บทที่ 16 หนทางแห่งความร่ำรวย
หลิ่วหงเหยียนมองไปที่ฉินเฟิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ สิ่งที่พูดมาเมื่อครู่นี้ หากไม่มีประสบการณ์สะสมมากกว่าสิบปีในการค้าขาย คงไม่อาจกล่าวออกมาได้เป็นแน่!
เขายังเป็นน้องชายตัวเหม็นที่รู้จักแค่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย กินดื่มเที่ยวผู้หญิง และเล่นการพนันอีกหรือไม่?
เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี่เป็นพ่อค้าหน้าเลือดที่มีประสบการณ์!
“เจ้าเด็กตัวเหม็น เจ้าไปเรียนรู้ทั้งหมดนี้มาจากที่ไหน”
เมื่อมองไปที่ฉินเฟิงซึ่งเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง หลิ่วหงเหยียนก็ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือกลัวดี
นายน้อยตระกูลฉินสั่งให้ฉินเสี่ยวฝูและเสี่ยวเซียงเซียงเก็บน้ำตาลที่กรองแล้ว ในขณะที่เกานิ้วไปมาเขาก็เริ่มอธิบายอย่างจริงจัง
“ข้าเคยอ่านคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่งชื่อ ‘คัมภีร์เทียนกงไคอู้’ มาก่อน ในนั้นมีของแปลก ๆ มากมาย ข้าไม่กล้าใช้มันเพราะกลัวท่านพ่อจะหาว่าทำตัวแปลกพิลึก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลิ่วหงเหยียนก็ยกเท้าขึ้นด้วยความโกรธ นางเตะก้นของฉินเฟิงไปหนึ่งที
หลิ่วหงเหยียนมีรูปร่างเพรียวบาง แม้ว่านางจะเตะไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่คนโดนเตะก็รู้สึกราวกับได้รับการนวดเท่านั้น
ฉินเฟิงชอบมันอยู่ลึก ๆ แต่กลับแสดงท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวราวกับว่ากระดูกของเขาหัก ชายหนุ่มเกือบจะร้องไห้ไปฟ้องท่านพ่อว่าพี่หญิงรองทำร้ายตนเอง
หลิ่วหงเหยียนเท้าเอวด้วยมือซ้าย นางใช้มือขวาชี้ไปที่หน้าผากของฉินเฟิง อดไม่ได้ที่จะโกรธ “เจ้าตัวล้างผลาญ เจ้าคิดอะไรของเจ้า ทำตัวแปลกพิลึกอะไร นี่มันฉลาดเฉียบแหลมชัด ๆ วิธีทำน้ำตาลนี้เปลี่ยนขยะให้เป็นสมบัติล้ำค่า เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันสามารถทำกำไรได้เท่าไหร่?”
“ถ้าตามที่เจ้าว่ามา วิธีทำน้ำตาลเป็นเพียงความรู้หนึ่งในคัมภีร์ ในนั้นจะต้องมีหนทางร่ำรวยอีกแน่! เจ้าเอา ‘คัมภีร์เทียนกงไคอู้’ อะไรนั่นออกมาเถอะ พี่หญิงรองจะช่วยเก็บรักษาไว้ให้เอง ป้องกันเอาไว้ เผื่อวันหนึ่งวันใดเจ้าเลอะเลือนจนเผลอมอบมันให้กับสตรีน้อยที่ไหนก็ไม่รู้เข้า”
ช่วยเก็บรักษาอะไร ท่านคิดจะริบไปไว้ในครอบครองชัด ๆ!
พี่หญิงรอง ท่านก็เรียนรู้ที่จะทำเรื่องไม่ดีแล้ว!
ฉินเฟิงเบะริมฝีปาก แต่เพื่อป้องกันไม่ให้หลิ่วหงเหยียนยึดติดกับเรื่องนี้ เขาเอียงศีรษะ ระดมความคิดเพื่อหาคำโกหก “คัมภีร์เทียนกงไคอู้เล่มนั้นได้ขาดรุ่งริ่งกลายเป็นเศษกระดาษไปนานแล้ว แต่วิธีประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ อยู่ในสมองของข้าเรียบร้อย ถ้าพี่หญิงรองต้องการ จะเอาไปก็ได้”
หลิ่วหงเหยียนพลันปวดหัว “ในสมองของเจ้า แล้วข้าจะเอามาอย่างไร หรือจะให้ผ่าเปิดกะโหลกของเจ้าเสีย?”
“เอ๋? นั่นไม่ได้นะ สมองของข้าต้องเก็บไว้…” ฉินเฟิงโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น และเอ่ยขึ้นอย่างคาดหวัง “พี่หญิงรอง ท่านเคยได้ยินเรื่องการสูดดมไหม ความรู้ของข้าออกไปได้ แค่เพียงสูดดมไปก็พอแล้ว”
“พี่หญิงทั้งหลายปกป้องน้องชายเช่นข้ามานาน ถึงเวลาที่ข้าต้องช่วยเหลือตระกูลบ้าง! พี่หญิงรอง ท่านสูดดมข้าได้เต็มที่เลย!”
หลังจากที่พูดอย่างเคร่งขรึมฉินเฟิงก็ทำหน้ามุ่ย
ประกายสีชมพูสว่างวาบไปทั่วแก้มของหลิ่วหงเหยียน นางยกกำปั้นขึ้นด้วยความโกรธ “เจ้าสารเลว เจ้ารังแกแม้แต่พี่หญิงของเจ้าแล้วรึ อยากโดนทุบสินะ!”
นายน้อยของตระกูลหันหลังวิ่งหนีพลางตะโกนอย่างเกินจริง “ช่วยด้วย พี่หญิงรองกำลังจะตีก้นข้า… อ๊าก เจ็บจังเลย!”
“วิ่งไปสิ ข้าจะดูว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้!”
หลิ่วหงเหยียนยอมแพ้หลังจากไล่ตามไปด้วยความโกรธสองสามก้าว นางทำอะไรกับเด็กตัวเหม็นคนนี้ไม่ได้จริง ๆ
เมื่อเห็นว่าฉินเสี่ยวฝูและเสี่ยวเซียงเซียงเก็บน้ำตาลทรายขาวใส่ไหทั้งสองจนเต็มแล้ว คุณหนูรองตระกูลฉินก็ไม่สนใจเด็กเหลือขอคนนั้นอีก นางสั่งให้ทั้งสองหาอะไรมาปิดไห แล้วย้ายทั้งหมดไปที่ลานเล็ก ๆ ของฉินเฟิง เพื่อจัดวางไว้ในห้องเก็บของ
จากนั้นก็เรียกบ่าวทั้งสองคนมาด้านหน้า คุณหนูรองหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากเอว และเอาเหรียญเงินขนาดเล็กออกมาสองเหรียญ เพื่อแบ่งให้ทั้งคู่คนละเหรียญ
“เจ้าสองคนก็ทำงานหนักเช่นกัน เงินสองตำลึงเงินนี้เป็นค่าเหนื่อยของพวกเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นในลานวันนี้ปล่อยให้เน่าอยู่ในท้องพวกเจ้าเท่านั้น ห้ามพูดออกมาเด็ดขาด”
“หากวิธีทำน้ำตาลรั่วไหล ข้าจะถลกหนังของเจ้าทั้งสองออกเสีย จำเอาไว้”
สถานะของหลิ่วหงเหยียนในจวนฉินเทียบเท่ากับหัวหน้าฝ่ายใน
เรื่องน้อยใหญ่ทั้งหมดล้วนต้องผ่านมือนาง และแม้แต่ฉินเทียนหู่ก็พึ่งพาลูกสาวคนนี้เป็นอย่างมาก
คำพูดของหลิ่วหงเหยียน ไม่มีใครกล้าขัด
ฉินเสี่ยวฝูเห็นอย่างนี้ก็หมอบลงกับพื้น พร้อมทำท่าทางราวกับว่าเขาจะไม่พูดคำว่า ‘น้ำตาล’ ออกมาอีกตลอดชีวิต
เสี่ยวเซียงเซียงรับเงินด้วยความกังวลใจ นางสาบานว่าจะไม่ทรยศต่อเจ้านายเด็ดขาด
เมื่อหลิ่วหงเหยียนกำชับพวกเขาทั้งสองเสร็จ ฉินเฟิงที่วิ่งหนีไปรอบ ๆ ก็กลับมาอีกครั้ง
“ฮึ ๆ พวกเจ้าคงได้ยินที่พี่หญิงพูดแล้ว ถ้าควบคุมปากตัวเองไม่ได้ แม้แต่ข้าก็ปกป้องไม่ไหว แต่ตราบใดที่เจ้าสองคนทำงานดี รางวัลก็ขาดไปไม่ได้เช่นกัน… จากนี้ไปข้าจะให้เงินเพิ่มอีกห้าตำลึงเงินทุกเดือน!”
“จริงหรือขอรับ?!”
“พูดมาก” ฉินเฟิงเคาะมือลงบนหัวเสี่ยวฟู “นายน้อยคนนี้เคยโกหกเจ้าเมื่อใดกัน”
“ประเสริฐนัก นายน้อย ท่านคือบิดาคนใหม่ของข้า!”
ฉินเสี่ยวฝูซาบซึ้งใจมากจนน้ำมูกน้ำตาไหล เขาอ้าแขนโผเข้ากอดฉินเฟิง
ไสหัวไป…
นายน้อยผู้นี้หาได้สนใจไม้ป่าเดียวกันไม่!
