บทที่ 166 กลยุทธ์สงครามแบบพิเศษ
แนวคิดหลักคือ ถ้าข้าศึกไม่ฝืนบุกโจมตีตรง ๆ ก็จะไม่มีการรบแบบใช้กำลังพลกลุ่มใหญ่
ใช้ทหารม้ากองเล็กเพื่อก่อกวนศัตรูแบบกองโจร สะสมชัยชนะมากขึ้นทีละนิด ๆ และค่อย ๆ บรรลุจุดประสงค์ของการบั่นทอนกำลังศัตรู
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง พระสุรเสียงทุ้มลง “ทหารราบนั้นช้า ทั้งยังอ่อนแอในด้านกำลังรบ จะสามารถเข้าไปลึกถึงแนวหลังศัตรู และทำการโจมตีแบบกองโจรได้อย่างไร?”
ฉินเฟิงมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป น้ำเสียงของเขาค่อนข้างหนักแน่น “หากเป็นการโจมตีระยะไกล ทหารม้าย่อมโดดเด่นกว่าแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ แต่ทหารราบเหนือกว่าในแง่ความยืดหยุ่นและยังเชี่ยวชาญเรื่องการซ่อนตัว ตราบใดที่กระจายตัว แล้วหยั่งรากลึกเข้าไปในแนวของศัตรู ก็จะทำให้กองทัพศัตรูปวดหัวได้ทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ดังคำกล่าวที่ว่า เพลิงป่าแผดเผาไม่สิ้น ลมวสันต์เป่าฟื้นคืน*[1]”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงค่อย ๆ ตื่นเต้นขึ้นมา ในการต่อสู้โดยวิธีบั่นทอนเช่นนี้ การสูญเสียจะน้อยมาก และผลลัพธ์ที่ได้กลับมาจะมีประสิทธิภาพสูงสุด
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงต้องการจะพูดบางอย่าง ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็รีบโบกพระหัตถ์ “ไม่เป็นไรพูดมาเถอะ เจิ้นจะยกโทษให้เจ้าเอง”
ฉินเฟิงยังคงยุ่งยากใจ อึก ๆ อัก ๆ ลังเลที่จะพูด กระบิดกระบวนราวกับลูกสะใภ้ตัวน้อย
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงย่อมเข้าใจว่า เด็กตัวเหม็นคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงแค่นเสียงหึ และพูดอย่างเหยียดหยาม “เจ้าสามารถทำการค้าต่อไปได้ และเจิ้นจะไม่ก้าวก่ายเจ้า!”
ด้วยคำพูดนี้ ฉินเฟิงก็มีความมั่นใจทันที เขายิ้มแหะ ๆ เริ่มลำพองขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเอ่ยอย่างได้ใจ “แก่นแท้ของสงครามกองโจรอยู่ที่การทำให้ทหารกลุ่มเล็ก ๆ ทั้งหมดกลายเป็นทหารชั้นยอด อย่างเช่นใบมีดคม หากโดนพวกเขาแทงเข้าไปก็จะทำให้ข้าศึกรู้สึกเจ็บปวด ดังนั้น จึงเหมือนกับกองกำลังพิเศษมากกว่ากองโจรพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้พลันเกิดการพูดคุยกันอย่างดุเดือดในที่เกิดเหตุ
“กองกำลังพิเศษ?! หมายถึงอะไรนั่น?”
“เดี๋ยวก่อน เจ้าจำพลธนูทหารราบที่ฉินเฟิงส่งมาในด่านทลายขบวนทัพได้หรือไม่? แม้ว่าจะเป็นพลธนู แต่กลับสามารถปฏิบัติหน้าที่ในการต่อสู้ได้เกือบทุกรูปแบบ หรือว่านี่จะเป็นกองกำลังพิเศษ”
“ถ้าทหารต้าเหลียงทุกคนเก่งพอ ๆ กับพลธนูทหารราบ การเอาชนะเป่ยตี๋ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม!”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจ้องเขม็งไปที่ฉินเฟิง แล้วตรัสทีละคำว่า “กองกำลังพิเศษ คือ อะไร?!”
ฉินเฟิงเผยใบหน้าพ่อค้าหน้าเลือด ในขณะเดียวกันก็มีท่าทางตื่นเต้น “สิ่งที่เรียกว่ากองกำลังพิเศษคือ ทหารที่มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติการพิเศษพ่ะย่ะค่ะ การฝึกทหารต้าเหลียงธรรมดาในหนึ่งปีต้องใช้งบประมาณราว ๆ สามตำลึงเงิน แต่ในการฝึกทหารกองกำลังพิเศษนั้นต้องใช้เงินถึงสามสิบถึงห้าสิบตำลึงเงิน แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะมากกว่าทหารธรรมดาสิบเท่า แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้นั้นย่อมมากกว่า จนเทียบกันไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าจะมีกองกำลังพิเศษเพียงหยิบมือเดียว เราก็สามารถบรรลุเป้าหมายด้านพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง และจะไม่ถูกกำจัดง่าย ๆ หากทหารม้าของข้าศึกกระจัดกระจายก็จะถูกกำจัดโดยกองกำลังพิเศษ หากต้องการกำจัดกองกำลังพิเศษทำได้เพียงส่งทหารม้ากองใหญ่มาเท่านั้น และทันทีที่ส่งมา พลังการต่อสู้ของกองทัพข้าศึกก็จะกระจัดกระจายเหมือนเดิม เพราะมัวคำนึงถึงทางนี้จึงพลาดทางนั้น วิ่งเต้นไปมาจนหมดแรง”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงรู้สึกตื่นเต้นมากจนตบโต๊ะและตรัสถามเสียงดังทันที “เจ้าหนู เจ้ามันน่าตีจริง ๆ! นี่ไม่ใช่คำถามที่เจิ้นถามรึ? กองกำลังพิเศษสามพันคนจะล้มเหลวในการเอาชนะทหารม้าห้าพันคนได้อย่างไร?”
