– โอโตเมะ อามายะ –
เซริกับโฮตานิกำลังเผชิญหน้ากับอาคิยามะอยู่โดยมีเด็กผู้หญิงสองคนหลบอยู่หลังพวกเขา
ฉันไม่คิดว่าอาคิยามะจะเป็นผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิง แต่สภาพการณ์ ณ ตอนนี้ ร้อยทั้งร้อยที่เพิ่งมาเห็นย่อมคิดไปในทางเดียวกันแน่นอน
โชคดีที่ความคิดของฉันถูกต้อง อาคิยามะดูเหมือนไม่ได้มีความคิดที่จะเล่นงานผู้หญิงสองคนนั้น เขายืนอยู่ครู่เดียวจากนั้นก็เริ่มลงมือเก็บกวาดห้องเรียนที่เละเทะคนเดียวเงียบๆ
ในห้องเรียนเริ่มมีเสียงกระซิบกระซาบ ผสมปนเปกันไปกับเสียงลากโต๊ะและเก้าอี้
แต่ไม่มีเสียงใครขยับตัว ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว…
ฉันก้าวออกไปจากหลังเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่ง เขามองมาที่ฉันอย่างตื่นๆ เหมือนไม่คิดว่าจะมีคนกล้าขยับตัวออกไปจากตรงนั้น
ฉันเดินตรงเข้าไปหาอาคิยามะ ตั้งใจว่าคงต้องไปช่วยเขาเก็บกวาดก่อน จากนั้นค่อยถามไถ่ว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง แต่เดินไปยังไม่ทันครบสามก้าวก็ถูกขวางซะแล้ว
“หลบไป”
พูดออกไปแล้วก็ตกใจน้ำเสียงตัวเองเล็กน้อย ใช่แหละนะ ก็ตอนนี้ฉันน่ะอารมณ์ไม่ดีสุดๆ ไปเลย
“มันไม่เป็นผลดีหรอกนะ ทั้งกับเธอ ทั้งกับทาเคโนะอุจิ…”
“ฉันบอกให้นายหลบไป!!”
เด็กชายตรงหน้าหน้าเสียเล็กน้อยแต่เขาก็ยังไม่หลบ ฉันคิดขณะเดินอ้อมผ่านเขาว่าหลังจากนี้คงได้โดยแฟนคลับเขาเกลียดขี้หน้าขึ้นอีกถมแน่ๆ
ฉันพยักหน้าให้กับเซริที่มองมาเล็กน้อยแล้วจึงเข้าไปช่วยยกโต๊ะ ยกเก้าอี้ที่ล้มอยู่และจัดมันให้เข้าที่เข้าทาง เก็บกระดาษ หนังสือเรียน และสิ่งที่ตกเกลื่อนกลาดบนพื้นไปวางไว้ในที่ที่มันเคยอยู่ ใช้เวลาไม่นานนักห้องเรียนก็กลับมามีสภาพเหมือนตอนก่อนที่ฉันจะออกไปซื้อน้ำ
อาคิยามะเดินกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง เขาดูเหนื่อยและหอบหายใจแรง แต่ยังคงไม่พูดอะไรแม้ว่าฉันจะเข้ามานั่งข้างๆ แล้วก็ตาม
…แต่เขาก็ไม่ได้ละเลยฉัน เรานั่งมองหน้ากันเงียบๆ
เหมือนอาการป่วยของเขาจะแย่ลง ฉันสัมผัสได้ถึงความร้อนจากลมหายใจของเขาแม้เราจะอยู่ห่างกันขนาดนี้ สายตาของเขาเริ่มว่างเปล่าแม้ว่าจะกำลังมองฉันอยู่
“นายไหวมั้ย?”
