บทที่ 3 ราชาอสูรในถิ่นกันดาร
ตอนที่ 1 โชคชะตาพาให้พบพาน
—-
เมืองหลวง อาระ แห่งสาธารณรัฐ อมิเทีย
เดิมที เมืองนี้เคยเป็นที่รู้จักกันในนาม “รัฐอิสระ” และมีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย แต่เมื่ออามีเทียเปลี่ยนสถานะจากอาณาจักรมาเป็นสาธารณรัฐ ก็ได้ตัดสินใจย้ายเมืองหลวงจากคาลเดีย ซึ่งเป็นเมืองหลวงเดิมของอาณาจักรที่ค่อนข้างไม่สะดวกด้านการคมนาคม มายังเมืองอาระแห่งนี้แทน
โดยปกติแล้ว การย้ายเมืองหลวงนั้นต้องใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการ ทว่า ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ของกษัตริย์คอนราด ผู้มีบุคลิกเคร่งขรึมและสมถะ พวกเขาจึงละเว้นการสร้างพระราชวังใหม่ และเลือกใช้ศาลาว่าการเมืองแทนเพื่อทำหน้าที่ด้านการปกครอง นั่นจึงทำให้การย้ายเมืองหลวงซึ่งเคยเป็ยเรื่องยากและแทบเป็นไปไม่ได้ กลับสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น
ทว่า…เมื่อกษัตริย์คอนราดเสด็จกลับสู่นครหลวงใหม่อย่างภาคภูมิ (ซึ่งจริง ๆ แล้วพระองค์ก็เป็นชาวเมืองนี้โดยกำเนิด จึงยิ่งได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลาม) สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับทำให้พระองค์อึ้งจนพูดไม่ออก—ปราสาทหลังหนึ่งซึ่งไม่ได้อยู่ในแผนใด ๆ เลยตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า มันคือปราสาทหลังงามที่มีหลังคาปลายแหลมสีแดงสด ราวกับถูกยกมาจากเทพนิยายอย่างไรอย่างนั้น
ปราสาทหลังนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างลับ ๆ ด้วยการเอาใจใส่และสนับสนุนจากผู้ปกครองแห่งอิมพีเรียลคริมสัน (มีบางประเทศเรียกพระองค์ว่า “จักรพรรดินิแม่มด” หรือ “จักรพรรดินีปีศาจ” ทว่าจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว คำเรียกที่แพร่หลายที่สุดคือ “องค์หญิง”) โดยถือว่าเป็น “ของขวัญ” ในทางการ เพราะทุกสิ่ง ตั้งแต่วัสดุ แรงงาน ไปจนถึงค่าใช้จ่าย ล้วนถูกครอบคลุมโดยอิมพีเรียลคริมสันทั้งสิ้น
กล่าวกันว่า เมื่อตอนที่คอนราดได้เห็นปราสาทนั้น เขาก็ทรุดกายลงกับพื้นอย่างหมดแรงพร้อมหัวใจที่แทบแตกสลาย และพึมพำออกมาว่า “ท่านเอาคืนข้าแล้ว…”
ผลก็คือ ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี เมืองแห่งนี้ก็เติบโตขึ้นจนกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทั้งในด้านขนาดและจำนวนประชากรของอมิเทีย