ฉินเฟิงมีสีหน้าตื่นตกใจ เขารีบโบกมืออย่างประหม่า “ฝ่าบาท ทำเช่นนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ หากทำสงครามแบบรวมพล กองกำลังพิเศษจะสูญเสียคุณค่าในทันที และจะถูกทหารม้าแขวนคอทุบตี กล่าวคือ ในการต่อสู้แบบเผชิญหน้า มีเพียงทหารม้าเท่านั้นที่จะเอาชนะทหารม้าได้ ไม่อาจใช้กองกำลังพิเศษแทนที่ทหารราบได้พ่ะย่ะค่ะ”
ที่แท้เป็นเช่นนี้
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงค่อย ๆ นั่งลง แต่อารมณ์ยังคงตื่นเต้นหาใดเปรียบ
เดิมทีเพียงคิดว่า ฉินเฟิงเต็มไปด้วยความคิดลูกไม้ พระองค์ต้องการดูว่า เขาสามารถหากลยุทธ์ที่ดีสำหรับทหารราบกับทหารม้าได้หรือไม่ และในที่สุดก็ได้รับยุทธวิธีและกลยุทธ์ที่ดีจริง ๆ
ปัญหาของทหารม้าที่สร้างความยุ่งยากพระทัยให้กับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงและแคว้นต้าเหลียงมาหลายชั่วอายุคน ถูกเจ้าตัวแสบฉินเฟิงแก้ไขได้อย่างสบาย ๆ แล้ว
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมองดูขุนนางบุ๋นและบู๊ในที่นั้น พลางตรัส “ขุนนางอันที่รัก พวกท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร?”
สิ้นดำรัสถาม ทุกคนก็คลายจากอาการตกใจ และระเบิดการอภิปรายอันร้อนแรงจนหนวกหู
“แผนนี้ใช้ได้!”
“สวรรค์คุ้มครองต้าเหลียง หากเราสามารถฝึกกองกำลังพิเศษออกมาจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างที่ฉินเฟิงพูดได้ จะต้องสามารถสร้างความสูญเสียอย่างหนักให้กับเป่ยตี๋ได้อย่างแน่นอน”
สุดท้ายแล้ว ผู้สามารถสรุปเรื่องนี้ได้ก็คือ แม่ทัพทหารม้ากับแม่ทัพเวยอู่
แม้ว่าหลี่ซวี่จะขยิบตาให้พวกเขาทั้งสองคนไม่หยุดหย่อน
แต่ในประเด็นทางการทหารและการเมือง ทั้งสองไม่ปล่อยให้มีความคลุมเครือ ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับชะตากรรมของแคว้นต้าเหลียง และความเป็นความตายของทหาร ด้วยเหตุนี้ ทั้งคู่จึงเพิกเฉยต่อหลี่ซวี่โดยสิ้นเชิง
แม่ทัพทหารม้าประสานหมัดคำนับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “กราบทูลฝ่าบาท คำพูดของฉินเฟิงถือได้ว่า เป็นแผนการอันยิ่งใหญ่ต่อแคว้นเรา กระหม่อมประจำการอยู่ที่ชายแดนมาครึ่งชีวิต รู้ซึ้งถึงความดุร้ายของทหารม้าเป่ยตี๋ หากมียุทธวิธีใดที่สามารถพลิกผันสถานการณ์ยากลำบากนี้ได้ คงไม่ใช่กลยุทธ์จากใครอื่น ย่อมต้องเป็นกลยุทธ์ของฉินเฟิงพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพเวยอู่ลุกขึ้นยืน สายตาเต็มไปด้วยความร้อนแรง “ตั้งแต่สมัยโบราณ เนื่องจากต้าเหลียงเราขาดทหารม้าจึงทำได้แค่ปกป้องเมือง และถูกเป่ยตี๋กัดกร่อน ตอนนี้เรามีกลยุทธ์ที่ดีเพียงนี้ เราสามารถกัดกร่อนเป่ยตี๋กลับได้ นี่เป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมซึ่งสามารถเขียนชะตากรรมของแคว้นต้าเหลียงเราขึ้นมาใหม่อีกครั้ง กระหม่อมขอบังอาจเสนอแนะ ให้ฉินเฟิงรับผิดชอบสงครามในเป่ยตี๋พ่ะย่ะค่ะ…”
ก่อนที่แม่ทัพเวยอู่จะเอ่ยคำว่า ‘ตำแหน่งขุนนาง’ ฉินเฟิงก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังลั่น เตะขาและเบิกตา ทำท่าทางราวกับว่า ‘โรคร้ายกำเริบ’
