บทที่ 111 บังคับซื้อขาย
พวกเฉินผิงทั้งสี่คนนำอ้อยมารวมกันได้จำนวนหกหมื่นชั่ง ขบวนรถยิ่งใหญ่จอดอยู่บนถนนทางไปเมืองหลวง ภายใต้คำสั่งที่ไม่อาจต่อรองได้ของฉินเฟิง เฉินผิงไม่กล้าชักช้า รีบระดมขบวนรถให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขอเพียงการเคลื่อนย้ายไร้ปัญหา อ้อยทั้งหมดจะสามารถขนส่งไปยังจวนฉินได้ภายในสองวัน
หลังออกจากศาลาพักม้า ฉินเฟิงไม่ได้กลับไปที่จวนฉิน แต่ไปที่หอสุราธารหยก
หลู่หมิงได้รับบาดเจ็บ ทว่าไม่ละทิ้งหน้าที่ เขาเริ่มตกแต่งหอสุราใหม่อีกครั้ง และจ้างช่างฝีมือกลุ่มหนึ่งมาชั่วคราวด้วย
แม้ว่าช่างฝีมือที่เป็นคนท้องถิ่นของเมืองหลวงเหล่านี้จะดูถูกหลู่หมิง แต่พวกเขาก็ไม่กล้าจะล่วงเกินฉินเฟิง นอกจากนี้ค่าจ้างที่ฉินเฟิงให้ก็ค่อนข้างสูง ดังนั้นทุกคนจึงทำงานอย่างซื่อสัตย์
เมื่อเห็นการมาถึงอย่างกะทันหันของฉินเฟิง หลู่หมิงก็รีบหยุดสิ่งที่เขาทำอยู่ “นายน้อย เหตุใดท่านจึงมาที่นี่ขอรับ?”
ฉินเฟิงประสานมือไพล่หลังและมองไปที่การซ่อมแซมหอสุรา เมื่อเห็นว่าความคืบหน้ากลับมาเป็นปกติ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลาบปลื้มใจ “ตั้งใจทำงานให้ดี เจ้าอยากฟื้นฟูตระกูลหลู่ใช่หรือไม่? งานเสร็จสิ้นเมื่อใดข้าจะช่วยเจ้าออกเงินสร้างบ้านใหม่”
ทันทีที่นายน้อยฉินกล่าวเช่นนั้น ภายในใจหลู่หมิงพลันรู้สึกตื่นเต้น เขาคุกเข่าลง แล้วโขกศีรษะกับพื้นสามครั้ง “นายน้อย ข้าน้อยไม่รู้จะตอบแทนท่านได้อย่างไร ในอนาคตหากท่านต้องการ ต่อให้จะเป็นภูเขาดาบหรือทะเลเพลิง ข้าน้อยก็ไม่หวั่นขอรับ!”
ฉินเฟิงยกขาขึ้นถีบเขาหนึ่งที เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ลูกผู้ชายมีทองคำอยู่ใต้เข่า หากเจ้ากล้าที่จะคุกเข่าอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะอัดเจ้า?”
แม้ว่าเขาจะถูกฉินเฟิงทั้งเตะทั้งด่า แต่ภายในใจหลู่หมิงไม่เพียงไม่ขุ่นเคืองเท่านั้น แต่ยังรู้สึกอบอุ่นอีกด้วย ชีวิตนี้ของเขาเต็มไปด้วยความพลิกผัน เดิมทีเขาคิดว่าชีวิตตนเองแสนจืดชืด จนกระทั่งได้พบกับฉินเฟิง
ความมีน้ำใจของฉินเฟิงสำหรับหลู่หมิงแล้ว เขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ ใครก็ตามที่ถูกฉินเฟิงทุบตีและดุด่านั้นถือเป็นโชคดี!
เพียงแค่มองไปที่ฉินเสี่ยวฝูก็สามารถรับรู้ได้แล้ว
เขาถูกฉินเฟิงตะโกนใส่ตลอดทั้งวัน แต่ยังอวบอ้วนเป็นหยดน้ำมัน มีคนไม่น้อยอยากถูกฉินเฟิงดุด่า ทว่าพวกเขาล้วนไม่มีโอกาส
หารู้ไม่ว่า ฉินเฟิงแยกแยะความรู้สึกส่วนตัวกับการทำกิจการอย่างชัดเจนมาโดยตลอด ทั้งสองอย่างเป็นคนละเรื่องกัน
การที่เขาใช้ประโยชน์จากหลู่หมิงซ้ำอีกครั้ง ไม่เพียงเพราะเจ้าหนูนี่มีความน่าเชื่อถือ แต่ยังเป็นเพราะความฉลาดเฉียบแหลม และความคล่องแคล่วของหลู่หมิงด้วย ไม่ว่าในอนาคตเขาจะพัฒนากิจการอื่นหรือออกแบบอาวุธสำหรับกองทัพ ทั้งหมดล้วนขาดการมีส่วนร่วมของหลู่หมิงไปไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นหลู่หมิง หลินฉวีฉี หรือแม้แต่เสิ่นชิงชวง ทุกคนต่างก็มีพรสวรรค์
“เปิดกิจการได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่?” ฉินเฟิงเอ่ยตรงประเด็น อย่างไรก็ตามวันแห่งการเปิดฉากสงครามกับหอเซียนเมามายใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ไม่สามารถชักช้าได้จริง ๆ
หลู่หมิงกัดฟัน และเริ่มเอ่ยด้วยตนเองโดยไม่รอให้ฉินเฟิงเปิดปาก “สองวัน! หากพลาดงานสำคัญของนายน้อย ข้าหลู่หมิงจะเด็ดหัวตัวเองไปฝากท่าน!”
