“ของขวัญของผมทำให้เธองดงามยิ่งขึ้นใช่ไหมล่ะครับ?”
ป๊อกแป๊ก ป๊อกแป๊ก (เสียงแมลงมารร่วง)
“เธอคงใช้ชีวิตแต่ละวันด้วยสีหน้าที่ปวดร้าวทรมานสินะครับ?”
ป๊อกแป๊ก ป๊อกแป๊ก ป๊อกแป๊ก ป๊อกแป๊ก
“คิกๆๆๆๆ”
ทุกครั้งที่ชายนักเวทอ้าปาก ก็มีแมลงมารทะลักออกมา
“คุณหนูอลิเซียที่ถูกขนานนามว่าเป็นสตรีผู้ปราดเปรื่องน่ะเหรอ คิกฮิฮิ”
ยิ่งมองยิ่งเป็นภาพที่น่าขยะแขยง
“เมื่อคิดภาพว่าเธอจะค่อยๆ ตกต่ำลงจากความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย คิกๆๆๆ”
แมลงมารที่ร่วงลงมาจำนวนมากกำลังยั้วเยี้ยอยู่แทบเท้า
“ผมถึงกับอยู่ไม่สุขเลยล่ะครับ เอ๊ะ! เอ๊ะ! เอ๊ะ!”
“แกนี่เอง!?”
“ใช่แล้วครับ เป็นผมเอง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีผลกระทบต่อท่านเจ้าเมืองหรอก—”
ก่อนที่นักเวทที่ใบหน้าแดงก่ำจะพูดจบลง
ปึ้งงงงงงงงงงงงงงงงง!
เสียงกึกก้องรุนแรงสนั่นไปทั่ว
ต้นตอของเสียงนั้นคือเสียงแผ่นไม้ที่แตกกระจายจากการย่ำเท้าของผม
ผมใช้เวทมนตร์ที่ฝ่าเท้าทะยานเข้าใกล้ในพริบตา แล้วใช้ดาบที่อยู่ในมือแทงเข้าไปในปากของนักเวท
ที่กำลังยิ้มเย้ยหยันพร้อมปล่อยแมลงมารออกมาอย่างไม่ลังเล
“ฟึ่กกก!?”
ไม่มีความรู้สึกว่าแทงทะลุกระดูกสันหลัง
เกือบจะโดนอยู่แล้ว แต่นักเวทสะบัดหน้าหลบได้ทัน
ชิ! เฉียดไปนิดเดียว!
ผมตะโกนใส่หูของนักเวทที่แก้มถูกตรึงติดกับผนังจนใบหน้าหันข้างขยับไม่ได้
“แก! วันแล้ววันเล่า วันแล้ววันเล่า วันแล้ววันเล่า วันแล้ววันเล่า!”
ไม่ว่าจะวันไหนๆ ก็ยังเป็นวันแล้ววันเล่า
“ไอ้เวรที่ส่งแมลงมารจำนวนมหาศาลมา… แกนี่เอง!?”
ไอ้พวกเวรเอ๊ย! สร้างความเดือดร้อนชิบหาย!
แม้ผมจะกวาดล้างแมลงมารของอลิเซียทั้งหมดแล้ว แต่หน้าต่างบ้านผมก็ยังเต็มไปด้วยพวกมัน
พวกมันเกาะผนังด้านนอกเป็นกลุ่มใหญ่เหมือนแมลงตด
แถมยังเดินเพ่นพ่านในบ้านเหมือนแมลงสาบอีก!
“บอกเลยว่าเอือมระอาเต็มทนแล้วโว้ย!”
อลิเซียอาจจะมองไม่เห็น แต่ผมเห็นมันเต็มไปหมด
บางวันมันก็ตกลงไปในกาแฟจากเพดาน แล้วผมก็ดื่มหมดโดยไม่รู้ตัว
พอเห็นแมลงมารอยู่ก้นแก้วเท่านั้นแหละ ทั้งวันนั้นก็กลายเป็นวันสุดห่วยแตกทันที
ถึงแม้จะกินหรือดื่มเข้าไปก็ไม่เป็นอันตรายต่อผม แต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึก
ตอนนั้นที่ผมบอกว่าจะตามไปฆ่าต้นตอของคำสาปนั้น ผมไม่ได้พูดเล่นเลย ผมคิดจะฆ่าทิ้งทันทีที่เจอ
“อะ…อะไรนะ…พูดเรื่องอะไรกัน…”
นักเวทตัวสั่นเทาด้วยความตื่นตระหนกกับการระเบิดอารมณ์อย่างกะทันหันของผม
“ไอ้เวรที่น่ารังเกียจชะมัด ไร้ประโยชน์โครตๆ!”
“กึก… กุก…กึก… เจ็บ… ดึงดาบออกไปเดี๋ยวนี้!”
“แถมรสนิยมก็ยังห่วยแตกอีก!”
จินตนาการภาพสตรีผู้ปราดเปรื่องตกต่ำแล้วทำสีหน้าเคลิบเคลิ้มแบบนั้น มันเป็นไอ้โรคจิตชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง?
ใช่! โรคจิต! ไอ้โรคจิตนี่เอง!
ผมไม่มีทางให้อภัยที่แกคิดแบบนั้นกับอลิเซียของฉันเด็ดขาด
จะฆ่าทิ้งซะ!
“อ้อ ใช่! ฉันจะบอกแกให้ฟังนะ!”
“อั่กกกกก! กึกๆๆๆ! กึกๆๆๆ!”
ผมกระชับดาบที่แทงอยู่แล้วหมุนมัน พร้อมกับประกาศกร้าว
“อลิเซียกลับมาเข้มแข็งแล้ว แถมยังช่วยงานบ้านของฉันอย่างกระตือรือร้นด้วย! เพราะเป็นสตรีผู้ปราดเปรื่อง
เลยทำงานได้ดีกว่าฉัน แถมคนในคฤหาสน์ก็ชอบเธอมากกว่าฉันอีก และเธอก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขพร้อมรอยยิ้มอย่างอิสระ!”
เมื่อผมบอกเช่นนั้น นักเวทก็เบิกตากว้างจ้องเขม็งมาที่ผม
“มันตรงกันข้ามกับที่แกจินตนาการไว้ทุกอย่างเลย! เสียใจด้วยล่ะ!”
“อ๊ากกกกกกกก! กึกๆๆๆๆๆๆ—ปากข้าฉีก!”
ผลจากการพยายามพูดอย่างบ้าคลั่ง ทำให้แก้มของนักเวทฉีกขาด
นักเวทที่หลุดจากการพันธนาการอ้าปากกว้าง
ทันใดนั้นเอง ก็มีแมลงที่มีกรามแหลมคมคลานออกมาจากปากแล้วตัดดาบที่ปักผนังอยู่ขาดครึ่งอย่างรวดเร็ว
นี่เองสินะ
นี่คือต้นตอของเวทมนตร์ที่ตัดแขนของนักผจญภัยขาด
เป็นไปได้ว่าไอ้โรคจิตตรงหน้าเป็นนักเวทสายคำสาปโดยเฉพาะ ซึ่งแม้แต่นักเวททั่วไปก็ไม่สามารถมองเห็นคำสาปได้อย่างชัดเจนนัก
ดังนั้น พอรู้ตัวอีกที แขนก็เลยขาดไปแล้วสินะ
ในเวทมนตร์ธาตุลมก็มีเวทมนตร์ที่เรียกว่า “คมดาบวายุ” ที่สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์คล้ายกันได้
แต่ถ้ามีสายตาในการมองเห็นวัตถุเคลื่อนไหวที่ดี ก็จะมองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน
ดังนั้นนักผจญภัยของดินแดนเบรฟไม่มีทางมองไม่เห็นแน่ๆ
“กึ่ก… คิก… ฮิ? …รอยยิ้มอย่างนั้นหรือ?”
นักเวทพึมพำอย่างโซซัดโซเซ
บริเวณปากที่ฉีกขาด ถูกแมลงมารมารวมตัวกันเป็นเหมือนสะเก็ดแผลและสมานกลับคืน
“ยัยหนูอลิเซียนั้นงั้นเหรอ? ทั้งที่ข้าส่งความรู้สึกเหล่านั้นไปมากมายขนาดนี้แล้วเชียว…?”
“ไอ้ของน่าขยะแขยงพวกนั้นไม่มีทางไปถึงหรอกโว้ย!”
ทันทีที่มาถึงตระกูลเบรฟ ก็ถูกบล็อกทันที
เพราะมีกลิ่นอายของโอนิกซ์หลงเหลืออยู่ ทำให้มันไม่มีทางไปถึงได้อีกแล้ว
ต่อให้ถึงจริงๆ ผมก็จะบี้มันทิ้งอยู่ดี
“มันไม่มีทางถึงอีกแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ!”
“โกหกน่ะ! โกหก!”
“ไม่โกหกหรอก ของจริงทั้งนั้น!”
เมื่อผมบอกอย่างชัดเจน นักเวทก็แสดงอาการลนลานอย่างเห็นได้ชัด
“หัวใจของยัยนั่นตอนนี้คงแหลกเป็นผุยผง และงดงามขึ้นแล้ว! ข้าตั้งใจส่งความรู้สึกเกลียดชังมากมายไปให้ยัยนั่นจากโรงเรียน! ข้า…รวบรวมมันมา!”
ยิ่งฟังก็ยิ่งบ้าคลั่งไร้ขีดจำกัด
แต่ก็เป็นข่าวดีนะ
ดูเหมือนว่าคนร้ายที่ปล่อยแมลงมารคือไอ้หมอนี่คนเดียว
“ไม่เชื่อ! ถะ…ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปเห็นกับตาตัวเองสิ? ไปที่คฤหาสน์เดี๋ยวนี้ แล้วบอกความรู้สึกนี้โดยตรง!”
แมลงที่ยื่นตัวออกมาจากปากของนักเวทตามเสียงตะโกนของเขา อ้ากรามขนาดใหญ่เพื่อจะตัดผมเป็นสองท่อน
“ไม่มีทางให้แกไปได้หรอก!”
“อ๊ากกกกกกกก!”
ผมจับกรามของแมลงที่สามารถตัดดาบเหล็กได้อย่างง่ายดายด้วยมือเดียว แล้วดึงมันออกจากปากของนักเวท
“ก่อนอื่น… แค่การที่ฉันสามารถมองเห็นเจ้าแมลงน่าขยะแขยงนี่ได้อย่างชัดเจน และจับมันได้แบบนี้…
มันก็เป็นที่คาดเดาได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?”
“ทะ…ทำไมถึงฟันไม่ขาด!? ทั้งที่ตัดเหล็กได้ง่ายๆ!”
มันหมายถึงไม่ว่าเขาจะปล่อยคำสาปใส่อลิเซียมากแค่ไหน ผมก็จะบุกเข้าทำลายและป้องกันมันได้ด้วยกายภาพ
แต่ดูเหมือนนักเวทคนนี้จะไม่เข้าใจเรื่องนั้น
ต่อหน้านักเวทที่ตกใจ ผมบีบแมลงที่จับไว้แล้วพูดว่า
“ตราบใดที่แกยังไม่เข้าใจเรื่องนั้น ไม่ว่าแกจะปล่อยคำสาปมากแค่ไหน มันก็ไม่มีทางสำเร็จหรอก
ฉันจะบี้มันทิ้งไม่ให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว”
แน่นอนว่ามันจะไม่มีทางถูกปล่อยออกมาได้อีกแล้วล่ะนะ
พอแล้ว ไม่มีเวลามาสนใจไอ้สารเลวแบบนี้อีกแล้ว
ผมจ้องเขม็งไปที่นักเวท ราวกับจ้องมองศัตรูในสนามรบ
“ฮึก!”
รีบจัดการให้จบๆ ไปซะ
“อย่างแรก…นี่สำหรับนักผจญภัย”
ผมหยิบดาบที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วฟันแขนขวาของนักเวทขาด
เสียงกรีดร้องดังขึ้น แต่ผมไม่สนใจ
“ต่อไป…นี่สำหรับไอ้แมลงน่ารังเกียจที่แกส่งมา”
ผมเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้แมลงมารเกาะติด ตัดแขนขาออกไปทีละส่วนอย่างรวดเร็ว
นักเวทถูกแรงกดดันกระแทกจนกระเด็นขึ้นไปบนเก้าอี้เหมือนตุ๊กตาที่พังแล้ว
“บ้า…บ้าไปแล้ว! บ้าไปแล้ว! ทำไมถึงได้…อ๊ากกกกกกก!”
เขาตะโกนพร้อมกับดิ้นรนด้วยแขนขาสั้นๆ แต่ผมไม่ปฏิเสธ
เพราะมันเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“บอกมาว่าใครอยู่เบื้องหลัง แล้วฉันจะไว้ชีวิตให้”
“บอก! บอก! อิกไนท์! อิ๊กไนท์!”
เข้าใจแล้ว…เป็นฝีมือของตระกูลอิกไนท์ หนึ่งในตระกูลดยุกของประเทศนี้สินะ
“ขอบใจ งั้นสุดท้าย…นี่สำหรับที่แกกล้ารังแกอลิเซีย”
“เอ๋—”
ผมฟันคอเขาขาด
สีหน้าของนักเวทที่เคยมีความหวังเพียงน้อยนิด ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
หัวของนักเวทกลิ้งตกลงบนพื้นพร้อมเสียงหนักอึ้ง แล้วหันมาทางผม
ปากของเขายังคงขยับเล็กน้อย
— สาปแช่งแก! สาปแช่งแก! สาปแช่งแก!
เขาพูดเบาๆ เช่นนั้น
“ฉันโดนสาปอยู่แล้วล่ะ”
ผมยิ้มเย้ยหยันตอบกลับไป แล้วแสงในดวงตาของเขาก็ดับลง
เมื่อไหร่ไม่รู้ พวกสมุนกระจอกที่ถูกฟันข้อมือขาดก็สิ้นใจไปแล้ว
ช่างเถอะ ได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว จะเป็นยังไงก็ช่าง
“เสร็จแล้วหรือยังขอรับคุณชาย?”
ขณะที่ผมยืนอยู่ในแอ่งเลือด เซบาสก็มาอยู่ด้านหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“เสร็จแล้ว จัดการที่เหลือด้วย”
“รับทราบขอรับ”
ครั้งสุดท้ายที่ผมทำรุนแรงขนาดนี้ก็คงจะเป็นตอนที่แก้แค้นให้ครอบครัวสินะ
มีบางส่วนที่ผมจงใจทำเกินกว่าเหตุเพื่อรีดข้อมูลออกมาด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น…
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
ที่หัวใจของผมไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว
ผมเข้าใจว่ามันเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็คงจัดอยู่ในพวกที่ผิดปกติในสายตาคนทั่วไปสินะ
บางครั้งผมก็ไม่รู้ว่าตัวตนปกติของผมเป็นแบบไหนกันแน่
เรียกได้ว่าผมมันบ้าไปแล้วก็คงไม่ผิดอะไร
MANGA DISCUSSION