ฉินเทียนหู่ไม่เพียงแต่ภูมิใจในพรสวรรค์ของฉินเฟิง แต่ยังทอดถอนใจกับปฏิกิริยาอันรวดเร็วของเจ้าหนูนี่ เขาจึงรีบถือโอกาสพูดต่อ “ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของท่านแม่ทัพ แต่ฉินเฟิงมีโรคร้าย มักจะสติไม่อยู่กับร่องกับรอย ใช้งานได้ยาก”
คนอื่น ๆ ล้วนพยายามทำทุกวิถีทางให้ได้รับตำแหน่งขุนนาง และเลื่อนบรรดาศักดิ์
ทว่าทายาทของตระกูลฉินกลับดีนัก เกรงกลัวตำแหน่งขุนนางราวกับเสือ
เมื่อเห็นฉินเฟิงปากเบี้ยวตาเข และทำท่าทางโรคกำเริบเตะขาแทบเป็นแทบตาย ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ทรงโกรธ จนต้องแย้มพระโอษฐ์ และโบกพระหัตถ์ทันที “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตำแหน่งขุนนางแล้ว การถวายกลยุทธ์ของฉินเฟิงต่อต้าเหลียงถือเป็นคุณงานความดีเรื่องแรก เอาล่ะ… ทุกคนฟังคำสั่ง! กลยุทธ์สงครามนี้เป็นความลับของต้าเหลียง จะต้องไม่แพร่งพรายไปยังบุคคลภายนอก หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ทุกคนที่นี่ย่อมหนีไม่พ้นความผิด!”
ทุกคนล้วนเข้าใจว่าหากเป่ยตี๋ล่วงรู้ และเตรียมตัวล่วงหน้า พวกเขาย่อมเสียโอกาส
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตื่นเต้นหาใดเปรียบ นับตั้งแต่เป่ยตี๋บุกเข้ามาที่ชายแดน
และทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณองค์หญิงใหญ่
หากองค์หญิงใหญ่ไม่บังคับให้ฉินเฟิงยอมจำนน เขาคงพลาดกลยุทธ์ทางทหารนี้แล้ว
แต่เมื่อคิดถึงเท่านี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็รู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย องค์หญิงใหญ่แทบไม่ได้พบปะกับฉินเฟิงเลย นางสามารถเข้าใจความคิดของฉินเฟิงได้ดีขนาดนี้ได้อย่างไร?
ขณะที่กำลังจะถามคำถาม เขากลับเห็นองค์หญิงใหญ่ยืนขึ้นโค้งคำนับ และกระซิบเสียงเบา “ฝ่าบาท เจาเสียงมีบางอย่างจะกล่าว ฉินเฟิงนำเสนอกลยุทธ์ทางทหาร สร้างคุณงามความดีอย่างยิ่งยวด ดังนั้นจึงสมควรได้รับรางวัลใหญ่ เพียงแต่ว่า ฉินเฟิงมีความเชี่ยวชาญในด้านการค้า น้องเกรงว่าจะไม่เห็นเงินทองของอ่อนนุ่มอยู่ในสายตา”
เมื่อพูดถึงเท่านี้ องค์หญิงใหญ่ก็มองดูฉินเฟิงอย่างลึกซึ้ง และเอ่ยอย่างมีความหมาย “ฉินเฟิงอายุไม่น้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงาน ผู้ที่รู้เข้าใจว่าฉินเฟิงมีความคิดอ่านช้า ผู้ที่ไม่รู้คิดว่าทายาทของตระกูลฉินมีปัญหาทางร่างกาย เพื่อปิดปากทุกคน ไม่สู้ประทานสมรสพระราชทานให้ฉินเฟิงเล่าเพคะ”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ฉินเฟิงก็ราวกับถูกของร้อนหกใส่ เขากระโดดขึ้นจากพื้น หยุดกลอกตาและพ่นฟองน้ำลาย พลางเอ่ยอย่างตั้งตัวไม่ทัน “ฝ่าบาท กระหม่อมมีนางในดวงใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ว่าจะแต่งงานก็ต้องเลือกจากพี่สาวทั้งหลายในตระกูลเท่านั้น!
องค์หญิงใหญ่ยิ้มอย่างสบาย ๆ “ข้ารู้ความคิดของเจ้าอยู่แล้ว เจ้ากับเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์มีใจตรงกัน ใครในเมืองหลวงไม่รู้บ้าง?”
ฉินเฟิงตบต้นขาของเขา แย่แล้ว!
[1] เพลิงป่าแผดเผาไม่สิ้น ลมวสันต์เป่าฟื้นคืน : หมายถึง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถฆ่าได้จนหมดสิ้น
MANGA DISCUSSION