ฉินเฟิงตบไหล่หลู่หมิง และเอ่ยอย่างปลาบปลื้ม “ได้! ข้าเชื่อเจ้า! ข้าจะฝากหอสุราไว้กับเจ้า อีกอย่าง เจ้าจ้างคนเพิ่มอีกสองสามคนเพื่อช่วยข้าผลิตเครื่องคั้นน้ำจำนวนหนึ่งหน่อย เป็นเครื่องมือสำหรับคั้นน้ำอ้อยที่มีรูปแบบง่าย ๆ ข้าต้องใช้ทั้งหมดสิบตัว เจ้าทำได้หรือไม่?”
แม้ว่าอ้อยจะค่อนข้างทนทานต่อการเก็บรักษา แต่ก็ไม่สามารถทิ้งไว้ในสวนหลังบ้านให้โดนลมโดนฝนได้ ต้องรีบต้มให้เป็นน้ำตาลโดยเร็วที่สุด
หลู่หมิงยิ้มอย่างอวดดี ไม่เห็นงานที่ยากลำบากนี้อยู่ในสายตาเลยสักนิด “เครื่องคั้นน้ำอ้อยนั้นง่ายมากขอรับ เพียงจ้างช่างฝีมือสองสามคนก็สามารถทำออกมาได้ทันทีภายในเวลาไม่ถึงวันแล้ว ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของข้าน้อยเถอะขอรับ นายน้อยวางใจเถอะ”
ด้วยเหตุนี้ วัตถุดิบอย่างน้ำตาลอ้อยและเครื่องคั้นน้ำอ้อยจึงได้รับการจัดการ เหลือเพียงต้องแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดเก็บเท่านั้นแล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อย
หลังออกจากหอสุรา ฉินเฟิงก็ไปที่ถนนต้าจ้าหลานซึ่งเป็นย่านขายเครื่องปั้นดินเผา ก่อนจะสุ่มเลือกร้านค้า แล้วเดินเข้าไป
เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคน เมื่อเห็นว่าเป็นฉินเฟิง ดวงตาของเขาก็สว่างไสวในทันที “นายน้อยฉิน ลมอะไรพัดท่านมาที่นี่ขอรับ? รีบต้อนรับเร็วเข้า! ให้ตายสิ! นายน้อยฉินอยู่ที่นี่ เหตุใดไม่รีบไปชงชา! เอ๊ะ ยัยแก่นี่ ยังจะเป็นนายน้อยฉินคนใดได้ แน่นอนว่าเป็นนายน้อยผู้สูงศักดิ์ของตระกูลเสนาบดีกรมกลาโหมน่ะสิ!”
ฉินเฟิงเดินไปรอบ ๆ ร้าน พลางเอามือไพล่หลัง ก่อนจะชี้ไปยังถังใบใหญ่ที่สุด “เจ้าของร้าน เจ้านี่ราคาเท่าไหร่?”
เจ้าของร้านวัยกลางคนถูมือ ความตื่นเต้นบนใบหน้าปรากฏชัด “นายน้อยฉินรับของไปได้เลยขอรับ ข้าน้อยขายเท่าค่าแรงเท่านั้น แค่ถังละสองร้อยอีแปะ”
ฉินเฟิงเบ้ปาก เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่ามาใช้ไม้นี้กับข้า! ถังนี้ต่อให้ใช้คนงานและวัสดุคุณภาพสูง อย่างมากก็แค่หนึ่งร้อยสี่สิบอีแปะ เจ้าได้กำไรแล้วยังมาทำเป็นไขสืออีก เอาอย่างนี้ เจ้าเตรียมถังห้าสิบใบ และส่งไปที่เรือนหลังของตระกูลฉินโดยเร็วที่สุด นี่สิบสองตำลึงเงิน เอาไปสิ”
ฉินเฟิงหยิบแท่งเงินออกมาสามแท่ง แท่งใหญ่หนึ่งแท่ง แท่งเล็กสองแท่ง แล้วโยนมันเข้าไปในมือเจ้าของร้าน
เจ้าของร้านถือเงินไว้ในมือ และตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “นายน้อยฉิน ทักษะคำนวณของท่านเรียนมาจากบ่าวไพร่หรือขอรับ? หนึ่งถังราคาสองร้อยอีแปะ ห้าสิบถังควรเป็นเงินสิบตำลึง เหตุใดท่านถึงให้ข้าสิบสองตำลึงเล่า?”
ฉินเฟิงสอดมือไว้ในเป้า เดินออกไปอย่างสบาย ๆ และทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า “เงินอีกสองตำลึงสำหรับซื้อขนมให้เด็ก ๆ กิน”
เจ้าของร้านรีบส่งฉินเฟิงออกจากประตูด้วยใบหน้าปีติยินดี และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “บุตรหลานขุนนางที่ร่ำรวยมีมากมายในเมืองหลวง แต่ผู้ที่เหมือนนายน้อยฉินมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ในอนาคตหากนายน้อยฉินยังคงต้องการถัง ข้าน้อยจะลดราคาให้ท่านร้อยละสิบเลยขอรับ เจ้าเด็กตัวเหม็น! ยังไม่รีบมาขอบคุณนายน้อยฉินอีก!”
หลินฉวีฉีติดตามฉินเฟิงมาตลอด รู้สึกสับสนอย่างยิ่งยวด
จากความเคารพเลื่อมใสเมื่อได้ติดต่อกับฉินเฟิงในครั้งแรก จนกระทั่งความดูถูกในเวลาต่อมา ตอนนี้อีกฝ่ายกลับทำให้เขาประหลาดใจ อารมณ์ของหลินฉวีฉีเปลี่ยนไปมาจนเจ้าตัวยังสับสน ในที่สุดบัณฑิตหนุ่มก็ทนไม่ไหว และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้ม “พี่ฉิน เจ้า… เจ้าของร้านขายเครื่องปั้นดินเผานี้เป็นญาติของตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเฟิงมีสีหน้าสับสน “ไม่ใช่ เหตุใดจู่ ๆ ถึงถามเช่นนั้น?”
หลินฉวีฉีไม่ตอบ ทว่ากลับขมวดคิ้วเป็นปม ก้มศีรษะลงพลางครุ่นคิดในใจ
คนที่อยู่เบื้องหน้าไม่เพียงแต่เป็นบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหมเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้โด่งดังที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ อีกทั้งยังเป็นยอดอัจฉริยะผู้มีเกียรติคนแรกในราชวงศ์นี้ที่ได้รับพระราชทานเข็มขัดทองคำ สถานะระดับนี้ควรจะสูงส่งจนยากที่จะคบหาได้ถึงจะถูกสิ
หลินฉวีฉีเคยเห็นบุตรหลานขุนนางใหญ่มานับไม่ถ้วน แม้แต่บุตรชายของจือหม่ากวนขั้นเก้ายังหยิ่งผยองเสียจนน่ากลัว ทว่าฉินเฟิงกลับเข้ากับคนทั่วไปได้ง่าย ๆ ไม่เพียงแต่คนธรรมดาที่ขายเครื่องปั้นดินเผาจะไม่กลัวฉินเฟิงเท่านั้น อีกฝ่ายยังกล้าล้อเล่นกับฉินเฟิงด้วย…
ทว่าเห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงผู้นี้มิใช่คนที่เข้าถึงง่ายเป็นกันเอง
ในทางตรงกันข้ามชายผู้นี้ดุร้ายอย่างยิ่ง เขามีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วเมืองหลวง แม้แต่หลี่รุ่ยบุตรชายของเสนาบดีกรมคลัง หรือกระทั่งท่านโหวน้อยของจวนหย่งอันโหว ล้วยยังต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเขา
หลินฉวีฉีคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่า มีคนเช่นนี้อยู่จริง ๆ หรือ? ลงมือกับบุตรหลานของขุนนางใหญ่อย่างโหดเหี้ยม ทว่ากลับสนิทสนมกลมเกลียวกับชาวบ้านธรรมดา?
เมื่อเห็นหลินฉวีฉีหยุดฝีเท้ากะทันหัน ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “พี่หลินเป็นอะไรไป เจ้ากำลังคิดว่าการอยู่กับข้าเป็นการลดคุณค่าตนเอง หรือคิดว่าเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียอยู่เล่า?”
จู่ ๆ หลินฉวีฉีพลันประสานหมัดและคำนับฉินเฟิงด้วยเสียงที่ดังและทรงพลัง “ผู้แซ่หลินมีตาหามีแววไม่ ไม่เข้าใจสติปัญญาอันเฉียบแหลมของพี่ฉิน พี่ฉินโปรดยกโทษให้ข้าด้วย ในใต้หล้านี้มีผู้คนมากมายที่มีปณิธานสูงส่ง แต่พวกเขาล้วนรู้จักแต่คุยโวโอ้อวด วาจาลื่นไหล ทว่าพี่ฉินนั้นทำแต่ไม่พูด นั่นทำให้ผู้แซ่หลินละอายใจจริง ๆ”
ความสงสัยภายในใจของหลินฉวีฉีอันตรธานไปหมดสิ้น หลงเหลือเพียงความเลื่อมใสศรัทธาต่อฉินเฟิงเท่านั้น
MANGA DISCUSSION