อย่างไรก็ตาม สำหรับชาวเมืองแล้ว เรื่องอย่างพวก “เราควรเปลี่ยนกษัตริย์ไหม” หรือ “ควรเปลี่ยนชื่อประเทศดีหรือเปล่า” หรือแม้กระทั่ง “จะยอมอยู่ใต้การปกครองของประเทศแห่งปีศาจต่อไปหรือไม่” ล้วนไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสนใจเลยซักนิด — เรื่องเดียวที่พวกเขาให้ความสำคัญยิ่งกว่ากลับเป็นราคาข้าวสารในวันพรุ่งนี้เสีย ในสายตาของพวกเขาแล้ว รัฐบาลชุดปัจจุบันไม่มีอะไรให้รู้สึกไม่พอใจ แต่ละคนต่างก็ใช้ชีวิตตามปกติ ทำงานตามหน้าที่ และใช้เวลาในแต่ละวันอย่างที่เคยเป็นมา
หากจะพูดถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจริง ๆ ก็คงเป็นเรื่องของ “ชนชั้นขุนนาง” ที่ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ทว่าแต่เดิมกลุ่มคนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีอิทธิพลโดยตรงต่อชีวิตของประชาชนอยู่ดี ยกเว้นเพียงเรื่องเดียว — การเก็บภาษี ปัจจุบันหน้าที่ดังกล่าวได้ตกเป็นของเจ้าหน้าที่เก็บภาษีซึ่งอยู่ในสังกัดของข้าราชการพลเรือนโดยตรง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนัก
ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ—อัตราภาษีที่เคยกระจัดกระจายและไม่เป็นธรรมตามแต่ละท้องถิ่น บัดนี้ได้ถูกรวมให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด สำหรับผู้คนในพื้นที่ที่เคยได้รับความเดือดร้อนจากการกดขี่ของเหล่าขุนนาง ข่าวนี้จึงถือว่าเป็นข่าวดีอย่างแท้จริง
อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดก็คือ—ตามคำร้องขอของอิมพีเรียลคริมสันซึ่งเป็นรัฐเจ้าเมืองแห่งนี้ ได้ริเริ่มให้การยอมรับ “สิทธิมนุษยชน” แก่เหล่ามอนสเตอร์ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมมนุษย์ได้ ส่งผลให้ภาพของก็อบลินหรือออร์คที่ยืนต่อรองราคาสินค้าอยู่ตามตลาด ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่ออีกต่อไป หากแต่กลายเป็นภาพชินตาตามท้องถนน
ทั้งนี้ แม้จะเคยมีความกังวลว่าชาวเผ่าปีศาจอาจจะได้รับสิทธิพิเศษกลายเป็นชนชั้นปกครองในสังคมใหม่ แต่เหตุการณ์เช่นนั้นก็หาได้เกิดขึ้นไม่ ด้วยการบังคับใช้นโยบายที่ชัดเจนว่า พวกเขาจะต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับพลเมืองทั่วไป และหากกระทำผิดก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม
ด้วยเหตุนี้เอง สังคมในปัจจุบันจึงถือว่ามีความยุติธรรม เสมอภาค และสงบสุขยิ่งกว่าสังคมที่เคยถูกปกครองโดยชนชั้นขุนนางเสียอีก
◆◇◆◇
โจอี้ที่กำลังนั่งพักอยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะที่ติดกับถนนสายหลักของเมือง เขามองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาพลางเรื่อยเผื่อยอยู่ในใจ -เมืองนี้เปลี่ยนแปลงไปมากจริง ๆ
แม้จะเพียงแค่เท่าที่สายตามองเห็น แต่จำนวนของเผ่าสัตว์หรือเอลฟ์ที่ผ่านไปมาก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน –ในพื้นที่ทางตะวันตก พวกเขาถูกเรียกรวมๆว่า เผ่าอมนุษย์ (และในบางพื้นที่ถึงขึ้นถูกจัดว่าเป็นเผ่าปีศาจด้วย)
เท่านั้นยังไม่พอ เหล่าตัวตนในอดีตที่เคยถูกมองว่าเป็นมอนสเตอร์ที่ต้องกำจัด เช่น ก๊อบลินจากมหาพงไพร ออรค์จากโบราณสถาน หรือแม้แต่ไซคลอป์ตาเดียวจากเทือกเขามังกรขาว.. ตอนนี้พวกเขาเดินไปตามท้องถนนในเมืองอย่างภาคภูมิ ไม่ต่างจากเจ้าถิ่นเองเลย
แม้กระทั่งคนข้างตัวเขา คุณคอนราดที่เคยเป็นหัวหน้ากิลด์ ก็กลับกลายเป็นพระราชาไปแล้ว
“สงสัยล่ะสิว่าเรื่องมันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง? ข้าก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ…”
เนื่องจากเขามาถ่ายโอนตำแหน่งหัวหน้ากิลด์ คอนราดจึงได้มาเจอกับโจอี้ที่ห่างหายไปนาน เขากล่าวด้วยแววตาเลื่อนลอยจนชวนให้เป็นห่วง
ส่วนกัลด์—อาจารย์ผู้เคยเคี่ยวเข็ญใส่โจอี้แทบทุกวันสมัยอยู่โรงฝึกของกิลด์—ตอนนี้กลายมาเป็นหัวหน้ากิลด์คนใหม่แล้ว และก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ อย่างหมดคำจะพูดเช่นกัน
“ว่าแต่ โจอี้ ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่ก็มีอยู่สองเหตุผล อย่างแรกก็คือนี่—”
เมื่อหัวหน้ากิลด์คนใหม่ส่งสัญญาณ มิอา ซึ่งยืนรออยู่ข้างหลัง (ตอนนี้เธอได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากพนักงานต้อนรับเป็นเลขาส่วนตัวของหัวหน้ากิลด์แล้ว) ก็เดินเข้ามาพร้อมกับแผ่นโลหะคุ้นตา—ตราสัญลักษณ์ของกิลด์—และยื่นมันให้กับกัลด์อย่างนอบน้อม
“ทีแรกข้าก็คิดว่ายังเร็วไปหน่อย… แต่หัวหน้าเก่าของพวกเราดันกลายเป็นพระราชาไปแล้วนี่นะ ก็ขอแสดงความยินดีด้วย —เจ้าถูกเลื่อนขั้นเป็นแรงก์ D แล้วล่ะ นับจากนี้เจ้าจะหลุดจากเปลือกไข่เสียที”
หัวหน้ากิลด์คนใหม่ กัลด์ พูดพลางเอามือทุบหน้าอกของโจอี้ที่ยังอึ้งอยู่ด้วยความงุนงง จากนั้นจึงยื่นตราสัญลักษณ์กิลด์ให้เขา
เมื่อความเจ็บจากแรงทุบค่อย ๆ ดึงสติให้กลับมาได้ทีละนิด มิอาก็ยิ้มกว้างเต็มใบหน้า พลางปรบมือแสดงความยินดีให้กับเขา
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ โจอี้ จากนี้ไปก็เป็นสมาชิกกิลด์ตัวจริงเสียงจริงอย่างเป็นทางการแล้วนะ”
เขาพยักหน้าตอบเบา ๆ อย่างเขินๆเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“―เอาล่ะ เรื่องการเลื่อนแรงก์ไว้แค่นั้นก่อน ยังมีอีกเรื่องที่เป็นเหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามา เจ้าจำสัญญาได้ไหม?”
‘สัญญา’ ―ทันใดนั้น ใบหน้าของหญิงสาวผู้เลอโฉมที่เขาไม่มีวันลืมก็ผุดขึ้นมาในความคิดของเขาอย่างชัดเจน ราวกับว่าเพิ่งได้เห็นเธอเมื่อครู่
“นะ-แน่นอน! ข้าเคยพูดไว้ว่าข้าจะนำทางให้เธอ…!”
เมื่อได้ยินคำพูดละล่ำละลักของโจอี้ ไม่รู้ทำไมคอนราดถึงได้ยกมือขึ้นดันแว่นแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“เรื่องนั้นน่ะนะ… แทนที่จะห้าม ฝ่าบาทกลับพูดบางอย่างไว้ตอนที่เราคุยกันเรื่องอื่นน่ะสิ”
เขาถอนหายใจแรงอีกครั้ง ดูเหนื่อยล้าเกินบรรยาย
“ท่านบอกว่า ‘ไปสิ! ข้าไปแน่! ที่นี่ก็เริ่มน่าเบื่อแล้วด้วย’ ทั้งที่ช่วงนั้นประเทศเรากำลังวุ่นวายสุด ๆ ทั้งการประชุมภายในและเจรจาระหว่างประเทศ… ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าฝ่าบาทไปเอาเวลาว่างมาจากไหน…”
“ครับ…”
เขาพยักหน้ารับคำไปตามเรื่องราว พลางคิดในใจว่า ‘แต่..ได้ยินมาว่าฮิยูกิจะเป็นคนสำคัญยิ่งกว่าคอนราดที่เป็นพระราชาอีกนี่นา ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่เลย’ โจอี้คิดอย่างไม่จริงจังนัก และยังคิดต่อไปอีกว่า ‘ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ การพาเธอเที่ยวรอบเมืองอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ก็ได้แฮะ―’
แต่ก็มีซองจดหมายใบหนึ่งยื่นมาตรงหน้าเขา
“ในนี้ดูเหมือนจะเขียนสถานที่และเวลานัดพบเอาไว้ ―เจ้าอ่านออกใช่ไหม?”
“อ่า ครับ ผมเคยเรียนตอนอยู่โรงฝึกมาบ้าง พออ่านได้อยู่ครับ…”
นั่นมันหมายความว่า… จะได้เจอเธอจริงๆ สินะ!? ใบหน้าของโจอี้ก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที
“ดีละ ถ้างั้น ช่วยจับบังเหียนของท่านผู้นั้นให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยนะ เพื่อจะได้ไม่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นนะ ―เพราะตามเอกสารแล้ว เรื่องนี้เป็นแค่ ‘คุณหนูธรรมดาคนหนึ่งออกมาเที่ยวชมเมือง โดยมีนักผจญภัยจากกิลด์เป็นไกด์และคุ้มกัน’ เท่านั้น ทางรัฐเองก็ไม่มีแผนจะเข้าไปยุ่งอะไรมากนัก”
เมื่อโดนเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง โจอี้ก็พยักหน้ารับแบบงง ๆ
“…แต่ว่า แบบนี้มันจะดีจริงเหรอครับ?”
ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่โดยสัญชาตญาณแล้วเขาก็ยังรู้สึกว่า ‘มันดูอันตรายอยู่แฮะ?’ เลยลองถามย้ำอีกครั้ง คอลลาร์ดก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ก็ใช่ว่าจะดีหรอก ― แต่เข้าไปวุ่นวายมากเกินไปแล้วมีปัญหาอะไรขึ้นมามันจะยิ่งยุ่งกันเข้าไปใหญ่นะสิ เพราะงั้นพวกเราจะพูดแค่ว่า ‘พวกเราไม่รู้อะไรเลย’ ก็เท่านั้นแหละ เพราะงั้น ฝากด้วยล่ะ โจอี้”
“อ่า…ครับ” ด้วยคำตอบรับที่ไร้น้ำหนักของโจอี้ ทุกคนก็พลันเข้าใจได้ในทันทีว่า “อา… หมอนี่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยสินะ”
“เอาน่า เจ้าไม่ต้องคิดเรื่องยุ่งยากหรอก แค่ตั้งใจพาเธอเที่ยวให้ดีพอก็พอ!”
กัลต์ กิลด์มาสเตอร์คนใหม่ ฟาดมือลงบนบ่าโจอี้อย่างแรงเพื่อเป็นการสลัดความกังวลของโจอี้ทิ้งไป
แล้ว เขาก็มารอที่สถานที่และเวลาตามที่เขียนไว้ในจดหมาย แต่กลับไม่เห็นเงาของเด็กสาวที่ดูสะดุดตาคนนั้นเลย
มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่านะ?
เขาคิดพลางหยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋าหลังของกางเกง -เพราะวันนี้ต้องมาทำหน้าที่คุ้มกัน เขาจึงสวมเกราะหนังตัวโปรดกับพกดาบเอาไว้ด้วย ทำให้กระเป๋าที่ใช้งานได้มีแค่ตรงนี้เท่านั้น- ก่อนจะขมวดคิ้วมองข้อความในจดหมาย
“..ก็ไม่ผิดนี่นา? แล้วเธออยู่ไหนนะ?”
ในตอนที่เขากำลังพึมพัมกับตัวเอง เสียงใสๆที่ชวนคิดถึงก็ดังขึ้นมา
“—โย่ว โทษทีๆ มาช้าไปนิด ขออภัยด้วยนะ”
‘จะมาช้าเกินไปไหม!’ แม้ตั้งใจจะพูดออกไปแบบนั้น แต่เขารู้สึกเหมือนตัวเองตาฝาดไป โจอี้มองใบหน้าของอีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนจะหายใจกระตุกไปนิดหน่อย
เพราะว่าวันนี้ ฮิยูกิที่สวมชุดเดรสผ้าฝ้ายสีขาวสำหรับฤดูร้อน สวมหมวดสีขาวผูกริบบิ้นสีฟ้าอ่อน และประดับด้วยดอกกุหลาบแดงเพียง 1 ดอกส่งยิ้มอันอ่อนโยนมาให้เขา
เขานึกว่าเธอจะมาในชุดเดรสหรูหราตามปกติจึงทำได้แต่ประหลาดใจ ที่ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทางสดใสและดูไร้การป้องกันในชุดสบายๆเช่นนี้ทำให้ใจของเขาเต้นแรงขึ้นมา
“อะ-เอ่อ ชุดเธอ.. วันนี้ไม่ใส่ชุดแพงๆแบบปกติหรอ”
“จะให้ใส่แบบนั้นมันก็เด่นเกินไปหน่อย แล้วก็นะ.. ถึงจะพูดว่า ‘แบบปกติ’ ก็เถอะ แต่วันแรกที่เราเจอกัน เราใส่เดรสทรงA-line และวันที่สองก็เป็น Princess line ซึ่งมันต่างกันสิ้นเชิงเลยนะ… หรือว่า..นายแยกไม่ออกเหรอ?”
“….” โจอี้พูดไม่ได้ เพราะเขาคิดว่าชุดทั้งสองแบบนั้นเหมือนกัน
“ก็น้า ช่างเถอะ เพราะอย่างนั้นเราก็เลยลองปลอมตัวมา ไม่เข้ากันหรอ?”
เธอพูดพลางใช้มือข้างนึงจับหมวกเอาไว้ และหมุนตัวรอบนึงตรงนั้น
กระโปรงสั้นที่สะบัดขึ้นเบาๆเผยให้เห็นขาขาวเรียวงามที่ฝังติดตา โจอี้จึงรีบหันหน้าหนีด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ม-ไม่นี่! มันก็เหมาะกับเธอดี แล้วก็นะ.. ตอนแราข้าเกือบจำเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เขาละล่ำละลั่กความคิดในหัวออกมาอย่างรวดเร็ว
“เหรอ แปลว่าการปลอมตัวสำเร็จสินะ”
ฮิยุกิยิ้มกว้าง
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้เธอจะแค่ยืนอยู่เฉยๆ แต่ด้วยรูปลักษณ์แบบนั้นมันก็มากพอที่จะดึงดูดสายตาจากรอบข้างได้
โจอี้ที่สังเกตเห็นปฏิกิริยาจากรอบด้านก็เข้าใจทันทีว่า หากยังอยู่ตรงนี้ต่อไปจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่
เขารีบลุกออกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว และคว้ามือเล็กๆบอบบางของฮิยูกิไว้โดยไม่มีช่องว่างให้เธอปฏิเสธ
“งั้น… ไปกันเลยดีกว่า! มีที่ไหนอยากไปบ้างไหม?”
“ไม่ล่ะ ตรงส่วนนั้นเรายกให้เจ้าเลือกก็แล้วกัน…ว่าแต่ ทำไมถึงจับมือล่ะ? —แถมยังจับแบบคนรักอีก…”
ประโยคสุดท้ายเธอพูดเบาเกินไป จนโจอี้ไม่ได้ยิน เขาจึงหันกลับมาถามด้วยท่าทางงง ๆ
“หืม? คือมีอาซังเคยบอกไว้นะว่า เวลาพาใครเดินชมเมืองต้องทำแบบนี้? หรือว่าข้าเข้าใจผิด?”
ได้ยินแบบนั้น ฮิยูคิก็ยกมือข้างที่ว่างขึ้นมานวดขมับ
“เธอนี่เองหรอกหรอ…ว่าแต่ ผ่านมาตั้งแปดเดือนแล้วนะ ยังไม่ได้สนิทกับมีอาซังอีกเหรอ?”
“ไม่ใช่ซะหน่อย! เราก็กินข้าวด้วยกันบ่อยนะ แล้วเวลาเรามีภารกิจออกนอกเมือง มีอาซังยังทำข้าวกล่องมาให้ด้วยเลย ใจดีจะตายไป!”
โจอี้พูดพลางส่งยิ้มใสซื่อไร้เดียงสาโดยไม่มีแม้แต่เมฆหมอกแห่งความสงสัยเลยแม้แต่นิดมาให้
ฮิยูคิที่จ้องมองเขาอยู่ก็ได้ยิ้มด้วยความลำบากใจพร้อมอารมณ์มากมายที่แฝงอยู่ในนั้น
“ตกลงแล้วมีอาซังหัวช้าเกินไป หรือว่านายทื่อเกินไปกันแน่นะ…คงจะทั้งคู่นั่นแหละมั้ง”
“ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่เอาเป็นว่า จะไปที่ไหนก็ได้ใช่ไหม?”
“อืม ฝากด้วยนะ พาเราไปที่ที่อยากไปก็แล้วกัน”
หลังจากได้รับคำขอที่คล้ายๆกับโยนภาระมามาให้ โจอี้ที่ครุ่นคิดไปซักพักก็ตอบออกมาแบบสบายๆ
“งั้น…ไปที่ร้านขายอาวุธที่ข้าชอบแวะบ่อยๆละกัน”
“…ยังคงใช้ชีวิตแบบตอบสนองจากไขสันหลังเหมือนเดิมเลยนะ นายเนี่ย”
ก็ไม่ใช่ว่าไม่สนใจอาวุธของโลกนี้หรอกนะ… แต่ปกติเวลาพาเด็กผู้หญิงเที่ยวครั้งแรกเนี่ย คนเขาไปที่แบบอื่นกันไม่ใช่เหรอ…?’
ฮิยูกิได้แต่สงสัยอยู่ภายในใจ
◆◇◆◇
หนึ่งชั่วโมงต่อมา―
โจอี้ผู้ที่กำลังยิ้มหน้าบาน เดินอยู๋กับฮิยูกิบนถนน พร้อมกับดาบเล่มใหม่ที่ห้อยอยู่ที่เอวของเขา (แน่นอนว่ายังจับมืออยู่)
“แน่ใจจริงๆนะว่าจะซื้อดาบดีๆแบบนี้ให้น่ะ?”
เขาแตะด้ามดาบด้วยมือที่ว่าง เพื่อตรวจสอบมันเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน
“ไม่เป็นไรหรอกหน่า นึกซะว่าเป็นของขวัญเลื่อนแรงค์แล้วกัน อีกอย่างนะ นี่ก็ไม่ใช่ดาบเวทมนต์ด้วยซ้ำ แค่ดาบธรรมดาๆเอง – แถมเจ้าก็เอาดาบเก่าขายคืนไปด้วยอีกต่างหาก ก็เลยไม่ใช่เราคนเดียวที่จ่ายทั้งหมด”
ฮิยูกิไหวไหล่พลางบอก
“ถึงงั้นก็เถอะ..ข้าก็ยังเกรงใจอยู่ดี”
แม้เขาจะพูดแบบนั้น แต่โจอี้ก็ดูมีความสุขมากอยู่ดี
“แต่คุณลุงเจ้าของร้านก็ชมเธอใหญ่เลยนะ เขาว่า ‘คุณหนูตาดีจริงๆ ดาบเล่มนี้ช่างตีดาบยังหนุ่มอยู่ แต่ฝีมือเยี่ยมมาก’ ด้วยละ ยอดไปเลย!”
“ก็นะ ในดาบราคาพอๆกัน เจ้านี่เป็นเล่มเดียวที่มี +1 แถมค่าความทนทานก็สูงด้วยนะ จำชื่อช่างคนนั้นไว้ดีๆละ เวลาจะเปลี่ยนดาบใหม่ ก็ซื้อของคนนี้จะดีที่สุด”
“หืมม…” โจอี้พยักหน้าเบา ๆ พลางครุ่นคิด แต่แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนมีสายตาอย่างจับจ้องมา จึงเอียงคอมองเล็กน้อย
“…เฮ้ ว่าแต่เธอรู้จักเจ้าคนเผ่าสัตว์ตรงนั้นรึเปล่า?”
“—?”
ฮิยูกิหันมองตามสายตาของเขาไป
“!?!”
…และเบิกตากว้างขึ้นจนสุด อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“…เป็นไปไม่ได้…ไม่มีทาง…”
เสียงที่สั่นไหวอย่างรุนแรงและมือที่จับแน่นจนเริ่มสั่น ทำให้โจอี้ตกใจ เขารีบหันไปเพ่งมองตามสายตาของเธอในทันที
เขาเป็นชายหนุ่มเผ่าสัตว์-ที่น่าจะเป็นหมาป่า-ที่อายุน่าจะราวๆ 20 ปี ที่มีรอยยิ้มกรุ่มกริ่มไม่สนใจรอบข้าง ผมสีดำและมีไฮไลท์สีทองด้านหน้าเล้กน้อย
เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นดูธรรมดา มันเป็นผ้าลินิทั่วไป ไม่มีอะไรโดดเด่นนัก นอกจากใส่เกราะมือและเกราะเท้าไว้อย่างแน่นหนา
เขาเดินเข้ามาใกล้ๆทีละก้าวอย่างช้าๆ.. ด้วยใบหน้าราวกับหมาป่าจ้องจะตะครุบเหยื่อ สายตาเขาจับจ้องฮิยูกิไม่วางตา
“โย่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ฮิยูกิ~ตัน”
ได้ยินคำทักทายนั้น เสียงแผ่วเบาไร้เรียวแรงก็ดังออกมาจากปากของฮิยูกิ
“—อะ! อนิมารุซัง คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยหรอ…”
ชายคนนั้น หัวหน้ากิลด์ของ [พี่ใหญ่และผองเพื่อนสุดป่วน] และเป็นผู้ที่ได้รับฉายาเช่นเดียวกับฮิยูกิ [เจียวมุจิน](ราชันสัตว์มือเปล่า) ผู้ซึ่งไม่ตอบคำถามใด แต่กลับฉีกยิ้มกว้างขึ้นด้วยความรื่นรมย์
ห่างหายกันไปนาน หลังสงการ์ตก็ติดเกมอีกแล้วละคะ…
บทใหม่ ปัญหาใหม่ เปิดมาก็เหมือนจะเจอตัวปัญหาเลยนะคะ คุณพี่สุดหื่นประจำเกมปรากฏตัว!
ตอนต่อไปจะมาเมื่อไหร่นั้น! รอลุ้นย๊าวยาวเลยคะ!!
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลก็ได้ทั้งนั้นคะ (แต่ส่วนใหญ่น่าจะไปลงชานมหมด)
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ
MANGA DISCUSSION