ฉันส่งขวดน้ำชาที่เขาวานให้ฉันไปซื้อมาให้เขา อาคิยามะมองมันเล็กน้อยก่อนจะรับขวดชานั้นไป
เขาไม่ได้ดื่ม…
อาคิยามะยังคงหายใจแรงแต่ไม่ถึงกับหอบแล้ว เขาเงยหน้ามองฉัน ปากขยับเล็กน้อยปล่อยเสียงที่ติดสั่นและแหบแห้งออกมา
“ไม่ไหว… หายใจจะไม่ทัน…”
ฉันล่ะอยากจะใช้ภาษาไทยที่เขาภูมิใจหนักหนาสวนไปแรงๆ ว่าใครใช้ให้นายไปออกกำลังกายหนักแบบนั้นกัน แต่คิดแล้วคงไม่ใช่จังหวะที่ดี เลยเปลี่ยนไปใช้ภาษากายแทน
อาคิยามะสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากที่ฉันแตะหน้าผากของเขาไปแล้ว ดูท่าไข้คงทำให้เขาตอบสนองช้าลง
“ร้อนจี๋เลย…”
มันร้อนจนฉันรู้สึกตกใจ ไข้เขาน่าจะสูงมาก สูงขนาดที่ว่าไม่น่าจะลุกไปไหนมาไหนได้ แล้วเขาเอาแรงที่ไหนไปทำเรื่องน่ากลัวอย่างการชกต่อยกับคน 6 คน พร้อมกัน
“มันเลอะเหงื่อ…”
[‘นี่นายคิดอะไรอยู่ในหัวกันนะ’]
เผลอหลุดขำออกมาเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วมือปัดป่ายเส้นผมที่บังหน้าบังตาของอาคิยามะออก
[‘ยาวขึ้นมากเลยนะเนี่ย…’]
อาคิยามะนั่งมองฉันนิ่ง ปล่อยให้ฉันทำตามใจราวกับกลายเป็นตุ๊กตาตัวยักษ์ที่ฉันสามารถจัดการอะไรกับเขาก็ได้
“ร้อนมั้ย?”
“อืออ… ร้อนมาก…”
“รวบผมหน่อยมั้ย? จะได้เย็นขึ้น”
“ฉันไม่มียาง…”
“ไม่เป็นไร…”
ฉันจับศีรษะของอาคิยามะไว้ไม่ให้ขยับในขณะที่ตัวเองยืนอยู่ตรงหน้าเขา ความต่างด้านความสูงของเราแสดงให้เห็นชัดอีกครั้งหนึ่งเมื่อคิดว่าฉันที่ยืนขึ้นแล้วสูงกว่าอาคิยามะแค่ประมาณฟุตเดียวเท่านั้น เอาให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือตอนนี้หัวของอาคิยามะยังอยู่สูงขึ้นมาถึงหน้าอกของฉันแม้ว่าเขาจะยังนั่งอยู่
[‘สูงขึ้นอีกหรือเปล่าเนี่ย?’]
ฉันล้วงเอายางมัดผมออกมาจากกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็ทำการรวบผมที่เปียกชื้นเล็กน้อยของอาคิยามะขึ้นมา
“อยู่นิ่งๆ ซิ”
“เดี๋ยว… มันเลอะ…”
“ฉันกลับไปอาบน้ำได้น่า”
แม้จะขัดขืนเล็กน้อยในตอนแรก แต่พอโดนดุก็ทำตัวสงบลง เขาก้มหัวเล็กน้อยพิงกับหน้าท้องของฉัน ปล่อยให้ฉันมัดผมของเขาไป
“ตัวเธอหอมจัง…”
“พูดแบบนั้นมันคุกคามทางเพศนะ”
“ขอโทษ…”
“ฉันไม่ได้รังเกียจหรอก แต่อย่าไปพูดกับคนอื่นเชียว”
“ก็พูดกับเธอ… คนเดียวแหละ…”
“งั้นเหรอ…”
“อืมม…”
“เรียบร้อย ดีขึ้นมั้ย?”
“อืออ… เหมือนจะดีขึ้น…”
อาคิยามะส่ายหน้าแล้วโยกหัวไปมาช้าๆ เหมือนเด็กเล็กเพิ่งตื่นนอน เป็นโหมดน่ารักโหมดใหม่ที่ฉันเพิ่งจะเคยเห็น
ผมยาวที่เคยปิดหน้าปิดตาถูกรวบตึงไปไว้เป็นจุกข้างหลัง ทำให้ใบหน้ากว่าครึ่งที่เคยถูกซ่อนไว้เปิดเผยออกมา แม้ว่าดูซีดเซียวไปบ้าง แต่ก็แค่ทำให้ความดุดันบนใบหน้าลดลงไปเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ความคมเข้มของเขาหายไปแต่อย่างใด กลับกัน… การที่เขาไว้ทรงผมแบบนี้กลับทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ดูเหมือนเด็กมหาวิทยาลัยมากกว่าจะเป็นเด็ก ม.ปลาย
[‘เพราะแบบนี้ซินะพวกเมกุมิถึงได้บอกว่าห้ามให้นายมัดผมต่อหน้าผู้หญิงคนอื่นน่ะ’]
“แล้วจะเอาไงกับพวกนี้ดี… อ้าว ไปไหนแล้ว?”
