– อาคิยามะ เออิชิ –
หลังอาคารเรียนยังคงสงบไร้วี่แววของผู้คนเช่นเคย ร่มเงาของต้นไม้บวกกับสายลมเย็นที่ออกจะชื้นเพราะฝนช่วยให้บรรยากาศไม่ร้อนอบอ้าว แต่ก็ไม่ถึงกับเย็นสบายเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ร่วง
ทาเคโนะอุจิเดินตามผมมาเงียบๆ ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของบรรดานักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมา ผมรู้สึกว่าสายตาเหล่านี้น่ารำคาญมากกว่าจะรู้สึกอึดอัด
[‘สงสัยคงชิน’]
คิดเองเออเองสรุปเอง จนกระทั่งเสียงพูดจากข้างๆ ดังขึ้นมาก่อกวนความคิด
“เธอนี่ยังเก่งในเรื่องหาที่ที่ไม่มีคนโรงเรียนเหมือนเดินเลยเนาะ”
ทาเคโนะอุจิว่างั้นพร้อมกับมองไปรอบๆ บริเวณฐานทัพของผม ก่อนเดินตามผมมานั่งลงข้างๆ กันหลังกำแพงพุ่มไม้ อันเป็นจุดที่ร่มที่สุด
ผมนั่งมองเธอหยิบกล่องข้าวกลางวันออกมาช้าๆ ฟังเธอชมโซเฮย์ว่าเป็นคนอ่านบรรยากาศเก่ง แม้จะดูขี้อาย แต่ก็ตัดสินใจได้เด็ดขาดรวดเร็ว
ผมล่ะอยากจะบอกเธอเหลือกินว่าไอ้ที่เธอชมอยู่เนี่ย ไม่ได้เสี้ยวของตอนหมอนั่นทำงานหรอก แต่แล้วทาเคโนะอุจิก็เปลี่ยนเรื่อง
“กินข้าวกัน”
[‘???’]
คงเผลอทำหน้าตลกๆ ออกไป ทาเคโนะอุจิเลยหลุดขำ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
[‘ไหนว่ามีเรื่องจะคุย?’]
“กินไปคุยไปก็ได้จะได้ไม่เสียเวลา เราเหลือเวลาพักอีกไม่นานแล้วนะ”
[‘ยัยนี่ยังอ่านใจเก่งจนน่ากลัวแฮะ’]
หนึ่งในความสามารถของทาเคโนะอุจิคือการอ่านใจผมได้แทบจะทะลุปรุโปร่งแม้ผมจะทำหน้านิ่งแล้วก็ตาม
“แล้วฉันจะกินอะไรล่ะ โซเฮย์ยังไม่มาเลย”
“ก็กินด้วยกันไง”
“ห๊ะ!!”
“อ่ะ ฉันทำมาเผื่อ”
“??”
“ไม่ต้องทำหน้าระแวงเลย ฉันเสียใจเป็นนะ”
“เป็นใครก็ต้องระแวงมั้ย จู่ๆ มีคนทำข้าวกล่องมาให้เนี่ย”
“เมื่อก่อนฉันก็ทำมั้ย?”
“นั่นมันก็นานแล้วนะ แถมตอนนี้กับตอนนั้นก็ไม่เหมือนกันด้วย”
ทาเคโนะอุจิเงียบไป เธอวางกล่องข้าวใบหนึ่งตรงหน้า จากนั้นก็วางกล่องที่ใหญ่กว่าตรงหน้าผม
“งั้นก็ถือซะว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณก็แล้วกัน อามายะจังบอกว่าควรจะเลี้ยงขอบคุณเธอกับโฮตานิคุงดีๆ สักหน่อย”
[‘โอโตเมะว่างั้นเหรอ?’]
ผมลังเลว่าตัวเองควรจะรับของตอบแทนนี้มาดีหรือไม่ เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าข้าวกล่องตรงหน้านี้มันมีความหมายสำหรับทาเคโนะอุจิมากกว่าการเลี้ยงขอบคุณ
“ว่าแต่เธอมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน”
“กินไปคุยไปไม่ได้เหรอ?”
“เดี๋ยวฉันรอโซเฮย์ก่อนแล้วจะกิน”
“เธอทำฉันรู้สึกผิดนะเอส”
“เธอไม่ควรเรียกฉันด้วยชื่อเล่นแบบนั้นแล้วนะ มันจะสร้างความเข้าใจผิดให้พวกชอบคิดไปเองเอาได้”
“เธอคิดมากงั้นเหรอ?”
“เธอก็ควรจะคิดนะ เธอน่าจะรู้ตัวว่าตัวเองมีอิทธิพลต่อความคิดของคนอื่นมากขนาดไหน”
“เมื่อก่อนเธอเป็นคนสอนฉันเองนะว่าความคิดใครก็ไม่สำคัญเท่าความคิดเราน่ะ”
“ตอนนี้เราก็ต่างโตขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“นายไม่ชอบให้ฉันเรียกงั้นเหรอ?”
“ก็ไม่เชิง ฉันไม่ได้ไม่ชอบอะไรมันหรอก แต่คิดว่ามันน่าจะสร้างปัญหาให้เธอกับฉันได้ ดังนั้นเธอจึงไม่ควรใช้มัน”
“งั้นฉันจะใช้แค่ตอนอยู่กับนายสองคน”
“เรียกชื่อเฉยๆ ก็พอแล้วมั้ง ฉันคิดว่าถ้าแค่นั้นตัวเองยังจัดการปัญหาที่ตามมาได้”
“ฉันสร้างปัญหาให้นายตลอดเลย”
“ไม่เป็นไร อันที่จริงฉันก็ใช้ประโยชน์จากเธอเหมือนกัน”
“งั้นเหรอ…”
เมื่อเสียงพูดคุยเงียบไปก็รู้สึกคล้ายกับว่าที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่
ผมไม่ได้สังเกตทาเคโนะอุจิที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่รับรู้ได้จากหางตาว่าเธอกำลังก้มหน้ากินข้าวกล่องของตัวเองอยู่ นั่นทำให้ผมต้องหันมามองข้าวกล่องตรงหน้าตัวเอง
– “เอสสส… กินข้าวกัน วันนี้ฉันทำไก่ราดซอสกับไข่ม้วนมาด้วยนะ แบบหวานอย่างที่เธอชอบด้วย…” –
“เรื่องที่จะคุยวันนี้น่ะ…”
เสียงพูดจากเด็กสาวที่นั่งข้างๆ กันดึงสติผมกลับมาจากความทรงจำ ผมละสายตาจากกล่องข้าวไปมองเธอ แต่เธอไม่ได้มองมาที่ผม สายตาเหมือนเหม่อลอยมองตรงไปที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่ต้นไม้ตรงหน้า แก้มขาวเนียนนั้นพองและขยับเป็นจังหวะเล็กน้อยตามการเคี้ยวของเธอ
“เธอรู้เรื่องแล้วใช่มั้ย?”
ในที่สุดก็เหมือนจะเตรียมใจได้ หรือไม่ก็คงเพราะเห็นผมเงียบ ทาเคโนะอุจิจึงหันกลับมา
ดวงตาของเธอเป็นทรงสวยรับกับรูปหน้า ในเวลานี้มันดูหยาดเยิ้มแวววาวราวกับลูกแก้วเนื้อสวยที่ต้องแสงอาทิตย์
ผมมองเห็นความขลาดกลัวอยู่ในนั้น ขณะเดียวกันก็เห็นความดื้อรั้นแหละความหวังด้วย
รวมๆ แล้วเป็นดวงตาและแววตาที่งดงาม เพียงแต่ผมเคยเจอที่งดงามมากกว่านี้
“เรื่องของเรา…”
[‘เรื่องนี้เองเหรอ?’]
ผมคิดว่าเธอคงจะเดาอะไรหลายๆ อย่างได้จากสีหน้าท่าทาง ผมจึงเลือกจะเงียบและหลบสายตา
“โคโมเฮบิคุงบอกฉันแล้วว่าเธอไปถามเรื่องวันนั้นกับเขา…”
[‘เจ้านั่นเก็บความลับไม่เป็นเลยจริงๆ’]
“คนอื่นๆ ก็ด้วย พวกนั้นบอกว่าเธอไล่ถามทุกคนเกี่ยวกับเรื่องนี้”
[‘นี่เธอไปตามสืบมาได้กี่คนกัน?’]
“ฉันคิดว่าเธอคงจะพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว…”
ต่างฝ่ายต่างเงียบงันกันไปอีก ราวกับเวลาไหลช้าลง หรือไม่ผมก็เร่งสปีดสมองตัวเองให้ไว้ขึ้น ทุกเรื่องราว ทุกเหตุการณ์ ทุกคำบอกเล่า ทั้งหมดทั้งมวลนั้นปะติดปะต่อกันอยู่ในหัวผมออกมาเป็นข้อสรุปหนึ่งที่มีความเป็นไปได้สูงมาก แต่ผมก็ยังขบปัญหาหนึ่งไม่แตก
[‘คงทำได้แค่ถามเจ้าตัวละนะ…’]
ผมถอนหายใจเบาๆ เตรียมใจรับแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นได้ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้านี้
“ฉันคิดว่าตัวเองพอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว แต่ก็ยังมีจุดที่ไม่เข้าใจ…”
เว้นช่วงไปเล็กน้อยแล้วจึงหันไปสบตากับคนข้างๆ ตรงๆ หวังจะจับตาดูปฏิกิริยาที่แม้จะเล็กน้อยแต่อาจจะแสดงออกมาให้เห็นถึงเบาะแสอะไรบ้าง
“…ถ้าทั้งหมดเป็นแผนของหมอนั่น ทั้งเหตุจูงใจและการกระทำทั้งหมดก็เป็นอันลงล็อก แต่เธอ… ทำไมเธอถึงเล่นตามแผนของหมอนั่นกัน?”
[‘เรา… ต้องการคำตอบแบบไหนกัน?’]
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่พบว่าลึกๆ แล้วตัวเองในตอนนี้ยังคงแคร์คนตรงหน้าอยู่ ความรู้สึกนั้นมีมากพอที่จะปฏิเสธข้อสรุปดั้งเดิมของเรื่องราวที่ผมเคยเข้าใจมา และเหมือนกำลังจะพยายามหาข้อสรุปใหม่ที่ไม่ทำร้ายเธอ
“ฉันไม่รู้เรื่องที่หมอนั่นทำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นเป็นส่วนหนึ่งในแผนของหมอนั่น…”
[‘ไม่รู้จริงเหรอ?’]
“…ฉันอยากจะทำให้เธอตกใจจากนั้นก็เซอร์ไพรส์ด้วยการสารภาพรักกับเธออีกครั้ง”
“ทำไมเธอต้องทำแบบนั้น?”
“เพราะพวกนั้นไม่เชื่อว่านายจะไม่โกรธฉัน แม้ว่าฉันจะล้อเล่นแรงๆ แบบนั้นก็ตาม”
“เธอยังคบพวกบ้านั่นอยู่อีกเหรอ?”
“เลิกคบไปแล้ว”
“ดีแล้ว ฉันไม่ชอบพวกนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ”
“อืมมม… แต่ที่จริงมีอีกเหตุผลหนึ่งด้วย”
“อีกเหตุผล?”
“ก็ฉันน่ะ… ตลอดเวลาที่คบกันมา ฉันไม่เคยบอกเธอเลยว่าชอบเธอมากขนาดไหน เลยคิดวิธีแปลกๆ อย่างการบอกเลิกเธอคนเก่าแล้วสารภาพรักกับเธอในตอนปัจจุบัน…”
“วิธีนี้คิดเองหรือเปล่า?”
“เปล่า… พวกนั้น…”
“แล้วเธอก็เชื่อเหรอ? เธอรู้ใช่มั้ยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำ ทุกความทรงจำระหว่างเรา ทุกๆ เรื่องไม่ว่าดีหรือไม่ดี ฉันจะไม่มีวันลืมมัน ฉันเคยบอกเธอไปแล้วนิ”
“…” / “…”
เธอเงียบ ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ดูเหมือนเมื่อกี้ผมจะระเบิดอารมณ์ออกมานิดหน่อย ทำให้ตอนนี้ทาเคโนะอุจิหงอไปซะแล้ว
“ฉันขอโทษ…”
“ฉันผิดเอง ไม่ต้องขอโทษหรอก”
ดูเหมือนการพูดคุยของเราวันนี้จะมีช่วงเวลาเดดแอร์มากกว่าช่วงเวลาของการพูดคุยกันเสียอีก
“หมอนั่นรู้จักฉันดีเกินไป เลยใช้ข้อเสียในนิสัยของฉันมาสร้างความเข้าใจผิดระหว่างเรา ถ้าตอนนั้นฉันเชื่อใจเธอสักหน่อย เรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้”
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอนะเอส ฉันต่างหากที่ทำอะไรโง่ๆ แถมตอนนั้นยังมัวแต่เหนียมอายไม่พูดให้ชัดเจน จนสุดท้ายเรื่องราวก็บานปลาย…”
“พอมานั่งมองย้อนแบบนี้แล้วเราทั้งคู่นี่ก็ดูไม่ต่างจากคนโง่เลยเนาะ”
“ฉันขอโทษ…”
“ไม่ต้องหรอก จนป่านนี้แล้วฉันก็ไม่ได้โกรธอะไรเธอแล้ว เอาจริงๆ สองสามวันมานี้ฉันรู้สึกโกรธตัวเองซะด้วยซ้ำ เพราะงั้นไม่ต้องขอโทษกันแล้ว ผ่านไปแล้วก็ให้จบๆ กันไป”
“นายไม่โกรธฉันแล้วจริงๆ เหรอ?”
[‘โกรธเหรอ? จริงๆ แล้วฉันเคยโกรธเธอหรือเปล่านะ?’]
มาคิดๆ ดูแล้วก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าความรู้สึกเมื่อตอนนั้นมันคืออะไร แต่แน่ใจว่าตอนนี้ไม่ได้โกรธหรือเกลียดกัน
ความรู้สึกไม่ชอบก่อนหน้านี้ก็หายไปแล้วตั้งแต่ที่ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ถ้างั้นความรู้สึกที่มีตอนนี้คืออะไรล่ะ
เป็นความสับสนและซับซ้อนทางความรู้สึกซึ่งตัวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก ผมจึงเลือกจะวางมันไว้แล้วย้อนไปยังคำถามของเธอในตอนแรก
“ฉันไม่โกรธเธอหรอก แต่ถ้าจะให้อธิบายว่ารู้สึกยังไง ฉันเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก”
“แค่นั้นฉันก็ดีใจแล้ว”
รอยยิ้มกลับมาปรากฏบนริมฝีปากบางแต่อิ่มน้ำนั่นอีกครั้ง
ทาเคโนะอุจิคีบไก่ราดซอสเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ด้วยท่าทางน่าเอร็ดอร่อย ทำเอาผมรู้สึกหิวขึ้นมาเลย
“โซเฮย์ไปไหน ทำไมช้าจังนะ?”
“เธอก็กินข้าวที่ฉันทำมาให้ก่อนซิ”
“ไม่เป็นไร มันเป็นของตอบแทน รอโซเฮย์มาก่อนดีกว่า”
“บางทีเธอก็มีวิธีคิดแปลกๆ นะ”
“ปกติไม่ใช่หรือไง?”
“ใช่… คือว่านะเอส ที่จริงฉันมีเรื่องอื่นอยากจะคุยด้วยน่ะ”
ทาเคโนะอุจิวางกล่องข้าวที่กินไปได้กว่าครึ่งลง แล้วจึงหันมามองทางผมด้วยสีหน้าจริงจัง
“เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย? กลับมา…”
“เกรงว่าจะไม่ได้”
ทนเห็นใบหน้างดงามนั้นเม้มปากแน่นเหมือนจะร้องไห้ไม่ได้ ผมจึงเลือกเสมองไปทางอื่น
“ทำไม?”
“เธอจะเสียเวลาเปล่า”
“ให้ฉันลองดูก่อน เสียเวลาเปล่ามั้ยฉันจะเป็นคนตัดสินใจเอง”
“นิโนะมิยะบอกว่าตอนนั้นเธอเสียใจและร้องไห้หนักมาก ฉันไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนั้นอีก”
“งั้นเธอก็อย่าทำให้ฉันเสียใจสิ”
“น่ากลัวว่าฉันจะทำตรงกันข้าม”
“เธอจะทิ้งฉันงั้นเหรอ?”
“ฉันจะทำตามที่เธอคาดหวังไม่ได้หากต่าง”
“ทำไมล่ะ?”
“ฉันไม่ได้รู้สึกกับเธอเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
ทาเคโนะอุจิเงียบไปอีกแล้ว
ผมคิดว่าตัวเองทำถูกแล้วที่พูดออกไปแบบนั้น แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกผิดที่ไม่สามารถตอบรับความคาดหวังของเธอได้กัน
[‘ยังอาลัยอาวรณ์เธออยู่เหรอ?’]
ลองทบทวนตัวเองอีกครั้งเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วมั้งในช่วงสองสามวันมานี้ แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรต่อตัวตนที่เรียกว่าแฟนเก่าที่นั่งอยู่ข้างๆ นี้
หากเป็นก่อนหน้านี้ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ผมคงจะไม่มานั่งคุยกับเธอแบบนี้ แต่ตอนนี้เมื่อรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ผมกลับเห็นอกเห็นใจเธอไม่น้อยกว่าตัวเอง
“งั้นก็ทำให้เธอกลับไปรู้สึกอีกครั้งก็พอ”
“เอ๊ะ?!”
“ก็ในเมื่อตอนนี้เธอไม่ได้รู้สึกกับฉันเหมือนสมัยก่อน งั้นฉันก็แค่ทำให้เธอกลับมารู้สึกต่อกันอีกครั้งก็สิ้นเรื่อง”
“บอกว่าเธอจะเสียเวลาเปล่าไง”
“ก็บอกแล้วว่าฉันจะเป็นคนตัดสินใจเองว่ามันเสียเวลาหรือเปล่า”
“ดื้อจริงๆ เลยนะ”
“ฟุๆๆ งั้นก่อนอื่นเรามาคืนดีกันนะ”
ทาเคโนะอุจิหันมายิ้มตาหยี ยื่นนิ้วก้อยเรียวขาวราวกับทำมาจากหยกมาให้
“ในฐานะอะไร?”
“ตอนนี้เป็นเพื่อนกันไปก่อนก็ได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากกลับไปเป็นแฟนกันนะ ฟุๆๆ”
“ฉันไม่มีความคิดที่จะกลับไปหรอกนะ”
“เดี๋ยวฉันจะทำให้เธออยากกลับมาเอง”
“นิสัยไม่ยอมแพ้ของเธอเนี่ย บางทีก็ควรเพลาๆ ลงบ้างนะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะแข่งขันอย่างยุติธรรมแน่นอน”
“แข่งอะไร?”
“ก็…”
ตรึ๊ง…
คำตอบของทาเคโนะอุจิถูกรบกวนด้วยข้อความเข้าจากโซเฮย์ ผมอ่านข้อความแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าหมอนี่จะขออนุญาตเข้ามาทำไม
“หืออ?”
“ฟุๆๆ คืนดีกันแล้วนะ”
สัมผัสนุ่มที่นิ้วก้อยซ้าย และใบหน้ายิ้มแย้มของหญิงสาวตรงหน้า
มันควรจะเป็นฉากในฝันของเด็กผู้ชายทั้งโรงเรียนที่ชวนให้ใจเต้นตึกตัก แต่ตัวผมตอนนี้กลับสัมผัสได้แค่ความสับสนของตนเองเท่านั้น
MANGA DISCUSSION