันไม่น้อยไปกว่าเคนเนธที่เป็นหนุ่มหล่อประจำห้อง
ไม่สิ อันที่จริง… ชินเป็นที่นิยมกว่าใครแถมเป็นหนุ่มหล่อประจำโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่แม้ชินจะดูเข้าหาง่าย แต่ก็ทำให้คนบางกลุ่มรู้สึกประหม่าที่จะเข้ามาสนิทสนม
“เพราะแบบนี้ไง นายถึงได้มีเพื่อนสนิทแค่ฉันกับเคนเนธ” เกวนรู้เรื่องนั้นดี จึงแอบเสียดายแทนชินอยู่บ่อยครั้ง
“ถ้าเป็นเพื่อนสนิท แค่พวกเธอสองคนก็พอแล้ว”
ชินตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มทำเกวนไปไม่เป็นจนต้องร้อง “โท่!” ออกมาเลยทีเดียว
เกวนรีบเอาหน้าฟุบลงไปกับโต๊ะราวกับไม่อยากให้ชินเห็นใบหน้านั้น แต่นั่นก็เป็นเพราะเธอเขินอาย
“เพราะงั้นไม่ต้องกังวลเรื่องของฉันหรอก เธอไปคุยกับเพื่อนๆของเธอเถอะ” ได้ยินคำพูดของชิน เกวนก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น แต่ใบหน้าก็กลับเหงาหงอยไปแทน
เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? ชินเอ่ยถาม
“เพื่อนฉันหยุดเรียนกันหมดเลย…”
“…อ่อ”
เสียงเศร้า ๆ ของเกวนโอดครวญออกมาด้วยความเสียดาย แต่ชินก็เข้าใจเหตุผลได้ในทันที
คืนเมื่อวานซืน เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่ตึกนิวเอจซิตี้ซึ่งเป็นตึกห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางเมือง นับเป็นเรื่องอุกอาจทีเดียว เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนใน ‘เขตย่อย’ นี้
ด้วยเหตุนั้น ผู้ปกครองหลายคนจึงลาโรงเรียนให้ลูก เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันระหว่างทางกลับบ้าน และสาเหตุสำคัญอีกอย่างก็คือ คนร้ายยังคงลอยนวลอยู่
แถมคนร้ายก็ยังไม่ใช่ ‘มนุษย์ธรรมดา’ ซะด้วยสิ
ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของชินชั่วขณะ
“เอ้า ๆ นั่งที่กันก่อนนะทุกคน! แล้วนี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่านั่งโต๊ะครู!”
ความคิดของชินเป็นอันต้องปัดไปก่อน เมื่ออาจารย์ประจำชั้นสาวเดินเข้ามาในห้องและเริ่มไล่นักเรียนกลับไปนั่งที่
เช่นเดียวกับเคนเนธที่วิ่งเข้ามานั่งโต๊ะตัวด้านหน้าของชิน รวมถึงเกวนที่เปลี่ยนมานั่งหลังตรงเรียบร้อยผิดกับท่าทีเหยาะแหยะก่อนหน้านี้
“อาจารย์คร้าบ! วันนี้มีข่าวดีมาบอกพวกผมเหมือนเมื่อวานไหมคร้าบ!” มีนักเรียนชายคนนึงยกมือตะโกนขึ้นถาม แม้อาจารย์จะยังเดินไปไม่ถึงโต๊ะตัวใหญ่กลางห้องเลยด้วยซ้ำ
อาจารย์ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย นั่งลงเก้าอี้แล้วใช้มือขวาเท้าคางกับโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์
อาจารย์คนนี้ก็ยังทำท่าทางนักเลงอยู่วันยันค่ำเลยแฮะ
ทั้งที่เป็นผู้หญิงหน้าตาดีพอสมควรแท้ ๆ เพราะแบบนี้รึเปล่านะถึงหาแฟนไม่ได้
ชินแอบคิดอยู่ในใจ โดยไม่ได้คำนึงเลยว่าเป็นเรื่องเสียมารยาท
แม้เรื่องนี้จะเป็นที่รู้กันในหมู่นักเรียนอยู่แล้วก็ตาม
…ส่วนประเด็นเรื่องที่มีคนถามเกี่ยวกับข่าวของวันนี้นั้น
“เดาเก่งดีนี่… วันนี้คาบบ่ายเองก็งดสอน เพราะงั้นทุกคนรีบกลับบ้านกันด้วยล่ะ” อาจารย์สาวพูดด้วยน้ำเสียงพอใจ ดูเหมือนเธอจะดีใจที่ไม่มีสอนคาบบ่ายแบบเดียวกับที่นักเรียนไม่มีเรียน
ทำเอานักเรียนหลายคนรวมถึงชินกับเกวนยิ้มแหย หลังได้เห็นว่าอาจารย์ตัวเองขี้เกียจตัวเป็นขนขนาดไหน
ว่าแล้วเจ้าตัวอาจารย์ประจำชั้นสาวแสนสวยเสียของก็ออกจากห้องเรียนไป
เดิมทีนี่จะเป็นเวลาเริ่มคาบแรกพอดี แต่กลับกลายเป็นว่าคาบแรกอาจารย์เองก็ไม่เข้าเหมือนกัน
ยุ่งๆกันไปหมดเลยนะเนี่ย แล้วดูเหมือนตอนเช้าช่วงนี้เองก็ไม่มีเข้าแถวหน้าเสาธงด้วย…
ทั้งหมดเป็นผลกระทบจากการระเบิดตึกล่ะสินะ
จะดีใจลงไหมเนี่ย…
ชินคิดล้อเล่นแล้วก็ยิ้มขมออกมาโดยไม่รู้ตัว
คาบแรกเป็นวิชาประวัติศาสตร์ สำหรับเพื่อนคนอื่นนั้นเลือกที่จะเล่นเกมจาก ‘โฮโลวอช’ ซึ่งเป็นนาฬิกาข้อมือที่สามารถฉายภาพโฮโลแกรมขึ้นมาใช้สำหรับฆ่าเวลา
อนึ่ง ความจริงนอกจากใช้เล่นเกมแล้ว มันเป็นดั่งปัจจัยที่ห้า เป็นสิ่งที่ต้องมีติดตัวกันคนละอันเพราะมันเอาไว้ใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้ ส่งสัญญาณเสียงไปยังหูฟังไร้สายเพื่อฟังเพลง เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต รวมถึงใช้ฆ่าเวลาแบบที่เด็กส่วนใหญ่มักใช้กัน
ทว่าชินนั้นเลือกที่จะทวนหนังสือมากกว่า เขาเคาะโต๊ะเรียนด้วยนิ้วขวาทั้งสี่ยกเว้นนิ้วโป้ง พริบตานั้นหน้าโต๊ะก็เปลี่ยนเป็นจอคอมแบบสัมผัสได้ ชินเลื่อนหา E-book หนังสือแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์โลกและเริ่มอ่านมันอีกเป็นรอบที่ 3
ว่ากันว่าหากอ่านหนังสือเล่มเดิมอีกครั้งหลังจากผ่านไปหนึ่งปี สิ่งที่ได้จากหนังสือจะไม่เหมือนเดิม
เพราะเมื่อเราเติบโตขึ้นและได้รับแง่คิดใหม่ๆ เราจะตีความหนังสือเล่มเดิมไม่เหมือนเดิม
เพราะงั้นฉันถึงชอบที่จะอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำ โดยเฉพาะหนังสือที่ต้องตีความ
แต่สำหรับตอนนี้… คงแค่เบื่อเจ้าหนังสือ ‘สารพันเรือรบ’ ที่พกติดมาด้วยก็เท่านั้นเอง
ชินคิดราวกับปลอบใจตัวเองที่เบื่อหนังสือแนวสงครามง่ายไปหน่อย ก่อนจะเริ่มอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ตรงหน้า
…เมื่อนานมาแล้ว โลกใบนี้ถูกปกครองด้วยเผ่าพันธุ์ที่มีลักษณะทางกายภาพแตกต่างกันมากมายหลายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์สัตว์ที่มีส่วนใดส่วนนึงของร่างกายเป็นสัตว์ เอลฟ์ที่มีลักษณะใบหูยาวกว่าปกติ เผ่านางฟ้าที่มีปีกงอกที่หลัง และสุดท้ายคือมนุษย์
ทั้ง 4 นี้คือเผ่าพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุดบนโลก หากไม่นับเผ่าพันธุ์ที่อาศัยในทะเลหรือดรายแอดที่อาศัยในผืนป่าซึ่งมีจำนวนและอาณาเขตน้อยกว่า
และด้วยความแตกต่างทางภาษา เผ่าพันธุ์ สีผิว วัฒนธรรม รวมถึงศาสนาและความเชื่อของแต่ละเผ่าพันธุ์ได้ถึงจุดแตกหักเมื่อราวพันปีก่อนจนนำไปสู่สงครามโลก
เผ่าพันธุ์ทั้งหมดเริ่มสงครามล่าอาณานิคมกัน เข่นฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมราวกับเมินสิ่งดีงามในพระคัมภีร์ที่ถูกสอนมาในศาสนาตน
ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายช่างน่าแปลกใจ เพราะไม่ใช่ 4 เผ่าพันธุ์หลักที่คว้าชัย หากแต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอยู่น้อยนิดอย่างแวมไพร์ที่เอาชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘ไนท์ (Night)’
มันคือพลังเฉพาะของเผ่าแวมไพร์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์ต่างๆให้เป็นไปตามที่ต้องการ
อันต่างจาก ‘เซนส์ (Sense)’ ซึ่งเป็นการเพิ่มความสามารถพื้นฐานของสัตว์แต่ละชนิดของเผ่ามนุษย์สัตว์ หรือ ‘เวทมนตร์ (Magic)’ ของเอลฟ์ที่ใช้ควบคุม/ปรับเปลี่ยนปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือ ‘ปาฏิหารย์ (Miracle)’ ของเผ่านางฟ้าที่เป็นการอ้อนวอนขอยืมพลังจากสิ่งเหนือธรรมชาติ
ทว่า ‘ไนท์ (Night)’ ของแวมไพร์สามารถ ‘ฉีกกฎของธรรมชาติ’ ได้ตามแต่ความปรารถนาของตน ทั้งไร้ซึ่งข้อจำกัดซ้ำยังแหกกฎฟิสิกส์ มันจึงสะดวกสบายและทรงพลังกว่ามาก
ข้อจำกัดนั้นมีเพียงสองอย่าง… อย่างแรกคือคอนเซปต์ของมัน ไนท์เป็นพลังเฉพาะของแต่ละคนที่สามารถทำให้เกิดพลังตามคอนเซปต์แต่ละอย่าง อาทิเช่น สามารถควบคุมเลือดตัวเองได้ สามารถลบกลิ่นอายได้อย่างสมบูรณ์ มองเห็นการเคลื่อนไหวในอนาคต หรือแม้แต่สร้างระเบิด ทว่าการมีพลังได้เพียงอย่างเดียวนี้เองคือข้อเสีย แต่หากสู้กันเป็นกลุ่มคงมิต้องนึกภาพอันร้ายกาจของพลังนี้
ส่วนข้อจำกัดของพลังอย่างที่สอง… ความแข็งแกร่งของพลังนี้ขึ้นอยู่กับสองตัวแปร คือความเข้มข้นของสายเลือดแวมไพร์ และอีกอย่างคือความมืดของจุดที่ใช้พลัง เพราะหากยิ่งมืดมิดมากเพียงใด ไนท์จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ในทางกลับกันหากแสงสว่างมากเพียงใด อานุภาพของพลังก็จะยิ่งอ่อนแอลง นั่นคือเวลาเที่ยงคืนพลังไนท์จะแข็งแกร่งที่สุดแต่เวลาเที่ยงวันจะแทบใช้พลังไม่ได้ ทว่านั่นก็แก้ไขได้ด้วยการลอบโจมตีเฉพาะตอนกลางคืนแบบปิดเกมเร็ว
ด้วยเหตุผลข้างต้นจึงทำให้แวมไพร์เป็นฝ่ายชนะสงครามโลก
หลังจากนั้นโลกจึงเปลี่ยนรูปแบบการปกครองใหม่จากอาณาเขตแบบชนเผ่า เป็นการปกครองแยกเป็นอาณาเขต ถูกกำกับด้วยหมายเลข และจนถึงบัดนี้ก็ยังใช้หมายเลขในการเรียกชื่อประเทศอยู่ นั่นเป็นหนึ่งในข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนานว่าทำไมจนบัดนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนจากการเรียกด้วยหมายเลขเสียที
อย่างเช่นเขต 66 อันเป็นเขตประเทศที่ชินอยู่ มีชื่อเรียกว่าประเทศ ‘สยาม’ แต่คนส่วนใหญ่ยังคุ้นชินกับชื่อ ‘เขต 66’
เป็นไปได้ว่าความรุ่งโรจน์ของเผ่าแวมไพร์ที่มีมานานนับพันปีคงฝังรากลึกกับโลกใบนี้ไปแล้วกระมัง
อาจเพราะแบบนั้น การมีอยู่ของแวมไพร์จึงสร้างความเกลียดชังให้กับคนบางกลุ่ม
หลังจากเวลาผ่านไปนานเช่นนั้น จึงได้เกิดลูกผสมหลากเผ่าพันธุ์ขึ้น นั่นรวมถึงมีสายเลือดของแวมไพร์ผสมอยู่ด้วย และทำให้มีพลัง ‘ไนท์’ ปรากฏขึ้นเป็นกำลังให้เผ่าอื่นกรายๆ
นักวิชาการหลายคนได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่านั่นคือประกายไฟแรกแห่งการปฏิวัติ
