บทที่ 7 ร่ายมาเป็นบท
บัณฑิตหญิงของสำนักศึกษาเซิ่งหลิน มีใครบ้างไม่ใช่บุตรสาวของตระกูลที่มีชื่อเสียงและรูปโฉมงดงาม
ฉินเฟิงเช็ดมุมปากของตน เขามองไปยังสตรีชุดสีชมพูตรงหน้า และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แม่นาง เพิ่มเพื่อมในโม่โม่*[1] ได้หรือไม่”
ก่อนที่คนอื่นจะเข้าใจว่า ‘โม่โม่’ คืออะไร ฉินเฟิงก็ถูกหลิ่วหงเหยียนลากหูออกไปแล้ว
ฉินเฟิงบีบน้ำตาของตนและตะโกน “พี่หญิงรอง ยกโทษให้ข้าเถิด” ทำเอากลุ่มผู้ชมระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ใบหน้าของหลี่รุ่ยมืดมน เขาพ่นลมหายใจเย็นชาออกมา คนผู้นี้โง่จริง ๆ หรือว่าแสร้งทำเป็นโง่กันแน่?
ไม่เป็นไร! ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะผ่านการสอบคัดเลือกรอบที่สองได้
เพียงหลี่รุ่ยกระแอมเบา ๆ ก็ดึงดูดความสนใจของคนนับไม่ถ้วนได้ทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองภาพวาดเหมยฮัวสีแดง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และส่ายหัวไปมา
“ดอกเหมยชูช่องามอร่ามสี พู่กันนี้เคียงคู่ดูบุปผา เกล็ดหิมะโปรยปรายเย็นกายา กลิ่นบุหงากลบสิ้นรินระรวย*[2]”
“ข้าย่ำหิมะฮัมเพลงเหมยฮัว ให้ทุกท่านได้ชื่นชม”
บัณฑิตรอบ ๆ ท่องบทกวีดังกล่าวซ้ำไปซ้ำมาอยู่ครู่หนึ่ง ชั่วพริบตา คำชมต่าง ๆ ก็ระงมขึ้นจากทุกทิศ
แม้แต่ผู้คุมสอบก็ยังชื่นชมมาก
“ไพเราะ ย่ำหิมะฮัมเพลงเหมยฮัว!”
“เกล็ดหิมะโปรยปรายเย็นกายา กลิ่นบุหงากลบสิ้นรินระรวยไพเราะนัก!”
“สมแล้วที่เป็นนายน้อยหลี่ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับบัณฑิตของสำนักศึกษาเซิ่งหลินของข้า”
เมื่อได้ยินคำชื่นชมจากทั่วทุกสารทิศ หลี่รุ่ยเกือบจะลอยขึ้นไปบนฟ้า คิ้วของเขาเผยแววความภาคภูมิใจ
เฉิงฟาย่อมไม่ปล่อยโอกาสประจบสอพลอนี้ไป เขาตบมือครั้งแล้วครั้งเล่า “เป็นบทกวีที่ดีจริง ๆ! นายน้อยหลี่ปราดเปรื่องนัก!”
หลังจากสนทนากับหลี่รุ่ยจบ เฉิงฟาก็มองไปที่ฉินเฟิงที่ตอนนี้ทำตาล่อกแล่กไปมา ทั้งสีหน้าและแววตาของเฉิงฟาฉายแววดูถูกอย่างเด่นชัด “ฉินเฟิง เจ้าไม่ยอมรับว่าคัดลอกบทกวีมาไม่ใช่หรือ? ถ้าเจ้ามีพรสวรรค์จริง เจ้ากล้าใช้เหมยฮัวเป็นหัวข้อแต่งบทกวีใหม่หรือไม่”
ฉินเฟิงกำลังยุ่งอยู่กับการให้คะแนนบัณฑิตหญิงรอบ ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาคุยกับหลี่รุ่ยและเฉิงฟา
ผู้หญิงคนนี้ไม่เลว อย่างน้อยก็แปดสิบห้าคะแนน คนนี้ขาวละมุนเป็นอาหารตาของข้า อย่างน้อย…
หลิ่วหงเหยียนไม่สนใจมารยาทอันใดอีก นางยกเท้าเตะตูดของฉินเฟิงและตวาด “เจ้าไม่กลัวลูกตาจะหลุดหรือ บุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหม ทำตัวแบบนี้ สมควรที่ไหนกัน!”
