– โอโตเมะ อามายะ –
พักเที่ยงนี้อาคิยามะก็ยังคงหายเงียบไปพร้อมกับโฮตานิเช่นเดิม
ทีแรก ฉันคิดว่าเขาจะกินข้าวกลางวันกันในห้องเรียนเพราะเห็นเขาห่อข้าวมา คิดว่าแบบนั้นก็จะได้มีโอกาสคุยกับเขาบ้างช่วงที่กินข้าวกัน
แต่ความเป็นจริงไม่เหมือนสิ่งที่คิด ตอนนี้เขาไม่อยู่ในห้องเรียน ยูบิจังที่ชอบแวะมาช่วงพักกลางวันบ่อยๆ ก็ไม่มา
[‘หรือว่า… ไปด้วยกันงั้นเหรอ’]
รู้สึกว่าช่วงนี้ความคิดด้านลบแบบนี้มักจะโผล่เข้ามาในหัวบ่อยๆ จนน่าแปลกใจ
นับตั้งแต่ที่ได้คุยเปิดใจกับยูบิจังครั้งก่อน ฉันก็มักจะเห็นภาพจินตนาการด้านลบของตัวเองอยู่เสมอ
จินตนาการที่ตัวเองยืนดูยูบิจังเดินคล้องแขนกับอาคิยามะกลับบ้านด้วยกัน
จินตนาการที่เห็นเขาจูงมือกันเดินเที่ยวชมงานเทศกาลดอกไม้ไฟ
จินตนาการเลวร้ายถึงขั้นที่พูดออกสื่อไม่ได้
เฮ้ออ…
ถอนหายใจแล้วก็ปลุกปลอบขวัญกำลังใจให้ตัวเอง
ทั้งฉันและยูบิจังต่างตกลงกันแล้วว่าเราจะแข่งขันกันอย่างยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียนหรือที่ไหนๆ ยูบิจังก็ไม่เคยมาขัดขวางฉันเลยสักครั้ง
ดังนั้นในเวลาแบบนี้ หากยูบิจังจะ…
เฮ้ออ…
“ถอนหายใจมากขนาดนี้เดี๋ยวก็อายุสั้นกันพอดี”
เซริที่นั่งอยู่ข้างกันเตือนเบาๆ แต่เมกุมิและอาโอะจังที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันก็ยังได้ยิน แถมพยักหน้ารับหงึกๆ ด้วยกันทั้งคู่
[‘อายุจะสั้นจริงดิ’]
เซริ : “ถ้ากังวลขนาดนั้น ทำไมเธอไม่รั้งเขาไว้ล่ะ?”
อามายะ : “เธอรู้เหรอว่าฉันกังวลอะไร?”
เซริ : “เธอเป็นแบบนี้เกือบทุกครั้งที่อาคิยามะออกไปกินข้าวข้างนอกนี่นะ กลัวคุณทาเคโนะอุจิจะรุกฆาตเขาหรือไง?”
[‘แทงใจดำชะมัด’]
จะว่าไปแล้วฉันก็เล่าเรื่องที่เปิดใจคุยกันกับยูบิจังให้เซริ เมกุมิ แล้วก็อาโอะจังฟังแล้ว เพียงแต่เรื่องที่ยูบิจังเคยคบกับอาคิยามะนั้นฉันเล่าให้เซริฟังแค่คนเดียว
เมกุมิ : “นี่เธอยังคิดจะแข่งแบบยุติธรรมอะไรนั่นอยู่อีกเหรอ?”
อามายะ : “ผิดเหรอ?”
อาโอะ : “ไม่ผิดหรอกค่ะ แต่แบบนั้นมันจะไม่แย่เอาเหรอคะ? คู่แข่งเป็นถึงคุณทาเคโนะอุจิเลยนะคะ”
[‘แย่เหรอ?’]
