บทที่ 18 ลงมือโหดเหี้ยมจริง ๆ
จิ่งเชียนอิ่งไม่เอ่ยอะไรออกมาและทำท่าทีสื่อเป็นนัยว่า “แล้วแต่เจ้า”
ฉินเฟิงโกรธอยู่ในใจ หากไม่ใช่เพราะไม่สามารถเอาชนะนางได้ เขาจะต้องผลักพี่สาวผู้นี้ลงไปที่พื้นและสอนบทเรียนดี ๆ ให้สักครั้งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม พอคิดดูแล้ว น้ำดีอย่าปล่อยให้ไหลเข้าทุ่งคนนอก* [1] แม้เงินหนึ่งแสนตำลึงจะถูกมอบให้กับจิ่งเชียนอิ่งก็ยังดีกว่าให้เฉิงฟา ไอ้สารเลวนั่น
ข้าอาจไม่ได้กำไร แต่เจ้าต้องเสียเลือด!
นายน้อยตระกูลฉินนำคนและม้าออกไปทันที แม้ว่าจะมีเพียงชูเฟิง ฉินเสี่ยวฝูและเสี่ยวเซียงเซียง แต่ทั้งหมดกลับทำท่าทางราวกับว่ากำลังนำกองทหารนับพันเดินทัพไปยังจวนตระกูลเฉิงอย่างยิ่งใหญ่
เมืองหลวงใหญ่ถึงเพียงนี้ระยะทางระหว่างจวนสองตระกูลที่มีชื่อเสียงนั้นไม่นับว่าไกล
ใช้เวลาครึ่งก้านธูป*[2] ทั้งสามก็มาถึงจวนของตระกูลเฉิง
อย่างไรก็ตาม นายท่านเฉิงเป็นเพียงเลขาธิการกรมคลัง ในแง่ของตำแหน่งขุนนางนั้นต่ำกว่าบิดาเขาถึงสองขั้น ดังนั้นขนาดของจวนตระกูลทั้งสองย่อมเทียบกันไม่ได้
ฉินเฟิงไม่เกรงใจ เขาตรงขึ้นบันได ทุบประตูแล้วตะโกน “คนแซ่เฉิง ไสหัวออกมาหาอาจารย์เดี๋ยวนี้!”
ผู้คุ้มกันจวนตระกูลเฉิงคิดว่ามีคนมาสร้างปัญหา พวกเขาเจ็ดแปดคนรีบกรูออกมา อาศัยสถานะเลขาธิการกรมคลังยกไม้ขึ้นหมายจะทุบตีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ชูเฟิงที่ติดตามอยู่ข้างกาย แม้ว่าจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องอาวุธแต่ค่อนข้างถนัดเรื่องหมัดมวย
เมื่อเห็นผู้คุ้มกันกระจอก ๆ เหล่านี้บังอาจที่จะลงมือกับนายน้อย นางจึงเตะผู้คุ้มกันที่อยู่ตรงหน้ากระเด็นออกไปทันที เท้าซ้ายยังไม่ทันได้แตะพื้น เท้าขวาก็เตะออกไปอีกครั้งเข้าที่หน้าของผู้คุ้มกันอีกคน
ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ผู้คุ้มกันทั้งห้าคนก็ล้มลง ทำให้สองคนสุดท้ายที่เหลือไม่กล้าขยับเขยื้อน พวกเขายืนตะโกนอยู่ด้านข้าง
ดวงตาของฉินเฟิงเป็นประกายสดใส สมกับเป็นสาวใช้คนสนิทของพี่หญิงสี่ ฝีมือเก่งกาจ เขาปรบมือแรง ๆ ทันที “สวยงาม!”
ชูเฟิงรู้สึกเขินอายอยู่บ้างกับคำชมของนายน้อย นางกลับไปยืนข้างหลังเขาและก้มหน้าลง
การเคลื่อนไหวนอกประตูดึงดูดความสนใจของพ่อบ้านจวนตระกูลเฉิง เขาจำฉินเฟิงได้ตั้งแต่แวบแรกจึงตบหน้าผู้คุ้มกันสองคนด้วยหลังมือและเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ไอ้พวกมีตาหามีแววไม่ แม้แต่บุตรชายของตระกูลเสนาบดีกรมกลาโหมก็จำไม่ได้! รนหาที่ตายนัก! ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
ผู้คุ้มกันทั้งหลายต่างช่วยกันประคองพรรคพวกและวิ่งหนีไปด้วยความสิ้นหวัง
พ่อบ้านตระกูลเฉิงยิ้มจนหน้าบาน “นายน้อยฉิน ล้วนเป็นความผิดของข้าที่ขาดการควบคุม ปล่อยให้พวกตาบอดเหล่านั้นล่วงเกินท่าน”
ฉินเฟิงยิ้มเล็กน้อย ยกมือขึ้นตบไหล่พ่อบ้านแล้วเอ่ยอย่างเหิมเกริม “อย่ามัวชักช้าร่ำไร รีบเอาเงินมาซะ!”
“เงิน?” พ่อบ้านผงะ เขาแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “เงินอะไร?”
“ตาเฒ่า เจ้าแสร้งทำเป็นไขสือกับข้าหรือ?” ฉินเฟิงมองออกตั้งแต่แรกว่าอีกฝ่ายเป็นคนขี้ขลาด เขายิ้มเยาะ “อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าตีเจ้าเพราะอายุมาก ต่อให้เป็นตาเฒ่าอายุเจ็ดสิบแปดสิบปี ข้าล้วนตีมาหลายคนแล้ว”
ใบหน้าของพ่อบ้านเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนจะซีดเผือด เขาพบว่าฉินเฟิงผู้นี้สุดยอดจริง ๆ รังแกคนที่อ่อนแอกว่า แต่กลัวคนที่แข็งแกร่งกว่า
เมื่อพบคนหนุ่มกำยำล่ำสันเขาหลบหลังผู้คุ้มกัน แต่พอเจอคนแก่อ่อนแอก็โผล่มาอวดบารมี ไร้ยางอายสมคำร่ำลือจริง ๆ!
แม้ว่าในใจของเขาจะโกรธ แต่ฉินเฟิงก็เป็นบุตรชายของเสนาบดี พ่อบ้านไม่อาจไร้มารยาทจึงได้แต่กัดฟันตอบไปว่า “ข้าไม่เข้าใจ นายน้อยโปรดช่วยอธิบายด้วย”
“เฉิงฟาเป็นหนี้ข้าหนึ่งแสนตำลึงเงิน เข้าใจหรือไม่? รีบให้เขาออกมาสิ มีอย่างที่ไหน อาจารย์มาแล้วแต่ศิษย์กลับไม่ออกมาทักทายด้วยตนเอง ช่างไร้การสั่งสอนเสียจริง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พ่อบ้านเกือบจะหัวเราะด้วยความโกรธ การสั่งสอน? นายน้อยฉินท่านคู่ควรที่จะเอ่ยคำว่า ‘สั่งสอน’ ออกมาหรือ?
อย่างไรก็ตาม พ่อบ้านรู้เรื่องเงินหนึ่งแสนตำลึงเงิน เฉิงฟาเป็นคนบอกเขาเองว่า หากฉินเฟิงมาสร้างปัญหาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ
ไม่ว่าอย่างไรตระกูลเฉิงก็เป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก เขาไม่เชื่อว่าฉินเฟิงจะกล้าวุ่นวาย
ด้วยเหตุนี้พ่อบ้านตระกูลเฉิงจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และปล่อยให้นายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้ก่อความวุ่นวาย
แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว เจ้าหนุ่มนี่ดูเหมือนจะหลอกไม่ได้ง่าย ๆ… พ่อบ้านคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยยิ้มกว้าง “นายน้อยฉินรอสักครู่ ข้าจะไปรายงานนายน้อยเฉิงให้”
ฉินเฟิงโบกมือและเอ่ยอย่างรำคาญ “เร็วเข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารีบ? หากชักช้าอีกเพียงหนึ่งก้านธูป ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งพันตำลึงเงิน ไปลองคิดดูเอาเองเถิด”
พ่อบ้านด่าในใจ ร้านแลกเงินใต้ดินยังไม่ใจดำเท่าเจ้า!
ชายชราหันกลับไปที่จวนตระกูลเฉิงและปิดประตู
“ฮ่า ๆ อยากเล่นลูกไม้กับนายน้อยหรือ? เจ้ายังเด็กเกินไป…”
ฉินเฟิงนั่งลงแถว ๆ นั้นอย่างเหยียดหยามและฮัมเพลง
อย่างไรก็ตาม คนทั้งคณะรออยู่ที่ประตูเช่นนี้จนธูปหมดไปสองก้านเต็ม ๆ ก็ไม่เห็นใครจากจวนตระกูลเฉิงโผล่หัวออกมา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาถูกเบี้ยว?!
ชายหนุ่มกัดฟันด้วยความโกรธ เขาเข้าใจแล้วว่าเฉิงฟา ไอ้ลูกศิษย์คนนี้ต้องการเบี้ยวหนี้อย่างเห็นได้ชัด!
เมื่อคิดได้ดังนี้ ฉินเฟิงก็ลุกขึ้นและพุ่งไปที่ประตู เขากระแทกประตูอีกครั้ง แต่หลังจากทุบอยู่นานก็ไม่มีใครตอบกลับ
“แสร้งเป็นเต่าหัวหดกับข้างั้นหรือ? คิดว่าข้าไม่มีวิธีจัดการกับเจ้าหรือไร?”
นายน้อยตระกูลฉินหัวเราะเสียงเย็น เขาหันกลับมาเรียกฉินเสี่ยวฝูและสั่งให้เด็กหนุ่มไปพากลุ่มขอทานมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอทานเก่าแก่ที่นอนกลางดินกินกลางทราย อดอยากยากแค้นที่สุด สำหรับขอทานใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการนั้นไม่เอา
ฉินเสี่ยวฝูไม่เข้าใจว่าเจ้านายต้องการทำอะไร แต่จากความเข้าใจของเขานายน้อยมีแผนร้ายอยู่เต็มสมอง อีกฝ่ายต้องคิดหาทางตอบโต้ตระกูลเฉิงอยู่แน่นอน เด็กหนุ่มถามอย่างตื่นเต้น “นายน้อย ท่านต้องการขอทานกี่คน?”
“ยิ่งมากยิ่งดี! บอกพวกเขาว่าข้า นายน้อยผู้นี้ได้แสดงความเมตตาจัดหาที่พักและอาหารให้!”
ฉินเสี่ยวฝูวิ่งฉิวออกไป ไม่นานหลังจากนั้นก็กลับมาพร้อมกลุ่มขอทานเก่าแก่ถึงยี่สิบคน
ฉินเฟิงสั่งให้เสี่ยวเซียงเซียงไปที่ร้านขายผ้าใกล้ ๆ และซื้อผ้าขาวมาผืนหนึ่งเขาเขียนอักษรตัวใหญ่สี่ตัวลงบนผ้าด้วยพู่กันแต้มหมึกสีแดงสด ‘ค้างหนี้ต้องชำระ’
“มา ๆ มาแขวนที่ประตูจวนตระกูลเฉิง”
หลังจากที่ฉินเฟิงออกคำสั่ง บ่าวคนสนิทอย่างฉินเสี่ยวฝูก็ไม่มัวโอ้เอ้ ไปแขวนป้ายไว้บนประตูจวนตระกูลเฉิง แผ่นป้ายนี้ดึงดูดผู้คนที่เดินผ่านไปมานับไม่ถ้วนให้หยุดดูทันที
เหล่าฝูงชนรอชมโดยไม่ได้รู้เรื่องราวหลังม่าน พวกเขาพากันวิพากษ์วิจารณ์
“เกิดอะไรขึ้น? คนผู้นี้ไม่รู้หรือว่านี่เป็นจวนตระกูลเฉิงของเลขาธิการกรมคลัง? กล้าก่อความวุ่นวายเช่นนี้ได้อย่างไร”
“เฮ้ พี่ชายไม่รู้หรือ? เลขาธิการกรมคลังแล้วอย่างไรเล่า? ท่านดูนั่นสิ นั่นเป็นบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหม!”
“แม้แต่ฉินเฟิงยังไม่รู้จัก? เขาเป็นตัวหายนะที่โด่งดังในเมืองหลวงของเรา ขึ้นเรือนเลาะหลังคา ลงแม่น้ำตกปลา ไม่มีอะไรที่เขาไม่กล้าทำ”
“แต่ข้าได้ยินว่า… การสอบชุมนุมกวีเมื่อวานนี้ เขามีชื่อเสียงมาก”
“คำถามคือตระกูลเฉิงไปยั่วยุบุรุษท่านนี้ได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้น เสี่ยวเซียงเซียงก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย นางเอ่ยเตือนเสียงแผ่วเบา “นายน้อย ตระกูลเฉิงเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก หากทำเช่นนี้จะไม่…”
ก่อนที่เสี่ยวเซียงเซียงจะพูดจบ ฉินเฟิงก็โบกมือและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “จะกลัวอะไร! ติดหนี้ต้องชำระหนี้ ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิตเป็นสิ่งที่ชอบธรรม!”
ฉินเฟิงเรียกขอทานเก่าแก่มาตรงหน้าเขา ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มชั่วร้าย “ข้าจะตะโกนหนึ่งประโยคแล้วพวกเจ้าตะโกนตาม ยิ่งเจ้าตะโกนดังเท่าใด นายน้อยอย่างข้ายิ่งให้เงินตอบแทนมากเท่านั้น”
“ผู้ใดเสียงดังที่สุดจะได้รับรางวัลเป็นเงินสิบตำลึงเงิน สำหรับผู้ที่ทำงานได้ดี”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ดวงตาของขอทานเก่าแก่ต่างสว่างไสว
ฉินเฟิงหันหลังให้ประตูของจวนตระกูลเฉิงแล้วค่อย ๆ ยกสองมือขึ้น เขาโบกมือราวกับเป็นผู้ควบคุมวงดนตรี “มา ตะโกนพร้อมข้า”
“เฉิงฟา เฉิงฟา ไร้ยางอาย ท่องเรือฟรีไม่จ่ายเงิน นายน้อยตระกูลฉินเจียดเงินของเขา จ่ายเงินล่วงหน้าช่างมีเมตตา…”
[1] น้ำดีอย่าปล่อยให้ไหลเข้าทุ่งคนนอก : ถ้ามีอะไรดี ๆ ก็อย่าไปให้ คนอื่น
[2] หนึ่งก้านธูป : เวลาประมาณ 30 นาที
MANGA DISCUSSION