“ไฟไหม้ลามมาถึงขนตาแล้ว ยังมาคิดไร้สาระอีก เจ้าอยากให้ข้าโมโหตายรึ”
ฉินเฟิงละอายใจ คิดจะปลอบใจหลิ่วหงเหยียน แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาพิฆาตของนาง เขาจึงได้แต่ถอนมือออกอย่างเสียดาย
เพื่อไม่ให้เสียเวลาส่องสาว ๆ ไปมากกว่านี้ ฉินเฟิงพูดอย่างกระวนกระวายใจว่า “หัวข้อฮัมเพลงเหมยฮัวมันน่าเบื่อ ไม่อย่างนั้น…”
เมื่อเห็นหลิ่วหงเหยียนเอื้อมมือมาแตะหูของตน ฉินเฟิงก็รู้สึกกระอักกระอ่วน เขาไม่กล้าพูดมากและรีบร่ายบทกวีออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ “เหมยขาวเติบโตกลางเหมันต์ แยกตัวจากนานาพันธ์ุบุปผา หนึ่งราตรีส่งกลิ่นยั่วอุรา ดั่งวสันตฤดูหวนมาในหมื่นลี้*[3]”
เงียบ… เงียบเป็นเป่าสาก!
บัณฑิตหญิงที่อยู่ตรงข้ามกับฉินเฟิงตะลึงจนอ้าปากค้าง ฉินเฟิงเลิกคิ้วขึ้นและเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ถ้าแม่นางชื่นชอบ คืนนี้มาที่จวนข้าสิ ข้าจะร่ายกวีให้เจ้าฟังสักเจ็ดแปดบท”
ใบหน้าของบัณฑิตหญิงแดงระเรื่อ นางรีบหันหน้าหนีแต่ก็ยังแอบชำเลืองมองมาที่ชายหนุ่ม
ไม่รู้ว่าใช้เวลานานแค่ไหน ก่อนที่การอภิปรายอย่างดุเดือดจะปะทุขึ้น
“แยกตัวจากนานาพันธ์ุบุปผา! ยังไม่ต้องพูดถึงความสง่างามของถ้อยคำ เพียงแค่แนวคิดทางศิลปะก็เหนือหลี่รุ่ยไปมากโขแล้ว”
“หัวข้อเดียวกัน แต่งขึ้นสด ๆ เหมือนกัน ทว่าบทกวีย่ำหิมะฮัมเพลงเหมยฮัวของหลี่รุ่ยดูจะคับแคบไปเสียหน่อย”
“ดูเหมือนว่า ‘ออกด่าน’ ก่อนหน้านี้จะเขียนโดยฉินเฟิงจริง ๆ?”
“นี่มันเหลือเชื่อเกินไป… หรือว่าตระกูลฉินซื้อบทกวีมามากมาย?”
“ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ลองดูอีกครั้ง การสอบรอบนี้ต้องเขียนบทกวีค่อนข้างมาก หากเขารักษามาตรฐานบทกวีต่อ ๆ ไปให้ใกล้เคียงกับสองบทแรกได้ เช่นนั้นนายน้อยฉินต้องเป็นเฟิ่งหวงโผล่ทะยานบินสูงเป็นแน่!”
“มิเช่นนั้นก็อาจเป็นอย่างที่หลี่รุ่ยพูด บทกวีเหล่านี้อาจถูกขโมยหรือไม่ก็ซื้อมา!”
ทุกคนพยักหน้า ยอมรับความคิดดังกล่าว
หลิ่วหงเหยียนตื่นเต้นจนหน้าแดง นางไม่คิดว่าน้องชายผู้โง่เขลาคนนี้จะสามารถร่ายบทกวีออกมาได้ และที่ร่ายออกมาแต่ละบทก็สะเทือนโลกายิ่ง
ขณะที่ใบหน้าของหลี่รุ่ยเขียวปั้ด บทกวีย่ำหิมะฮัมเพลงเหมยฮัวบทนั้นเป็นผลงานชิ้นเอกที่เขาจ้างผู้มีความสามารถหลายคนในเมืองหลวงมาช่วยกันพิจารณาอยู่หลายวัน แน่นอนว่า เขาจ่ายเงินไปจำนวนมาก
คาดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะร่ายบทกวีดี ๆ ออกมา และขยี้บทกวีของเขาทิ้งอย่างง่ายดาย
เมื่อบทกวีทั้งสองแต่งออกมาในหัวข้อเดียวกันเช่นนี้ มันสามารถตัดสินแพ้ชนะได้ทันที
หลี่รุ่ยไม่พอใจอย่างยิ่งที่ถูกชิงความสนใจไป เขาจึงตะคอกออกมา “กวีบทนี้ไม่ได้คัดลอกมาจากที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”
“คัดลอก?”
ฉินเฟิงชำเลืองมองหลี่รุ่ยอย่างยั่วยุ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ถ่างตาดูให้ดี!”
“เจ้าก็ด้วย”
ฉินเฟิงยื่นมือชี้ไปที่เซี่ยจิ้นซื่อ
ตอนนี้สีหน้าของเซี่ยจิ้นซื่อซีดเผือด
ทันทีที่ฉินเฟิงเอ่ยบทกวีฮัมเพลงเหมยฮัวออกมา เขารู้สึกว่าตนอาจถูกหลี่รุ่ยพาลงหลุมพรางแล้ว…
ในตอนที่ทุกคนตกใจ
ฉินเฟิงก็ชี้ไปที่ภาพหิมะข้าง ๆ เขา
“หุบเขายามไร้นกวิหคเหิน เส้นทางเดินไร้รอยชนทั้งหลาย ธารหิมะร่วงโรยหล่นโปรยปราย ชายชราเดียวดายอยู่บนเรือ!*[4]”
บัณฑิตหญิงหลายคนหัวใจเต้นเร็ว แก้มของพวกนางร้อนผ่าว สายตาเหยียดหยามก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นและชื่นชม
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของบัณฑิตหญิง ฉินเฟิงก็รีบถลาเข้าไปทันที
หลบไป ข้าจะแสดงฝีมือ!
เขาชี้ไปที่ภาพวาดอื่น ๆ อีกหลายภาพอย่างไม่ใส่ใจนัก
“นั่งเดียวดายกายเหงาเคล้าเสียงฉิน ได้ยลยินเสียงบรรเลงเพลงเฉิดฉาย พงไพรลึกพฤกษานานาราย ศศิคล้ายประโลมเล่นเด่นแสงนวล*[5]”
ไม่ใช่แค่บัณฑิตหญิงที่ฉินเฟิงประเมินคะแนนให้เท่านั้นที่สนใจ บัณฑิตหญิงที่เหลือต่างก็จ้องมองเขาด้วยดวงตาเปล่งประกายไม่ต่างกัน
“สารทฤดูชูความงามอร่ามล้ำ ยะเยือกน้ำหยาดระเหยเผยกลิ่นหอม เสียงไรเรขับอารมณ์ให้ตรมตรอม ครั้งหนึ่งเคยดมดอมหวนคำนึง*[6]”
บัณฑิตหญิงหายใจถี่ ส่วนบัณฑิตชายก็อ้าปากค้าง
เมื่อเห็นริมฝีปากของฉินเฟิงร่ายผลงานชั้นยอดออกมา ปลายนิ้วของหลี่รุ่ยก็กำเข้าหากันแน่น ใบหน้าของเขาซีดเซียว
ผู้คุมสอบที่รับผิดชอบการสอบครั้งนี้ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
พวกเขาหยิบพู่กันและกระดาษออกมาคัดลอกผลงานชิ้นเอกของฉินเฟิง
สายตาทุกคู่ในสำนักศึกษาจับจ้องไปที่ฉินเฟิง เขาจึงรามือแล้วหันไปมองเซี่ยจิ้นซื่อ ก่อนจะแสดงรอยยิ้มใจดีเหมือนบิดา
“เซี่ยจิ้นซื่อ บทกวีพวกนี้ เจ้าก็เป็นคนแต่งงั้นหรือ”
ใบหน้าของเซี่ยจิ้นซื่อซีดราวกับกระดาษ ไหนเลยจะกล้าตอบรับ
บทกวีสองสามบทที่ฉินเฟิงเอ่ยขึ้นมา จริง ๆ แค่บทใดบทหนึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนทั้งอดีตและปัจจุบันตกตะลึงแล้ว
อย่างที่พูดไปเมื่อครู่ ต่อให้เขากล้ายอมรับ แล้วจะมีใครเชื่อหรือ?
ถ้าดันทุรังต่อไป ชีวิตนี้คงจะไม่ได้เขียนบทกวีอีก มิเช่นนั้นอาจถูกเปิดโปงได้ทุกนาที…
เมื่อเห็นว่าเซี่ยจิ้นซื่อไม่ตอบ ฉินเฟิงก็พับแขนเสื้อ ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นพร้อมกับเย้ยหยัน และทำท่าทีราวกับ ‘คนพาล’ อีกครั้ง “ตอบข้าสิ ใช่หรือไม่?”
ตุ้บ!
เซี่ยจิ้นซื่อคุกเข่าลงบนพื้น ดวงตาเหม่อลอย พูดอ้อมแอ้มออกมาว่า “ไม่… ไม่ใช่”
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็เกิดความโกลาหลขึ้นรอบ ๆ
คนไร้หัวคิดที่เดิมกล่าวหาฉินเฟิง ต่างชี้นิ้วไปที่เซี่ยจิ้นซื่อทีละคน
เมื่อเซี่ยจิ้นซื่อเผชิญกับคำวิจารณ์ทางวาจา เขารู้ทันทีว่าชื่อเสียงถูกทำลายป่นปี้แล้ว จึงทรุดตัวลงบนพื้น ทำท่าทางราวกับศพเดินได้
ฉินเฟิงไม่สนใจ เขาหันไปมองที่หลี่รุ่ยผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด
“นายน้อยหลี่ คิดว่าอย่างไร? ถ้ายังไม่พอ ข้าจะแต่งให้เจ้าอีกสักโหล”
“อย่างไรก็ตาม บทกวีของข้าไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะฟังได้ เฉิงฟาเจ้าอย่าลืมจ่ายหนึ่งแสนตำลึงเงินมาล่ะ เห็นแก่ความสัมพันธ์ของเรา ข้าจะลดให้เป็นพิเศษ จ่ายมาเก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าตำลึงเงินก็พอ! ห้ามต่อรอง!”
ให้ตายเถอะ ข้าว่าแล้วว่าลืมเรื่องสำคัญไปอย่างหนึ่ง ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อแสดงฝีมือโชว์สาว ๆ แต่ข้ามาที่นี่เพื่อหาเงิน…
ฉินเฟิงสับสนอยู่พักหนึ่ง แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที หากบทกวีหนึ่งบทมีค่าหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน แล้วเขายังต้องกังวลเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของตนอยู่อีกหรือ? แค่นอนเล่นอยู่บ้าน แล้วคัดลอกบทกวีที่อยู่ในหัวออกมาก็พอแล้วกระมัง?
อะแฮ่ม! แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพื่อเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการช่วยพัฒนาวรรณกรรมของโลกใบนี้ด้วย
นี่คือการเผยแพร่ความหลักแหลมของนักปราชญ์ที่สะสมมาหลายพันปีของประเทศจีนแก่โลกใบนี้!
ใบหน้าของหลี่รุ่ยเขียวปั้ด เขาขบฟันกรามแน่น แต่ข้อเท็จจริงนั้นดังกว่าคำพูด ต่อให้ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ
หลี่รุ่ยหายใจเข้าลึก ๆ ก้มลงช้า ๆ และทำความเคารพ “นายน้อยฉินมากพรสวรรค์ ไม่มีใครเทียบได้ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผู้น้อยแซ่หลี่ขอแสดงความนับถือ”
แม้แต่หลี่รุ่ยยังยอมรับแล้ว บัณฑิตในที่แห่งนั้นจึงไม่สงสัยอะไรอีก อีกทั้งสายตาที่มองฉินเฟิงก็เปลี่ยนแปลงไปราวฟ้ากับเหว
“ฉินเฟิง ผ่านเข้าสู่รอบชิง!”
ผู้คุมสอบหน้าแดงด้วยความตื่นเต้น และรีบประกาศเสียงดัง
[1] โม่โม่ : แอปพลิเคชั่นหาคู่ชื่อดังของจีน
[2] ดอกเหมยชูช่องามอร่ามสี พู่กันนี้เคียงคู่ดูบุปผา เกล็ดหิมะโปรยปรายเย็นกายา กลิ่นบุหงากลบสิ้นรินระรวย : คล้ายกับบทกวี 雪梅·梅雪争春未肯降 (เหมยเหมันต์-เหมยฮัวชูช่อสู้เกล็ดหิมะ) ของหลู่เหมยพั่ว
[3] เหมยขาวเติบโตกลางเหมันต์ แยกตัวจากนานาพันธ์ุบุปผา หนึ่งราตรีส่งกลิ่นยั่วอุรา ดั่งวสันตฤดูหวนมาในหมื่นลี้ : บทกวี 解释 (พลัมขาว) ของวังเมียน แห่งราชวงศ์หยวน กวีอุปมาตัวเองกับต้นพลัมที่ยืนต้นในฤดูหนาว แสดงถึงความบริสุทธิ์และทัศนคติต่อชีวีต
[4] หุบเขายามไร้นกวิหคเหิน เส้นทางเดินไร้รอยชนทั้งหลาย ธารหิมะร่วงโรยหล่นโปรยปราย ชายชราเดียวดายอยู่บนเรือ : บทกวี 江雪 (ธาราหิมะโปรย) ผู้แต่ง หลิ่วจงหยวน ราชวงศ์ถัง บทกวีบรรยายถึงภาพความโดดเดี่ยวอ้างว้าง
[5] นั่งเดียวดายกายเหงาเคล้าเสียงฉิน ได้ยลยินเสียงบรรเลงเพลงเฉิดฉาย พงไพรลึกพฤกษานานาราย ศศิคล้ายประโลมเล่นเด่นแสงนวล : บทกวี 竹里馆 (เรือนในป่าไพ่) ผู้แต่ง หวังเหว่ย สมัยราชวงศ์ถัง พรรณนาชีวิตยามว่างของกวีที่นั่งเดียวดายใต้แสงจันทร์ บรรเลงฉินและร้องบทเพลง
[6] สารทฤดูชูความงามอร่ามล้ำ ยะเยือกน้ำหยาดระเหยเผยกลิ่นหอม เสียงไรเรขับอารมณ์ให้ตรมตรอม ครั้งหนึ่งเคยดมดอมหวนคำนึง : บทกวี 野菊 (เบญจมาศป่า) ผู้แต่ง หวังเจี้ยน สมัยราชวงศ์ถัง พรรณนาลักษณะเฉพาะของดอกเบญจมาศป่า
MANGA DISCUSSION