เมกุมิ : “ขนาดอาโอะจังยังรู้เลย ขืนเธอยังแข่งขันแบบยุติธรรมอยู่แบบนี้มีหวังเสร็จคุณทาเคโนะอุจิก่อนแน่”
อามายะ : “ไม่หรอกมั้ง ยังไงเธอก็เป็นคนเสนอการแข่งนี้ขึ้นมาเองนะ”
เมกุมิ : “เธอบ้าหรือเปล่า? เรื่องแบบนี้มันไม่มีคำว่ายุติธรรมหรอก ใครดีใครได้ต่างหาก”
เซริ : “จริงอย่างที่เมกุมิว่านั่นแหละ”
เมกุมิ : “มัวแต่เล่นตามเกมคนอื่น ระวังเถอะจะเสียเขาไปไม่รู้ตัว”
เป็นคำพูดเตือนสติที่แทงใจดำแบบสุดๆ ฉันอยากจะขอบคุณเพื่อนๆ ที่เป็นห่วงอยู่หรอกนะ แต่ว่าแบบนี้ยิ่งคิดมากเข้าไปใหญ่
เพื่อนๆ เองก็คงสังเกตได้ว่าเผลอพูดตรงกันเกินไปหน่อย พวกเธอปลอบฉันกันยกใหญ่จนรู้สึกมีกำลังใจขึ้นโข
เซริ : “หลังจากนี้คงต้องทำคะแนนจริงจังบ้างแล้วล่ะนะ”
เมกุมิ : “นั่นซิ ยังไงก็ไม่ได้นอกเกมซะทีเดียว แค่ต้องเล่นแรงขึ้นนิดหน่อย”
อาโอะ : “อามายะจังสู้ๆ ค่ะ”
อามายะ : “ถึงจะพูดงั้นแล้วจะไปทำคะแนนตอนไหนล่ะ แค่โอกาสน่ะยังหาไม่ได้เลย”
เซริ : “โอกาสไม่มีก็สร้างขึ้นมา เดี๋ยวพวกฉันช่วยเอง”
ว่าแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาเป็นสัญญาณการเปิดประชุมทีมที่รู้กัน
เซริ : “ก็ตามนั้นล่ะ เธอเองก็จัดการรวบหัวรวบหางให้เรียบร้อยซะล่ะ”
อามายะ : “ห๊ะ!? รวบหัวรวบหางอะไร พูดอะไรน่าอายแบบนั้น พวกเรายังเป็นแค่เพื่อนกันนะ”
เมกุมิ : “คิดอะไรของเธออยู่น่ะ เซริหมายถึงให้ทำคะแนนหรอก”
อามายะ : “อึก… ก็….”
อาโอะ : “หน้าแดงหมดแล้วนะคะอามายะจัง”
เซริ : “คิกๆๆ ถ้าสนใจจะรวบหัวรวบหางเขาจริงๆ ฉันแนะนำให้ได้นะ”
อามายะ : “บะ… บ้า!! คะ… ใคร… ใครมันจะไปทำแบบนั้น บะ… บะ… แบบนั้นน… น่าอายเกินไปแล้ว >///<”
—
– อาคิยามะ เออิชิ –
ห้องเรียนของวิชาบ่ายนี้เป็นห้องปฏิบัติการทางภาษาและการฟัง เป็นห้องปฏิบัติการที่ค่อนข้างพิเศษและทันสมัยในสายตาผม
นักเรียนที่เข้าเรียนที่ห้องนี้จะได้นั่งที่นั่งที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งมีซอฟต์แวร์สำหรับการเรียนการสอนในหลากหลายภาษา มีแม้กระทั่งภาษามือและอักษรเบล
ผมเคยเอ่ยข้อสงสัยเรื่องการเรียนอักษรเบลจากคอมพิวเตอร์กับโอโตเมะขึ้นมาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเธอมองผมแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าตกลงแล้วพวกอาจารย์สอนวิชานี้กันยังไง
ผมกับโซเฮย์มาถึงห้องเรียนเป็นสองคนสุดท้ายเพราะโซเฮย์มัวแต่ช็อกกับการถึงเนื้อถึงตัวของยูมิ กว่าจะขยับตัวและพูดได้เป็นปกติก็เป็นตอนที่อันนะและเพื่อนๆ พากันกลับไปห้องเรียน
“ถ้าไม่ได้นั่งข้างกันก็ทำตามแผนไม่ได้สิ”
“ไม่ต้องห่วง ผมเตรียมการไว้หมดแล้ว”
ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องเรียน โซเฮย์ก็เดินนำผมไปไปยังแถวกลางฝั่งหน้าต่างของห้องทันที
ตอนแรกผมไม่เข้าใจว่าเขารู้ได้ยังไงว่าตรงนั้นมีที่ว่าง แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้หน่อยก็เห็นว่าตรงนั้นเว้นที่ว่างไว้สองที่จริงๆ แถมเว้นไว้แบบแปลกๆ ด้วย
นั่นคือโอโตเมะนั่งติดริมหน้าต่าง เว้นหนึ่งที่ ถัดมาเป็นคุณซากุระ คุณอาโออิ แล้วก็เว้นว่าง
“คุณนั่งในนะ เดี๋ยวผมนั่งปิดด้านนอกเอง”
ผมมองตำแหน่งว่างแล้วก็ไม่ติดขัดกับข้อเสนอที่โซเฮย์ว่ามา เพียงแต่ตำแหน่งของเขานั้นค่อนข้างจะทะแม่งๆ เหมือนจงใจ
“ตกลงนายช่วยฉันหรือช่วยตัวเองล่ะเนี่ย?”
“ช่วยคุณซิครับ อย่างอื่นก็แค่ผลพลอยได้”
กระซิบกระซาบกันแค่นั้นผมกับเขาก็แยกย้ายกันไปนั่ง เนื่องจากอาจารย์เดินเข้าห้องเรียนมาแล้ว
“ไง”
“ไง”
เป็นการทักทายง่ายๆ ที่ผมทักทายโอโตเมะและเธอก็ทักทายผมกลับในลักษณะเดียวกัน ทว่าหลังจากนั้นระหว่างเราก็ขาดการติดต่อกันไปอีก
เพราะว่าคาบนี้เป็นคาบการฟัง ดังนั้นการพูดจึงเป็นสิ่งต้องห้าม
[‘บ้าเอ๊ยย… ลืมไปสนิทเลยเว้ยยย…’]
ผมคลึงหว่างคิ้วตัวเองที่มาตกม้าตายอะไรง่ายๆ แบบนี้ หางตาไม่วายเหลือบไปมองคนที่นั่งข้างๆ กัน
เสียงบทสนทนาภาษาอังกฤษดังออกมาจากเฮดโฟนที่สวมอยู่ แต่ความสนใจของผมถูกดึงดูดไปทางโอโตเมะเรียบร้อยแล้ว
ผมที่ยาวขึ้นกว่าเดิมของเธอตอนนี้อยู่ที่ประมาณบ่าถูกทัดไปด้านหลังเผยให้เห็นด้านข้างของใบหน้า
ใบหูและบางส่วนของศีรษะถูกบังไว้ด้วยเฮดโฟนซึ่งสวมคาดไว้ไม่ต่างจากที่คาดผม
เธอตั้งมือซ้ายขึ้นมาเท้าคาง ปากขมุบขมิบราวกับกำลังพูดตามบทสนทนาที่ได้ยิน ดูแล้วน่ารักจนอดยิ้มตามไม่ได้
แต่โลกนี้ไม่มีความลับ เรื่องที่ผมแอบมองเธออยู่ก็เช่นกัน มันอาจจะประมาณห้าหรือสิบนาทีก็ได้ ในที่สุดโอโตเมะก็หันมามองผม
[ มองอะไรไม่ทราบยะ? ]
ผมอ่านปากเธอได้แบบนั้น
การโดนจับได้ว่าแอบมองมันออกจะน่าอายอยู่เล็กน้อย แต่ไม่มากพอจะทำให้ผมถอยได้
ผมขยับปากช้าๆ เป็นคำพูดให้โอโตเมะอ่านออกได้ว่าตั้งใจเรียน อย่าชวนคุย แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเธอเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
เป็นท่าทางที่ผมไม่เคยเห็นเธอแสดงมาก่อน โอโตเมะเอนตัวมาทางผมเล็กน้อยก่อนจะขยับปากช้าๆ
[ ไม่อยากคุยกันจริงเหรอ? ]
รอยยิ้มที่ดูเชื้อเชิญและแววตาที่ดูออดอ้อนของโอโตเมะทำเอาผมเผลอกลืนน้ำลาย และคงเป็นเพราะท่าทางแบบนั้นของผมมันดูตลก โอโตเมะเลยหลุดขำออกมา
“น่ารัก”
ผมหลุดความคิดในหัวตัวเองออกไปและเหมือนโอโตเมะจะเข้าใจที่ผมพูด เธอสำลักจนไอออกมาเสียงดังทำให้คนทั้งห้องหันมามองที่พวกเราเป็นตาเดียว
นั่นคือจุดจบของการสนทนาด้วยการอ่านปากอีกฝ่ายของเราสองคน
ผมนั่งเกาหัวตัวเองในขณะที่คิดว่าจะทำยังไงต่อดี ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปหมดคาบเรียนแล้วผมคงไม่ได้ทำตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้แต่แรก
เสียงบทสนทนาจากเฮดโฟนยังคงดังก้องในหูแต่ไม่ได้เข้าหัว แล้วจู่ๆ ก็มีโน้ตแผ่นหนึ่งยื่นมาจากโต๊ะข้างๆ
มือขาวเล็กๆ วางกระดาษโน้ตไว้แล้วหดกลับไป ผมมองตามมือที่หดกลับไปก็เจอกับเจ้าของมือกำลังบุ้ยใบ้ให้ผมหันไปสนใจหน้าจอ…
…ไม่ดิ สนใจโน้ต
กระดาษโน้ตนั้นน่าจะฉีกออกมาจากสมุดบันทึก มุมล่างของกระดาษมีรูปตัวการ์ตูนแมวกำลังเล่นม้วนด้ายอยู่ ส่วนข้อความบนกระดาษก็…
[ ทำไมมาช้า? ]
[‘อะไรเนี่ย?’]
ผมไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมโอโตเมะถึงถามแบบนั้น แต่ก็เขียนตอบคำถามของเธอไปตามตรง
[ โซเฮย์โดนเพื่อนของอันนะจับตัว เลยตัวแข็งเป็นหิน เสียเวลาฟื้นฟูร่างกายนานไปหน่อย ]
โอโตเมะอ่านโน้ตที่ผมส่งกลับแล้วหลุดขำเบาๆ จากนั้นเธอก็ก้มหน้าเขียนอะไรสักอย่างแล้วส่งกลับมาให้ผม
[ นึกว่าพวกนายจะโดดวิชานี้เสียอีก ]
[‘ยัยนี่มองฉันเป็นคนยังไงเนี่ย?’]
ผมเขียนตอบกลับโอโตเมะไป แล้วโอโตเมะก็เขียนตอบกลับมา ส่งกลับไปกลับมาจนแทบไม่ได้สนใจบทเรียนตรงหน้า
[ เรื่องเมื่อวันเสาร์น่ะ ฉันขอโทษนะ ]
โอโตเมะอ่านแล้วเงียบไป ผมมองเธอที่ไม่เขียนตอบกลับมาแบบทุกทีแต่กลับเจอเธอหันมามองผมแทน
ทั้งสีหน้าและแววตาบ่งบอกว่าเธอไม่เข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อ
ผมเอาสมุดออกมาฉีกกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วเขียนข้อความลงไป
[ เธอไม่ได้โกรธที่ฉันอุ้มเธอที่งานเทศกาลหรอกเหรอ? ]
[ ฉันไม่ได้โกรธนายซะหน่อย ]
[ ก็เห็นเธอทำหน้าบึ้งใส่ฉันมาสองวันแล้ว ]
[ ก็นายไม่ยอมคุยกับฉันนิ ]
[‘เอ๊ะ?’]
เจอข้อความนี้เข้าไปทำเอาถึงกับไปต่อไม่ถูก แล้วโอโตเมะก็ส่งข้อความต่อไปมา
[ อะไรล่ะ นายบอกเองนิว่าคุยกับฉันไม่พอน่ะ แต่พอเจอกันก็ไม่เห็นจะคุยกับฉันเลย ]
[ ฉันก็คิดว่าเธอไม่พอใจฉัน ]
[ ก็ไม่พอใจจริงๆ นั่นแหละ นายคุยกับคนอื่นแต่ไม่คุยกับฉันนิ ]
[ ขอโทษ… งั้นวันอาทิตย์สิ้นเดือนนี้เธอว่างมั้ย? ]
[ ทำไม? ]
[ จะไถ่โทษไง ]
[ ยังไง? ]
[ ไปดูหนังกันมั้ย? ]
โอโตเมะนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ทำเอาผมเผลอกลั้นใจตามไปด้วย
[ เดทงั้นเหรอ? ]
คราวนี้เป็นฝ่ายผมที่ชะงักนิ่งไปบ้าง
[‘ต้องตอบแบบไหนถึงจะถูกล่ะเนี่ย? ใช่? ไม่ใช่?’]
– “นายก็ขี้โกงเป็นประจำอยู่แล้ว” –
คำพูดของโอโตเมะแว่วเข้ามาในหัว ในช่วงเวลานั้นผมคิดว่างั้นก็ขี้โกงอีกหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก
[ ไม่ได้เหรอ? ]
เป็นคำตอบที่ไม่ได้บอกว่าใช่โดยตรง แต่ความหมายก็ไม่ต่างกัน
[ ฉันไม่อยากดูหนัง ]
มันจบแล้วครับนาย…
คำตอบที่ได้ทำเอาผมหมดแรงจะคิดอะไรต่อ โอโตเมะปฏิเสธคำชวนไปดูหนังของผมมาตรงๆ ซึ่งก็ดี เข้าใจง่ายดี
…ดีกะผีสิ
ผมหันไปมองโอโตเมะทันทีที่อ่านจบ แต่เห็นเธอก้มหน้าเขียนข้อความต่อไป พักหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับส่งแผ่นกระดาษมาให้
[ ช่วงนี้ไม่มีหนังที่ฉันอยากดู เราไปที่อื่นได้มั้ย? ]
[‘เอ๊ะ? ไม่ได้ปฏิเสธกันเหรอ?’]
ความหวังที่ดับไปถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ผมรีบเขียนตอบเธอทันทีที่อ่านจบ กลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจเสียก่อน
[ งั้นให้เธอเลือก ]
โอโตเมะทำท่าทางคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบมา
[ อยากไปสวนสัตว์อ่ะ ]
[ ได้สิ ]
[ เดี๋ยวฉันทำข้าวกล่องไปด้วยดีมั้ย? ]
[ ทำเอาฉันอยากไปพรุ่งนี้เลยอ่ะ ]
โดนมองด้วยสายตาแบบว่า ‘นายนี่มันเห็นแก่กินจริงๆ’ แต่ผมก็ไม่ได้สะเทือนหรอกนะ แบบว่าตั้งตารอให้ถึงสิ้นเดือนเลยแหละ
คาบเรียนวิชาเลือกวันนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับกระดาษสมุดโน้ตของพวกเราสองคน
สุดท้ายบทสนทนาในหน้าจอพูดว่าอะไรบ้างผมก็จำไม่ได้นัก รู้แค่ว่าบทสนทนาบนกระดาษโน้ตที่ฉีกออกมานั้นเยอะมาก
และสำคัญมากด้วย…
MANGA DISCUSSION