ฉินเฟิงเตะฉินเสี่ยวฝูออกไปด้วยท่าทางรังเกียจ จากนั้นก็มองไปที่สาวใช้คนงามด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่า ถ้าเสี่ยวเซียงเซียงอยากจะกอด นายน้อยผู้นี้ก็ช่วยให้สมปรารถนาได้…”
“นาย… นายน้อย คุณหนูรองก็ยังอยู่…” แก้มของเสี่ยวเซียงเซียงแดงระเรื่อ นางก้มหน้าลงและเอ่ยเตือนด้วยเสียงเบาราวกับยุงบิน
เอ่อ…
ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรต่อ ฉินเฟิงก็รู้สึกว่าหูของตนถูกจับ
ฉินเสี่ยวฝูและเสี่ยวเซียงเซียงมองหน้ากัน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีก็รีบหลบหนีออกจากพื้นที่อันตราย
“ต่อหน้าพี่หญิงของเจ้า ลวนลามสาวใช้ก็แล้วไปเถิด” หลิ่วหงเหยียนเพิกเฉยต่อเสียงโหยหวนที่ร้องขอความเมตตาของน้องชาย นางหรี่ตาลงด้วยท่าทางที่ตรงไปตรงมาแต่เข้มงวด “แต่วิถีการควบคุมคนเช่นนี้ เจ้าก็เรียนมาจากคัมภีร์เทียนกงไคอู้รึ”
ฉินเฟิงหรี่ตาพลางคร่ำครวญและอธิบาย “ข้าเรียนรู้จากพี่หญิงรอง! ดังคำกล่าวที่ว่า คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ*[1] ข้าได้อานิสงส์จากการตามติดท่านทั้งวัน โถ่เอ๊ย พี่หญิงรองปล่อยมือเถิด ไม่งั้นข้าจะคิดว่าท่านลวนลามข้าแล้วนะ!”
หลิ่วหงเหยียนรู้สึกโล่งใจกับคำเยินยอของฉินเฟิงและปล่อยมือออกอย่างพึงพอใจ
เหตุใดน้องชายของนางถึงก้าวหน้าขึ้นมากขนาดนี้ ในเมื่อถามแล้วไม่ได้คำตอบ นางก็ไม่ต้องการเซ้าซี้ต่อไป
สรุปแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวฉินเฟิงและทั้งตระกูลฉิน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
ตอนนี้นายน้อยของตระกูลมีน้ำตาลทรายขาวสองไหอยู่ในมือ ซึ่งยังห่างไกลจากความต้องการมากนัก
อย่างไรก็ตาม ฉินเสี่ยวฝูและเสี่ยวเซียงเซียงได้เรียนรู้วิธีการทำน้ำตาลแล้ว จึงสามารถปล่อยให้พวกเขาสองคนทำไป โดยมีฉินเฟิงนั่งเป็นเจ้าของร้านอย่างสบายใจได้
สำหรับการซื้อวัตถุดิบ แน่นอนว่าหลิ่วหงเหยียนเป็นผู้รับผิดชอบ
แม้ว่าการผลิตน้ำตาลทรายแดงจะกำลังได้รับผลกระทบ แต่ตราบใดที่รับซื้อในราคาที่สูงกว่าท้องตลาดก็ไม่นับว่าหายากกระไร
ส่วนของขวัญวันคล้ายวันพระราชสมภพที่เตรียมไว้ให้จี้อ๋องก็ไม่น้อยหน้าใครเช่นกัน
เมื่อรู้ว่าน้องชายจะส่งน้ำตาลทรายขาวให้จี้อ๋อง หลิ่วหงเหยียนก็กังวลเล็กน้อย “ข้าเกรงว่าที่นั่นจะมีคนมากเกินไป ต้องมีคนถามถึงแหล่งที่มาของน้ำตาลนี้แน่”
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นและทำท่าทางไม่ยี่หระ “ในฐานะบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหม หากข้าปฏิเสธที่จะบอก พวกเขาจะเอามีดมาจ่อคอบังคับให้ข้าพูดได้อย่างนั้นหรือ”
“นอกจากนี้ จี้อ๋องฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพ คนดังจากเมืองหลวงล้วนอยู่ที่นั่น นี่เป็นโอกาสในการโฆษณาน้ำตาลทรายขาวฟรี ๆ แล้วข้าจะพลาดได้อย่างไร ข้าจะใช้งานนี้ทำให้น้ำตาลทรายขาวเป็นที่นิยมและโด่งดังไปทั่วต้าเหลียง!”
โฆษณา?
หลิ่วหงเหยียนเท้าคางพลางครุ่นคิด นางไม่เข้าใจว่าคำนี้หมายถึงอะไร
เด็กคนนี้สามารถคิดคำศัพท์แปลก ๆ แต่… กลับมีความหมายลึกซึ้งได้เสมอ
อย่างไรก็ตาม เป็นความคิดที่ดีมาก หากน้ำตาลทรายขาวเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ผ่านงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋องได้…
[1] คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ : อยู่กับคนแบบไหนก็กลายเป็นคนแบบนั้น
MANGA DISCUSSION