จนกระทั่งเมื่อ 12 ปีก่อน… ได้เกิดการโค่นล้มการปกครองของแวมไพร์อย่างเงียบเชียบ
ทั่วทั้งเมืองหลวงเขต 40 ซึ่งเป็นสวรรค์ของเหล่าแวมไพร์ได้ถูกกองกำลังลึกลับเข้าสังหารหมู่ ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตเลยซักคน
ไม่แม้แต่ราชา ราชินี คนใช้ ทหารองครักษ์หรือรัชทายาทสืบสกุล และเมื่อประเทศสูญเสียผู้นำไป ประเทศก็รำส่ำระส่ายจนเสียขบวนกันไปหมด
สถานะที่แวมไพร์เหนือกว่าเริ่มกลับตาลปัตรราวกับถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี… นับแต่วันนั้นที่ราชาของเหล่าแวมไพร์ถูกสังหาร แวมไพร์ได้ตกเป็นเป้าการล่าเพราะถูกมองเป็นภัยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
ผลลัพธ์จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น ทำให้แวมไพร์สายเลือดแท้ถูกประกาศให้สูญพันธุ์อย่างเป็นทางการจากนานาประเทศเมื่อ 12 ปีก่อนเป็นที่เรียบร้อย
แล้วจากนั้นการปกครองของเขตอื่นก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดี เพราะเช่นไรแต่ละเผ่าพันธุ์ก็คานอำนาจซึ่งกันและกันมาตลอดอยู่แล้ว
กลับกัน… เพราะก้างขวางคออย่างแวมไพร์สูญพันธุ์ไปแล้วเลยยิ่งทำให้ประเทศส่วนใหญ่ได้ประโยชน์เสียด้วยซ้ำ จึงเรียกได้ว่าหลังจากที่แวมไพร์สูญพันธ์ ประเทศส่วนใหญ่จึงค่อนข้างสบายใจและสงบสุขขึ้นโข
ณ โลกปัจจุบันอันแสนสงบสุข ประวัติศาสตร์เหม็นกลิ่นคาวเลือดนั่นมันเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าไปแล้ว
โลกอันสงบสุข… งั้นเหรอ…
ชินที่อ่านทวนคำนั้นในหนังสือซ้ำไปซ้ำมา รู้สึกสะอิดสะเอียนกับมันจนคลื่นไส้
ภาพความทรงจำแสนเลวร้ายเริ่มแทรกเข้ามาในหัวแทน ทั้งเปลวเพลิง… ดาบ… และเลือด
“———นี่ชิน! ได้ยินป่าว!?”
“!?”
เสียงของเคนเนธช่วยดึงสติของชินกลับมา ดูเหมือนเขาจะถูกเรียกมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
“นายเนี่ยสมาธิสุดยอดไปเลยนะ” เกวนออกเสียงชื่นชมด้วยความแปลกใจเล็กน้อย แต่ด้วยความเป็นห่วงเสียเป็นส่วนใหญ่
ส่วนเคนเนธนั้นไม่ได้สงสัยจุดนั้นเลย
“เอาเถอะๆ! แต่ว่านะเฮ้ย เมื่อกี้มีประกาศบอกว่าให้กลับบ้านได้เลยเพราะอาจารย์ที่สอนคาบสองกับคาบสามก็ลาเหมือนกันน่ะ” เคนเนธพูดด้วยรอยยิ้มราวกับเด็ก ๆ
พอชินยืนยันด้วยการเปิดหน้าจอของคอมโฮโลแกรมที่โต๊ะ ตรงมุมขวาล่างของจอก็ปรากฏว่ามีประกาศแบบนั้นจริง
เริ่มอีกแล้วสิเรา… เผลอคิดนอกเรื่องนอกเวลาจนได้ เรานี่ยังฝึกมาไม่พอจริง ๆ
ชินเหนื่อยใจกับตัวเองจนถอนลมสุดปอด เพราะมัวแต่คิดอะไรไปเรื่อยจนไม่ทันสังเกตข้อมูลตรงนั้น
แต่พอเห็นเคนเนธกับเกวนทำท่าทางดีใจชินก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ชินปิดจอโฮโลแกรมลงตามคำแนะนำของทั้งคู่ เสมือนถูกบรรยากาศ ‘ความธรรมดาอันน่าหลงไหล’ นี้ดึงดูด
อย่างน้อยถ้านับแค่ตอนเช้า… มันก็ยังเหมือนกับทุก ๆ วันล่ะนะ
ชินคิดแบบนั้นก่อนที่จะลุกขึ้นหยิบกระเป๋า ราวกับกำลังคาดหวังบางสิ่งอยู่
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION