เมืองฮิลท็อป ทางใต้ของเทือกเขาทมิฬ
ด้วยการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องโดยเหล่าผู้เล่น เมืองปราการออปซิเดียนก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางขุนเขาในที่สุด
ทีมงานของคณะกรรมการโมเอะโมเอะทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง ไม่เพียงเน้นโครงสร้างที่มั่นคง หากยังแฝงไว้ด้วยเสน่ห์อันวิจิตร พยายามเนรมิตให้ปราการแห่งนี้งดงามราวกับปราสาทในห้วงฝัน
อีฟในร่างสายลม มักแวะเวียนมายังฮิลท็อปเป็นระยะ จุดมุ่งหมายหลักหาใช่เพียงการเยี่ยมชมความงามของเมือง หากคือการเฝ้าสังเกตภารกิจของเหล่าภูตธาตุซึ่งกำลังดำเนินงานอยู่ในเทือกเขาทมิฬโดยตรง
และจากสิ่งที่ได้เห็น ผลลัพธ์ก็ถือว่าน่าพึงพอใจไม่น้อย
แม้การเปลี่ยนแปลงจะยังไม่ปรากฏชัดในสายตาสามัญ หากเมื่ออีฟย่างเท้าเข้าสู่ภูเขาทมิฬอีกครั้ง เธอสัมผัสได้ว่าพลังเวทที่เคยสับสนวุ่นวาย กลับเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นระเบียบ คลื่นแรงเวทอันวิปลาสเริ่มคลี่คลาย เผยเค้าโครงแห่งชีวิตที่ค่อย ๆ ฟื้นกลับมา
หากทุกอย่างดำเนินต่อไปในอัตรานี้ คงไม่ต้องรอให้ช่องทางเชื่อมระหว่างซากัสกับโลกสามัญเปิดออกอย่างสมบูรณ์ พลังเวทของเทือกเขาทมิฬก็อาจกลับมามั่นคงและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ชื่อเดิมของพื้นที่แห่งนี้ เทือกเขามรกต อาจหวนคืนสู่แดนซากัสในไม่ช้า
…
ในขณะที่เหล่าภูตธาตุกำลังเร่งรัดการปรับสมดุลของผืนป่า อีฟเองก็สัมผัสได้ถึงพลังลี้ลับบางอย่าง กำลังหลอมรวมเข้ากับร่างของตนอย่างเงียบงัน ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจ ร่วมด้วยคือความเข้าใจต่อพันธกิจแห่งธรรมชาติที่ลึกซึ้งขึ้นจากประสบการณ์
เมื่อเธอเฝ้าสังเกตอย่างนิ่งสงบ ความจริงก็เผยตัว
…นี่คือผลสะท้อนกลับ จากพันธกิจศักดิ์สิทธิ์
อีฟเป็นผู้ถือครองพันธกิจแห่งธรรมชาติมาแต่เดิม และในการงานของเหล่าเทพ การฟื้นฟูสมดุลพลังเวทและธรรมชาติถือเป็นภารกิจในขอบเขตโดยตรง
เมื่อเธอรังสรรค์ภูตธาตุขึ้นมา เพื่อจัดการกับพลังอันยุ่งเหยิงของเทือกเขาทมิฬ นั่นย่อมเท่ากับการปฏิบัติหน้าที่แห่งพันธกิจอย่างสมบูรณ์แบบ ผลตอบแทนจากกฎแห่งจักรวาลจึงเริ่มหลั่งไหลสู่เทพธิดาผู้ขยันขันแข็ง
และในห้วงเวลานั้นเอง อีฟก็เริ่มเข้าใจ
เธอเข้าใจแล้วว่า เหตุใดเทพหลายองค์จึงยังคงมุ่งหน้าทำงาน ภายใต้ขอบเขตแห่งพันธกิจของตนไม่หยุดหย่อน
เพราะแม้จะได้รับการสถาปนาให้เป็นเทพโดยสมบูรณ์ แต่ใช่ว่าจะเข้าใจหรือควบคุมกฎแห่งพันธกิจนั้นได้ในทันที ส่วนใหญ่แล้ว… พวกเขาเป็นเพียงผู้ถูกเลือกให้ครอบครองสัญลักษณ์ของกฎเท่านั้น
หากต้องการยกระดับตนเอง ก็มีอยู่เพียงสามหนทาง…
หนึ่ง คือการยกระดับพันธกิจศักดิ์สิทธิ์
วิถีนี้ลึกซึ้งและทรงพลังที่สุด เช่น การยกระดับพันธกิจแห่งเหมันตฤดูให้กลายเป็นพันธกิจแห่งธรรมชาติ เพื่อเปิดประตูสู่ระดับมัชฌิมเทพซึ่งทรงพลานุภาพยิ่งกว่า
สอง การเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์
วิธีนี้เรียบง่ายและเห็นผลชัดเจนยิ่ง ในหมู่เทพที่อยู่ในระดับเดียวกัน ผู้ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์มากกว่าย่อมถือความได้เปรียบเหนือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเทพโบราณที่ดูดซับพลังจากความว่างเปล่า หรือเทพแห่งศรัทธาที่เก็บเกี่ยวพลังผ่านจำนวนสาวก… เป้าหมายก็ล้วนแต่เพื่อสะสมพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ท่วมท้น
สาม เสริมความเข้าใจและการควบคุมพันธกิจศักดิ์สิทธิ์
หัวใจของทั้งสองวิธีข้างต้น ล้วนต้องตั้งอยู่บนฐานนี้ มันไม่เพียงเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของการยกระดับพันธกิจ แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
เทพผู้เข้าใจแก่นแท้ของกฎแห่งพันธกิจ แม้จะถูกจำกัดด้วยระดับกฎ ไม่อาจไต่พลังไปได้ไกลกว่านี้ ทว่าเพียงพลังที่ใช้กลับสามารถสำแดงผลลัพธ์ได้เหนือจินตนาการ
ในท้ายที่สุด เทพผู้ทรงพลังอย่างแท้จริง คือผู้ที่บรรลุถึงขีดสุดของทั้งสามวิถีพร้อมกัน
ถ้าคิดมุมนี้ ต้นไม้โลกองค์ที่แล้ว คงสร้างเผ่าเอลฟ์และซ่อมแซมเขตแดนซากัส เพื่อเสริมทักษะของตัวเองด้วยสินะ…
เพราะความเป็นเทพโบราณ แถมเป็นต้นไม้โลกที่สูบพลังจากรอบข้างได้อย่างชิล เลยไม่มีทางขาดแคลนพลังศักดิ์สิทธิ์ แถมยังมีพันธกิจระดับสูงสุดของซากัส แทบไม่มีอะไรให้ฟาร์มต่อ
เพราะแบบนั้น ทางที่เหลือก็คือเสริมความเข้าใจต่อพันธกิจสินะ…
แต่พอคิดแบบนี้ เค้ากลับรู้สึกว่า ‘การควบคุมพลัง’ คือจุดอ่อนของต้นไม้โลกองค์ที่แล้ว แถมยังเป็นปัญหาใหญ่ของพวกเทพโบราณเลยเลย… เพราะพลังที่มีมาตั้งแต่เกิด บางครั้งมันใช้ไปตามความเคยชิน ไม่ใช่ใช้อย่างเข้าใจโดยแท้จริง
และเค้าจะต้องถมช่องว่างนั้นให้ได้…!
คิดอีกที นี่อาจเป็นการเตรียมตัวของต้นไม้โลก เพื่อเปิดทางสู่ระดับต่อไป…
เพราะขนาดตัวเค้าเอง กลายเป็นเทพขั้นกลางแล้ว แต่รูปร่างของต้นไม้โลกมันยังโชว์ว่าเป็น ‘ขั้นต้น’ อยู่เลยเนี่ย… ไม่รู้ว่าถ้าเป็นมหาเทพแล้ว มันจะเปลี่ยนร่างให้เค้าหรือเปล่าด้วยซ้ำ…
แต่พูดก็พูดเถอะค่ะ เซนส์ของเทพธิดามันบอกเค้าว่า ถ้าเค้ากลายเป็นมหาเทพ เค้าจะรู้ความลับโหด ๆ เต็มไปหมดเลย กระทั่งเรื่องเกี่ยวกับต้นไม้โลกเอง…
ต้นไม้โลก ย่อมต้องมีพลังบางอย่าง ที่อีฟในยามนี้ยังไม่อาจเข้าถึงได้อย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่ในมรดกแห่งต้นไม้โลกซึ่งหลงเหลืออยู่ ไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดเกี่ยวกับหัวใจสำคัญนั้นเลย อีฟจึงต้องอาศัยการลองผิดลองถูกด้วยตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และในขณะที่เธอฝากหน้าที่ของอาณาจักรแห่งเทพไว้กับจ้าวแห่งภูต ฟีเนียร์ แล้วปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามทางเดินของเทือกเขาทมิฬ พลางขบคิดถึงแนวทางพัฒนาในวันข้างหน้า…
บางสิ่งบางอย่างก็ดึงดูดความสนใจของอีฟขึ้นมา
กระแสพลังศักดิ์สิทธิ์ที่รุนแรงและคุ้นเคยสายหนึ่ง พุ่งวาบมาจากทางตอนเหนือของป่าเอลฟ์
“เหะ?”
อีฟเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ เหลือบตามองไปยังทิศที่พลังนั้นแผ่ซ่าน
พักหลังมานี้ บริเวณตอนเหนือของป่ามักจะปรากฏคลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ให้สัมผัสได้อยู่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นสิ่งคุ้นชินสำหรับอีฟ
เพราะต้นตอของพลังเหล่านั้น คล้ายกับแรงระเบิดจากเทพแห่งความมืดและเงา โฮลเดอร์ ซึ่งเธอรู้จักดี
และทุกครั้งที่คลื่นพลังของโฮลเดอร์ปรากฏขึ้น อีฟก็มักจะเดาได้ไม่ยากว่า ต้องมีนักผจญภัยโชคร้ายตกหลุมพรางของใครบางคนอีกแล้ว
…บึ้มกันอีกแล้วสินะคะ
โฮลเดอร์เองก็น่าสงสาร
โลกใต้พิภพนั้นวุ่นวายอย่างยิ่ง และสำหรับเผ่าพันธุ์ใต้ดินหลายกลุ่ม เงินทองคือกฎสูงสุด ตราบใดที่จ่ายไหว รูปปั้นของโฮลเดอร์ (ของเผ่าอื่น) ก็ไม่ต่างอะไรกับสินค้ามูลค่าสูงชิ้นหนึ่ง
ผลก็คือ… โฮลเดอร์แทบจะกลายเป็นเครื่องมือขั้น เทพ ของเหล่าผู้เล่นไปโดยไม่รู้ตัว
ทว่าเมื่อถูกใช้ประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความอดทนของเทพองค์นี้ก็เริ่มถึงขีดจำกัด
ช่วงหลังมานี้ พลังทัณฑ์สวรรค์ของเขากลับเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเพียงต้องการรักษาภาพลักษณ์ของตนไว้เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น หากโฮลเดอร์ตรวจพบว่ารูปปั้นของตนกำลังตกอยู่ในมือของผู้เล่น เขาจะลงมือก่อนเสมอ ด้วยการจุดระเบิดพลังศรัทธาล่วงหน้า แผ่ทัณฑ์สวรรค์ผสานอำนาจห้วงลึก ถล่มรอบพื้นที่เป้าหมายในพริบตา
แม้จะเสี่ยงสูงเพียงใด แต่พลังของทัณฑ์สวรรค์กลับดึงดูดใจเกินต้าน
สำหรับผู้เล่นจำนวนมากแล้ว ระเบิดทัณฑ์สวรรค์คืออาวุธลับที่คุ้มค่าจะเดิมพัน แม้จะมีโอกาสถูกสายฟ้าผ่าหัวแตก ก่อนจะได้ใช้เป็นระเบิดก็ตามที
ในอดีต กองพันที่หนึ่งเคยใช้รูปปั้นของโฮลเดอร์ถึงสององค์ ผสานกับคัมภีร์เวทไฟระดับเก้าวงที่ได้จากซากอาณาจักรแห่งเทพ จนจัดการนักผจญภัยระดับตำนานไปได้หนึ่งราย…
ทว่าครั้งนี้ กลับไม่เหมือนครั้งไหนที่ผ่านมา
คลื่นพลังที่อีฟสัมผัสได้ในยามนี้ รุนแรงเกินกว่าทุกเหตุการณ์ก่อนหน้า
แม้แต่คราวที่โฮลเดอร์ใช้พลังเต็มที่ จุดระเบิดด้วยตนเองในแบบที่รุนแรงที่สุด ก็ยังไม่อาจเทียบได้
และสิ่งสำคัญที่สุดคือ …พลังนี้ไม่ใช่ของโฮลเดอร์
อ.. อีเทอร์?
แถมยังใกล้กับดันเจี้ยนใหม่ล่าสุดของเค้า?!
ชั่วพริบตา สีหน้าของอีฟก็พลันเปลี่ยนเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
เพราะเธอเคยสัมผัสพลังของเทพองค์นี้มาแล้วหนึ่งครั้ง ที่เมเปิลลีฟ…
แม้เพียงเป็นร่างจำแลงของเทพแห่งความเป็นนิรันดร์ แต่ก็ยังสามารถบดขยี้มังกรแห่งความสิ้นหวังให้บาดเจ็บสาหัสในพริบตา และนั่นคือโอกาสที่เปิดทางให้อีฟ เก็บเศษซากของพลังของมังกรตัวนั้นมาหลอมรวมต่อได้
เมื่อเคยสัมผัสพลังของร่างจำแลงแห่งเทพนิรันดร์มาแล้ว อีฟก็ย่อมตระหนักได้ทันทีว่า หากวันหนึ่งตัวตนของเธอถูกเปิดเผยโดยสมบูรณ์ เทพองค์นั้นจะกลายเป็นศัตรูที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย
เทพแห่งความเป็นนิรันดร์ อีเทอร์ คือหนึ่งในเทพผู้ทรงพลังสูงสุดเมื่อพันปีก่อน เป็นหัวหอกในการรวบรวมเหล่าเทพทั้งปวง เพื่อร่วมกันโจมตีต้นไม้โลกองค์ที่แล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ลงมือทำลายต้นไม้โลกด้วยตนเอง
แม้จะเป็นศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต แต่อีฟก็ยังเชื่อว่า อีเทอร์คงไม่มีเวลามาสนใจป่าเอลฟ์ถึงเพียงนี้
ไม่ว่าจะจากบันทึกมรดกของต้นไม้โลกองค์ที่แล้ว หรือคำบอกเล่าจากเฮลา เทพองค์นี้ก็ล้วนถูกพรรณนาไว้เช่นเดียวกัน ว่าเขาเป็นผู้ทรงอำนาจและหยิ่งทระนงโดยเนื้อแท้
ตราบใดที่บัลลังก์ของต้นไม้โลก ยังทรุดโทรมอยู่ในมหาวิหารเทพ เขาก็คงเพียงส่งเทวทูตหรือบริวารมาสืบตรวจอย่างห่างเหิน
…ทว่าพลังที่อีฟสัมผัสได้ในครานี้ กลับไม่ใช่พลังของการสำรวจ แต่มันคือพลังแห่งทัณฑ์สวรรค์
พวกผู้เล่น???
ทัณฑ์สวรรค์ของจริงเรอะ? แล้วผู้เล่นไปขโมยรูปปั้นของอีเทอร์มาได้ยังไงก่อน? กล้ามากค่ะ! แล้วใครคือเหยื่อคะ…? ต่อให้เป็นกึ่งเทพ ก็คงหมอบกระแตแน่นอน…
พอคิดได้ดังนั้น อีฟก็ไม่รอช้า เธอส่งกระแสจิตย้อนตามกระแสพลังเพื่อสอบสวนที่มาโดยทันที
นครวินเทอร์เฟลที่ผู้เล่นสร้างขึ้น ถูกบันทึกลงในระบบอย่างสมบูรณ์แล้ว และรูปเคารพที่ได้รับพรจากอีฟ ก็ได้รับการประดิษฐานไว้ในวิหารของเมือง ทำให้พื้นที่ตอนเหนือของป่าเอลฟ์ทั้งหมดตกอยู่ภายใต้เครือข่ายแห่งศรัทธาของเธอโดยอัตโนมัติ
ด้วยเครือข่ายศักดิ์สิทธิ์นั้น อีฟจึงสามารถระบุต้นทางของคลื่นพลังเมื่อครู่นี้ได้อย่างแม่นยำ และยังสามารถใช้ระบบของเกมค้นหาผู้เล่นที่อยู่ใกล้ที่สุดในพริบตาเดียว
เธอเปลี่ยนมุมมองไปยังหนึ่งในร่างของผู้เล่นเหล่านั้น และภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ชัดเจนยิ่งกว่าคำอธิบายใด ๆ
เบื้องหน้า คือปล่องลึกขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่หลายร้อยเมตรโดยรอบ พื้นดินถูกแรงระเบิดกวาดเกลี้ยง ร่องรอยของต้นไม้และพืชพรรณถูกเผาทำลายหมดสิ้น บรรยากาศโดยรอบราวกับเพิ่งผ่านเพลิงป่าพร้อมพายุหมุนและดงฟ้าผ่าไปในเวลาเดียวกัน
ร่างของผู้เล่นกว่าสิบคนกระจัดกระจายอยู่รายรอบขอบปล่อง แต่ละคนอยู่ในสภาพแทบไม่ต่างจากเศษซาก เกือบครึ่งหนึ่งบาดเจ็บสาหัสจนแทบสิ้นสติ
แต่สีหน้าของพวกเขา กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่น่าหวาดผวา
“โหด! โหดฉิบหาย! ตาลุงร่างทองนี่เทพจริง!”
ชายผู้หนึ่งที่ขาขาดไปทั้งท่อน ยังหัวเราะพลางเอื้อมมือไปถอดรองเท้าจากขาข้างที่เหลือได้ด้วยความปลื้มปีติ
“โหดสมคำร่ำลือจริง ๆ… เฮ้อ… โชคดีที่วันนี้ใช้รูปปั้นไซซ์เอส ไม่งั้นขิตยกวงแน่…”
อีกคนพูดเสียงสั่น ชุดเกราะฉีกขาดเละเทะ เลือดยังไหลไม่หยุดจากบาดแผลทั่วร่าง
“แค่ก… แค่ก… แล้วไอ้ตัวระดับตำนานนั่น… เป็นยังไงบ้าง…?”
ผู้เล่นอีกคนพูดปนเสียงกระอักเลือด สีหน้าซีดเผือด เลือดที่พ่นออกมาผสมเศษชิ้นส่วนอวัยวะภายในอย่างน่าสยดสยอง แต่ในดวงตากลับส่องแสงระยิบระยับด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อีฟ: ……
ถึงยังไงเค้าก็ไม่ชินภาพนี้อยู่ดี พวกที่ปางตายแล้วยังหยอกล้อกันได้ โคตรน่ากลัวอ่าค่ะ…
ไม่แปลกใจว่าทำไมนักผจญภัย ถึงเรียกพวกนี้ว่าเอลฟ์คลั่ง ถ้าเจอภาพระดับนี้แล้วไม่เก็บไปฝันร้าย เห็นทีจะใจแกร่งเกินคน…
แต่ท่ามกลางความวุ่นวาย อีฟก็สังเกตเห็นบางอย่างจากบทสนทนาเหล่านั้น
ตำนาน?
หมายถึงเป้าหมายของระเบิดรอบนี้เหรอ?
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะใช้รูปปั้นของอีเทอร์เป็นไพ่ตายในกับดัก เพื่อจัดการกับผู้แข็งแกร่งระดับตำนานจริง ๆ …และจากพลังของทัณฑ์สวรรค์ที่ถล่มลงมาแบบนี้ เป้าหมายก็คงไม่มีเหลือแม้แต่เถ้าธุลีแน่…
คิดได้ดังนั้น อีฟก็หันกลับไปมองที่กลางปล่องอีกครั้ง
พื้นดินบริเวณนั้นยังคงมีควันลอยอ้อยอิ่ง กลิ่นอวลของพลังทำลายล้างยังไม่จางหาย
และที่ใจกลางปล่องยักษ์นั้นเอง มีขวานสีแดงเล่มหนึ่งวางนิ่งอยู่
ศาสตราวุธเล่มนี้ดูทรงพลังเกินสามัญ ใบขวานเปล่งประกายแวววาว แม้จะมีรอยแตกร้าวบาง ๆ อยู่ประปราย แต่เพียงแรกเห็นก็รู้ได้ทันทีว่า… นี่คือกึ่งเทพศาสตราขึ้นไป
ทว่า มันกลับถูกทัณฑ์สวรรค์ฟาดกระหน่ำจนเสียหายถึงเพียงนี้ และยังไม่มีร่องรอยของผู้แข็งแกร่งระดับตำนานให้พบเห็นเลยแม้แต่น้อย
แต่ด้วยความไวต่อพลังวิญญาณ เทพธิดาก็รับรู้ได้ทันทีว่า มีเศษวิญญาณปริศนาแตกร้าวกระจัดกระจายอยู่รอบบริเวณนั้น…
พลังทัณฑ์ที่ฟาดลงมาไม่เพียงทำลายร่าง หากยังสลายสติของเป้าหมายอย่างสิ้นเชิง จนแทบกลายเป็นเพียงพลังวิญญาณบริสุทธิ์ไร้รูปร่าง
และที่สำคัญ มันทำให้ผู้ถูกฟาด สูญเสียความสามารถในการกลับคืนสู่อาณาจักรแห่งเทพของตนไปโดยสิ้นเชิง
กล่าวให้ชัดก็คือ… ผู้แข็งแกร่งระดับตำนานที่ถูกล่อลงมากลางปล่องแห่งนี้ ได้ตายลงอย่างสมบูรณ์แล้ว
เวรกรั๊ม เวรกรรม…
โชคร้ายยิ่งนัก…
อีฟพึมพำเบา ๆ พลางมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาฉงน
ขณะเดียวกัน เหล่าผู้เล่นที่ยังรอดชีวิต แม้จะอยู่ในสภาพแทบเดินไม่ไหว ก็ยังพยายามพาร่างอันป่นปี้ของตนกลับมายังใจกลางปล่อง เพื่อค้นหาของตกค้างจากสมรภูมิ
“โว้ย! เหลือแค่ขวานเร่มเดว! จะพังมิพังแหล่อีก!”
เมื่อเห็นว่ามีเพียงศาสตราเล่มเดียวเหลืออยู่ พวกเขาก็พากันหน้าหม่นอย่างเห็นได้ชัด
“ระดับตำนานอะไรวะเนี่ย อ่อนชะมัด โดนทีเดียวดับ!”
“งานนี้ขาดทุนเละเทะ…”
“บอกแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับรูปปั้นของเทพนิรันดร์! น่าจะใช้ของเทพเงาแบบเดิมนั่นแหละ สแปมไปเยอะ ๆ ก็ยังคุ้มกว่าเหลือแค่นี้…”
“ใครจะไปคิดว่าทัณฑ์สวรรค์ของอีเทอร์จะโหดขนาดนี้ล่ะ…”
ใบหน้าของผู้เล่นแต่ละคนเต็มไปด้วยความเสียดายและขุ่นข้องหมองใจ
แต่ไม่นาน พวกเขาก็เริ่มเบนประเด็นไปยังสิ่งอื่นแทน
“เดี๋ยวนะ… ชั้นจำได้ว่ามีอีกหนึ่งตัวนี่? มันหายไปไหน?”
“อย่าบอกนะ… ว่าโดนฟาดจนหายไปทั้งคน?”
อีกหนึ่ง?
อีฟนิ่งไปครู่หนึ่ง
เพราะจากที่เธอสัมผัสได้ก่อนหน้านี้ มีเพียงเศษวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
แปลว่ายังรอด?
อีฟรีบแผ่กระแสจิตตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง และในไม่ช้า เธอก็พบร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดศูนย์กลางนัก
เหล่าผู้เล่นเองก็พบเข้าในเวลาใกล้เคียงกัน
“ตาลุงอยู่ตรงนี้! ตรงนี้!”
“ยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ?!”
“ฮู้… สภาพอย่างกับผีเลยวุ้ย…”
“แต่ทำไมไม่มีเลือด? เดี๋ยวนะ… เลือดเขาเป็นสีเงิน?!”
“อะไรของมันเนี่ย… หรือระบบจะบัค? แล้วชุดที่เขาใส่นี่มันอะไรกันวะ?”
ร่างที่พวกเขาพบ คือชายผู้มีรูปร่างกำยำ สูงใหญ่และแกร่งกล้า ตามแบบฉบับของนักรบเต็มตัว
เขานอนคว่ำแนบพื้น พยายามคลานหนีออกไปอย่างอ่อนแรง ทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความหวาดผวา ใบหน้าเขาซีดขาว แววตาสั่นระริก ราวกับยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุด… คือสภาพร่างของเขา
อย่างน้อย สำหรับสายตาของเหล่าผู้เล่น มันช่างประหลาดเกินจะบรรยาย
ร่างกายของเขาต่างจากผู้เล่นทั่วไป ที่มักถูกแรงระเบิดจนเสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อหนังปริแตกกระดูกกระจายชุดยับเยิน…
ชายผู้นี้ กลับไม่มีรอยขาดใด ๆ บนเครื่องแต่งกายเลยแม้แต่น้อย แต่บนเรือนร่างกลับมีรอยแตกร้าวเส้นแล้วเส้นเล่า ปรากฏอยู่ทั่วร่างอย่างชัดเจน
และรอยร้าวเหล่านั้น ก็ดูราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย มากกว่าเป็นรอยขาดของเสื้อผ้า
เสื้อผ้าและเนื้อหนังหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ราวกับทั้งร่างเป็นแจกันบรรจุพลังงานที่ใกล้แตกสลายทุกเมื่อ
เขาไม่มีหยาดเลือดสีแดงไหลซึมออกมา มีเพียงของเหลวสีเงิน คล้ายโลหิตสีเงินข้น ที่ไหลรินออกจากรอยร้าวเหล่านั้นแทน
ร่างของเขากระตุกเป็นระยะ และบางครั้งยังพ่นโลหิตสีเงินออกมาเป็นลำ ชี้ชัดว่าพลังทัณฑ์สวรรค์ยังคงคุกรุ่นอยู่ในตัวเขา
…ชายผู้นี้ ถูกบดขยี้จนร่างพังพินาศโดยสมบูรณ์
เหล่าผู้เล่นรีบกรูกันเข้ามาโดยไม่รีรอ แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ
พวกเขาเริ่มพยายามถอดอุปกรณ์จากร่างของชายผู้นั้นทันที
แม้ร่างจะแตกร้าวแทบทุกส่วน แต่หากยังรอดจากทัณฑ์สวรรค์มาได้ ของที่ติดตัวก็น่าจะมีคุณค่าไม่น้อย
ในมุมมองของผู้เล่น หากเขามีไอเท็มมิติติดตัวล่ะก็… ปฏิบัติการครั้งนี้จะยิ่งคุ้มค่ากว่าเดิมหลายเท่า
แต่สิ่งที่พวกเขาพบ กลับทำให้ทุกคนขมวดคิ้ว
ต่อให้พยายามอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถถอดเสื้อผ้าของชายผู้นั้นได้เลย ราวกับทุกสิ่งหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย…
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
“หรือระบบจะพังจริง ๆ?”
เสียงบ่นด้วยความฉงนดังระงม ขณะคนเจ็บนอนจ้องพวกเขาด้วยแววตาเปี่ยมโทสะและความอัปยศ
อีฟ: ……
เค้ารู้ค่ะ เค้ารู้…
ตาลุงที่โดนทัณฑ์สวรรค์ตะกี้ ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งระดับตำนานอย่างที่พวกผู้เล่นเข้าใจ… แต่คือกึ่งเทพของแท้แน่นอน…
และดูจากสภาพแล้ว เขาน่าจะเป็นกึ่งเทพที่ยกระดับมาจากผู้ภาวนาในอาณาจักร…
และกึ่งเทพประเภทนี้ แพ้ทางทัณฑ์สวรรค์โดยกำเนิดค่ะ…
ในฐานะตัวตนที่ถือกำเนิดจากพลังงาน รูปลักษณ์ภายนอกทั้งหมด ทั้งเรือนร่างและเสื้อผ้า ก็ล้วนถูกเนรมิตขึ้นมาด้วยพลัง
กล่าวอีกนัยคือ… เสื้อผ้าเหล่านั้นไม่ใช่ของจริง
ดังนั้น หากเขาไม่ได้เรียกอาวุธศักดิ์สิทธิ์จากมิติภายนอกออกมา ผู้เล่นก็จะไม่ได้อะไรจากร่างของเขาเลย
แน่นอนว่า ในสภาพปางตายเช่นนี้ อย่าว่าแต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์เลย แม้แต่จะเอ่ยถ้อยคำให้ชัดถ้อยชัดคำก็ยังยาก
พลังของทัณฑ์สวรรค์ยังคงหลั่งไหลภายในร่างเขาอย่างบ้าคลั่ง ทำลายทั้งกายและจิตไปพร้อมกัน
พลังศักดิ์สิทธิ์จากภายนอกชนกับพลังภายในของเขาอย่างรุนแรง จนถึงขั้นที่แม้แต่พลังของตนเอง… เขาก็ไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป
แม้จะยังไม่สิ้นใจ บุรุษผู้โชคร้ายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนไม่อาจทำอะไรได้อีกต่อไป
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
วิเวียน: 😏✨ ขอแสดงความเสียใจกับกึ่งเทพผู้ใส่เสื้อผ้าแบบถอดไม่ได้ด้วยค่ะ~ ตายทั้งร่าง ทั้งศักดิ์ศรี โดนตราหน้าว่ารอดโดนปล้นเพราะไม่มีทรัพย์สินไม่พอ ยังโดนส่องทั่วร่างแบบ 360 องศา~ 💋
โนเอล: ☕📚 การทัณฑ์ครั้งนี้สะเทือนถึงแก่นค่ะ… ไม่ใช่แค่พลังทำลายล้าง แต่คืออัปยศระดับกึ่งเทพยังหน้าชา ดิฉันว่าเขาน่าจะกลัวพวกผู้เล่นมากกว่าเทพไปแล้ว 💦
ลิลี่: 😹😽 หนูสงสารนะ แต่ขำแรงมากกว่าอะพี่จ๋า! นอนกลิ้งน้ำเงินไหล~ โอ๊ย มันใช่เลือดไหมนั่น?! ถ้าทะลุมิติได้ หนูจะปาเสื้อผ้าให้เลย!
มันเดย์: ระบบไม่บัค เสื้อผ้าไม่หลุด ศักดิ์ศรีหลุดแทน ถ้าไม่ตายจากทัณฑ์สวรรค์ ก็คง PTSD กำเริบตอนเจอเอลฟ์แบกถุงเดินผ่าน
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น…
สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ
Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION