บทที่ 90 ลงมือปฏิบัติ
นับตั้งแต่ที่หลิวหงเหยียนได้เห็นวิธีการผลิตน้ำตาลของฉินเฟิง และกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์แบบไม่ทันตั้งตัวที่จวนจี้อ๋อง นางก็เลื่อมใสในความเฉียบแหลมทางธุรกิจของเจ้าเด็กนี่โดยสมบูรณ์
แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเขา นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “ขาดเงิน? ฉินเฟิง เจ้าโลภเกินไปหน่อยหรือไม่? น้ำตาลทรายขาวนี้ขายส่ง ๆ ก็ได้เงินหลายหมื่นตำลึง บวกกับเงินที่เจ้าได้จากการหลอกลวงบุตรหลานขุนนางในเมืองหลวงตลอดหลายวันมานี้ ยังไม่เพียงพออีกหรือ? เจ้าต้องการเงินมากมายไปทำอะไรกัน?”
ครั้งนี้ฉินเฟิงไม่ได้อมพะนำ ชายหนุ่มเริ่มจริงจังขึ้นมา “พี่หญิงรอง ท่านอยากรู้จริงหรือ?”
หลิ่วหงเหยียนยักไหล่ แสร้งเล่นตัว “ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าอยากพูดหรือไม่”
ฉินเฟิงหายใจเข้าลึก ๆ อย่างไรก็ตามบนโลกใบนี้หากแม้แต่หลิ่วหงเหยียนยังไม่สามารถไว้วางใจได้ ก็คงไม่มีใครคู่ควรแก่ความไว้วางใจของฉินเฟิงแล้ว เขาโพล่งออกมาทันที “ซื้อเข็มขัดทองคำ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลิ่วหงเหยียนทั้งประหลาดใจและสับสน “เข็มขัดทองคำฝ่าบาทก็ประทานให้เจ้าแล้ว เหตุใดยังต้องใช้เงินซื้ออีก? นอกจากนี้ นี่เป็นเครื่องทรงพระราชทานจากราชวงศ์จะหาซื้อด้วยเงินได้อย่างไร?”
ฉินเฟิงโบกมือ และถอนหายใจ “ใต้หล้านี้ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถโอ้อวดได้ยกเว้นฝ่าบาท ฝ่าบาทต้องเด็ดขาดจึงจะสามารถปกครองแว่นแคว้นขนาดใหญ่ได้ เข็มขัดทองคำนี้ฝ่าบาทมิได้ประทานให้ข้าเปล่า ๆ แต่เป็นข้าที่ซื้อมันมาด้วยเงินต่างหาก สงครามในเป่ยตี๋ใกล้เข้ามาแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่เงินสำคัญและจำเป็นที่สุด ในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ฝ่าบาททรงวางข้าไว้ในตำแหน่งที่ชัดเจนที่สุด จุดประสงค์ของเขามองออกง่ายดายจะตาย เขาต้องการให้ข้ารับเข็มขัดเส้นนี้ไว้แล้วหาเงินไว้มาก ๆ สำหรับการศึก”
หลิ่วหงเหยียนตกตะลึงเมื่อได้ยินความคิดเห็นของฉินเฟิง
นางไม่เคยคิดว่าฉินเฟิงซึ่งเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ มาโดยตลอดจะคิดเรื่องภายในราชสำนักได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยท่านพ่อขจัดปัญหา หลิ่วหงเหยียนทุ่มเทความคิดศึกษาเรื่องราชสำนักอย่างหนัก แต่เมื่อเทียบกับฉินเฟิง นางกลับดูไร้เดียงสายิ่งนัก
นอกจากประหลาดใจแล้วหลิ่วหงเหยียนยังปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยคำพูดเหล่านี้ก็พิสูจน์ความสามารถของฉินเฟิง ซึ่งเป็นสิ่งที่บุตรชายเสนาบดีกลาโหมควรมีได้เป็นอย่างดี
หลิ่วหงเหยียนกัดริมฝีปากบาง สายตาที่ใช้มองฉินเฟิงไม่ใช่สายตาที่ใช้มองน้องชายตัวแสบอีกต่อไป กลับกลายเป็นสายตาที่สตรีใช้มองบุรุษซึ่งพึ่งพาได้ “เจ้าต้องการเงินเท่าไหร่?”
ฉินเฟิงไม่ได้ตอบทันที แต่คำนวณด้วยนิ้วมือของเขาก่อน “น้ำตาลทรายขาวแปดหมื่นตำลึงเงิน บวกกับทรัพย์สินที่รีดไถจากหลี่รุ่ยและคนอื่น ๆ กับอีกสองแสนตำลึงเงินที่เกาซ่งกำลังจะส่งมา จากนั้นก็หักค่าใช้จ่ายของหอสุราธารหยก เมื่อคำนวณอย่างครบถ้วนแล้ว มีเงินอยู่ในมือห้าแสนตำลึงเงิน… “
“ห๋า?! เจ้ามีเงินมากมายขนาดนี้เชียว!” หลิ่วหงเหยียนอดไม่ได้ที่จะอุทาน
แม้ว่ารายได้ประจำปีของท่านพ่อจะมากกว่าสามแสนตำลึงเงิน แต่การเลี้ยงดูตระกูลขนาดใหญ่เช่นนี้ บวกกับค่าสึกหรอของรถม้าต่าง ๆ เขาจะมีเงินเหลือมากที่สุดเพียงหนึ่งหมื่นตำลึงเงินต่อปีเท่านั้น
หลังจากหลิ่วหงเหยียนคำนวณอย่างรอบคอบก็พบว่า บัญชีทั้งหมดของตระกูลฉินในปัจจุบันยังมีเงินไม่ถึงสี่แสนตำลึงเงินด้วยซ้ำ
ฉินเฟิงใช้เวลาไม่กี่วันในการเดินไปรอบ ๆ เมืองหลวง ก็ได้รับเงินมามากกว่าทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลฉินถึงหนึ่งแสนตำลึงเงินแล้ว…
สวรรค์!
เด็กตัวเหม็นคนนี้เกิดมาเพื่อหาเงินหรือ? ความมั่งคั่งนี้เติบโตเร็วเกินไปแล้วกระมัง
เมื่อเห็นปฏิกิริยาอันใหญ่โตของหลิ่วหงเหยียน ฉินเฟิงก็ยักไหล่ และทำท่าทีเหมือนตนเองยังยากจนมาก “แค่ห้าแสนตำลึงเงินเท่านั้นเอง พี่หญิงรอง ท่านตื่นเต้นอะไรกัน?”
หลิ่วหงเหยียนถูกทำให้โกรธจนหัวเราะ “แค่ห้าแสนตำลึงเงินเท่านั้นเอง?!”
ฉินเฟิงกางมือออก และค่อย ๆ คำนวณให้หลิ่วหงเหยียนฟัง “เมื่อเปิดฉากสงครามนอกแคว้น คาดการณ์ได้เลยว่าสงครามครั้งนี้จะต้องรุนแรงมาก แม้ว่าจะคำนวณแบบครึ่งปี จำนวนเงินที่ต้องใช้ในสนามรบก็ยังสูงถึงห้าสิบล้านตำลึงเงิน ซึ่งนี่เป็นเพียงการกะประเมินอย่างประหยัดที่สุด
“ยิ่งไปกว่านั้น สนามรบเป่ยตี๋ยังตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล การสูญเสียเสบียงอย่างเมล็ดข้าวและธัญพืชระหว่างทางถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงที่สุด เมื่อขนส่งเมล็ดข้าวกับธัญพืชหนึ่งชั่ง มันจะหายไปห้าถึงสิบชั่งระหว่างทาง นอกจากนี้ยังมีค่าระดมพล ค่าจัดกองทหาร ค่าฝึกฝนก่อนสงคราม ค่าผลิตอาวุธและอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงค่ากักตุนวัสดุทางสงครามอีกมากมาย”
“หากคาดคะเนอย่างประหยัดแล้ว เกรงว่าสงครามครั้งนี้จะต้องใช้เงินหลายสิบล้านตำลึงเงิน”
“ต่อให้ข้าโยนเงินห้าแสนตำลึงเงินนี้ลงเหวไป แม้แต่เสียงสะท้อนก็คงไม่ได้ยิน”
หลิ่วหงเหยียนป้องปาก นางรู้เพียงว่าผู้คนจะตายในสงคราม แต่ไม่คาดคิดว่าค่าใช้จ่ายจะน่าสะพรึงกลัวเพียงนี้ นี่มันใช่การรบราฆ่าฟันเสียที่ไหน นี่เป็นการใช้เงินตีกันชัด ๆ แล้ว
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่หลิ่วหงเหยียนคิดไม่ออก “สงครามในเป่ยตี๋ถือเป็นเรื่องใหญ่ระดับแคว้น แม้ว่าจะต้องใช้จ่ายเงินก็ย่อมได้รับการสนับสนุนจากท้องพระคลัง คงไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าที่จะต้องควักเงินออกมาจากกระเป๋าหรอกกระมัง? “
หากฉินเฟิงไม่ต้องควักแล้วจะต้องตบหน้าตัวเองจนบวมเพื่อให้ดูเป็นคนอ้วน*[1] ไปทำไมกัน?
เขาโม้เสียจนหนังหน้าหลุดไปแล้ว ตอนนี้แม้ว่าอยากจะถอนตัว ฝ่าบาทย่อมไม่ยอมปล่อยฉินเฟิงไปง่าย ๆ แน่
เมื่อคิดถึงตอนที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้เป็นครั้งแรกแล้ว เป็นเพราะเขาไม่ควบคุมฝีปาก คุยโวเป็นคุ้งเป็นแควโดยไม่แม้แต่จะอดกลั้น อีกทั้งยังรับปากเรื่องกองทหารม้าอีก ชายหนุ่มอดรู้สึกหัวตื้อไม่ได้
ฉินเฟิงไม่สามารถอธิบายส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดให้กับหลิ่วหงเหยียนฟังได้ เขาจึงเลือกบอกเฉพาะส่วนที่สำคัญ
“จากนี้ต่อไปเป็นช่วงที่ต้องใช้เงิน คาดว่าอีกไม่นานฝ่าบาทคงจะเริ่มติดต่อหาข้า ถ้าข้าหาเงินไม่ได้ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก น้ำตาลทรายขาวเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้สำคัญของข้าในตอนนี้ จึงจำต้องกลับมาดำเนินการให้ได้เร็วที่สุด”
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงสลัดท่าทีลอยชายตามปกติของเขาออกไปจนหมดอย่างหาได้ยากนัก หลิ่วหงเหยียนก็รู้ซึ้งถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ทันที นางไม่พูดมากความอีกต่อไป “จำเป็นต้องใช้น้ำตาลอ้อยมากน้อยเพียงใด?”
ฉินเฟิงทำการคำนวณง่าย ๆ และโพล่งออกมาว่า “หนึ่งหมื่นชั่ง!”
หลิ่วหงเหยียนรู้ว่าฉินเฟิงโลภมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่คาดคิดว่าเพียงคำพูดเดียวจะทำให้คนตกใจตายได้เช่นนี้ “หนึ่งหมื่นชั่ง? เจ้าล้อเล่นหรือ! พื้นที่ผลิตน้ำตาลอ้อยได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ผลผลิตลดลงฮวบฮาบ ข้าจะไปหาวัตถุดิบมากมายขนาดนี้ให้เจ้าได้จากที่ใด? ยิ่งไปกว่านั้น… ช่องทางซื้อขายน้ำตาลอ้อยหลัก ๆ ในเมืองหลวงล้วนถูกควบคุมโดยพ่อค้าน้ำตาลรายใหญ่ หนึ่งในนั้นคือตระกูลเจียง”
“การคิดจะขุดเอาอาหารจากปากตระกูลเจียงไม่แตกต่างจากเรื่องเพ้อฝัน ใครบ้างเล่าไม่รู้ว่าเบื้องหลังตระกูลเจียงมีเงาขององค์ชายรองอยู่”
ตั้งแต่ฉินเฟิงเตรียมตัวย่างเท้าเข้าสู่อุตสาหกรรมน้ำตาล เขาก็ได้สอบถามมาอย่างชัดแจ้งแล้วว่าตระกูลเจียงได้ผูกขาดช่องทางน้ำตาลอ้อยในเมืองหลวงโดยอาศัยภูมิหลังองค์ชายรอง
ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายรองผู้นี้ ดูเหมือนจะขาดแคลนเงินอย่างมาก เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจทำเงินทุกประเภทในเมืองหลวงไม่มากก็น้อย
การขาดแคลนเงินหมายความว่าจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก และสิ่งที่ใช้เงินทองมากที่สุดก็คือการบ่มเพาะอำนาจของตนเอง ดูเหมือนว่าองค์ชายรองจะไม่เต็มใจที่จะเป็นเพียง ‘องค์ชาย’ เท่านั้นแล้ว
ฉินเฟิงไม่สนใจว่าเขาจะเป็นองค์ชายหรือไม่ ตราบใดที่อีกฝ่ายขวางทางหาเงินก็ต้องถูกเตะให้พ้นทางไปซะ
“ท่านอย่าได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลเจียง ตัวข้าจะเป็นคนออกหน้าติดต่อไปเอง พี่หญิงรอง ท่านแค่ส่งคนไปตัดช่องทางขนส่งวัตถุดิบน้ำตาลอ้อยก็พอ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ต้องขนวัตถุดิบกลับมาที่จวนของพวกเราให้ได้!”
เมื่อเห็นมุมมองที่เด็ดขาดของฉินเฟิง หลิ่วหงเหยียนก็ไม่มัวโอ้เอ้ หันกายไปทำงานทันที
สำหรับองค์ชายรองผู้นี้ ฉินเฟิงรู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วตัวเองจะต้องได้ปะทะกับเขาในสักวัน
ไม่ว่าการปะทะกันจะทำให้ศีรษะนองเลือดหรือจะทำให้เกิดประกายไฟ ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่ต้องเป็นกังวล
สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้มีเพียงคำเดียวนั่นก็คือ… เงิน!
[1] ตบหน้าตัวเองจนบวมเพื่อให้ดูเป็นคนอ้วน : เป็นการเปรียบเทียบว่าทำอะไรที่เกินความสามารถเพื่อรักษาหน้าของตัวเอง โดยการทำเป็นหน้าใหญ่ใจโตว่ามีเงินแต่แท้จริงแล้วไม่มี
MANGA DISCUSSION