อาคิยามะหันซ้ายหันขวาคงจะมองหาคู่กรณีที่ตอนนี้หายไปไหนกันหมดแล้วก็ไม่รู้ คนที่มุงดูก็เริ่มน้อยลงแล้วเช่นกัน
ฉันหันถามทางเซริ เมกุมิ และอาโอะจังที่เข้ามานั่งอยู่ไม่ไกล แต่แปลกใจนิดหน่อยตรงที่ข้างเซริมีโฮตานิที่กำลังจับแขนเธอไว้นั่งอยู่ด้วย
“เธอเห็นทุกอย่างตั้งแต่เริ่มใช่มั้ยเซริ?”
“อืมม… ก็ไม่ได้ยินที่พูดกันทั้งหมดหรอก แต่เห็นตั้งแต่ที่อาคิยามะเริ่มโดนหาเรื่องนั่นแหละ”
“งั้นเหรอ… งั้นคนอื่นๆ ในห้องล่ะ?”
ฉันหันไปหานักเรียนคนอื่นๆ ในห้องที่ตอนนี้กำลังจับกลุ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น
เสียงที่ค่อนข้างดังและออกจะแข็งเล็กน้อยส่งผลให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ฉันพูดต่อโดยไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ แค่พูดให้ดังพอที่คนทั้งห้องน่าจะได้ยิน
“ฉันเชื่อว่าห้องเราทุกคนเป็นคนดีและพวกเขาจะพูดตามความเป็นจริง คงไม่มีใครบ้าพอจะพูดเรื่องโกหกให้คนอื่นๆ มาว่าทีหลังหรอก”
สิ้นเสียงฉันทั้งห้องยังคงเงียบต่อไปอีกพักหนึ่งแต่ฉันไม่สนใจแล้วหันกลับมาตอบคำถามของอาคิยามะ
“เดี๋ยวอาจารย์ก็มาจัดการเอง จะว่าไปครั้งนี้ทำไมมาช้านักนะ นายไปพักที่ห้องพยาบาลก่อนไม่ดีกว่าเหรอ?”
“ไม่เป็นไร… หรอก รออาจารย์มาก่อน… ดีกว่า”
“งั้นหรอ งั้น…”
“หลบไปๆ เจ้าพวกเด็กเหลือขอ!! ว่างกันนักทำไมไม่ไปดูหนังสือหนังหากันห๊ะ!!”
พูดถึงยักษ์ ยักษ์ก็มา แถมมาพร้อมอารมณ์โกรธเกรี้ยวเสียด้วย
อาคิยามะถูกพาตัวไปโดยไม่มีการไต่สวน เขาเดินตามอาจารย์ฝ่ายปกครองออกไปด้วยท่าทางแบบคนหมดแรง
เมื่อผู้ก่อเหตุไม่อยู่ในที่เกิดเหตุแล้ว บรรดาญี่ปุ่นมุงก็สลายตัวไป แต่เสียงพูดคุยเรื่องที่เพิ่งจบไปกลับดังระเบิดขึ้นมาแทน
มีทั้งฝ่ายที่ชื่นชมว่าอาคิยามะเก่งกาจและกล้าต่อต้านพวกนักเรียนเกเร และฝ่ายที่บอกว่าเขานั่นแหละนักเรียนเกเรตัวจริงเสียงจริง
นอกจากนี้ยังมีคนเชื่อมโยงเขาเข้ากับข่าวลือนักเรียนใหม่ที่เป็นขาใหญ่จากโรงเรียนนักเลงเมื่อก่อนหน้านี้ แล้วก็มีเสียงเล่าลือหนึ่งที่ฉันไม่ชอบมากที่สุดซึ่งดังมาจากกลุ่มนักเรียนหญิงบางคนที่บอกว่า
“พอมัดผมแล้วหล่อเลยไม่ใช่หรือไง…”
เหมือนเซริจะรู้ว่าฉันไม่พอใจอะไร เธอตบไหล่ฉันเบาๆ เหมือนจะปลอบใจ ส่วนเมกุมิกับอาโอะก็พูดเหมือนจะซ้ำเติมกันว่า
“ฉันบอกเธอแล้ว”
คาบบ่าย… เพื่อนในห้องบางคนที่ไม่ใช่ผู้ก่อเหตุถูกอาจารย์เรียกไปห้องพักครู
คนแรกที่โดนเรียกคือโฮตานิ ต่อมาเป็นเซริ และเพื่อนๆ อีกห้าหกคน
ทุกคนใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็กลับมา รวมๆ แล้วใช้เวลาทั้งหมดไปราวๆ 2 คาบเรียน ทุกคนจึงกลับมานั่งเรียนกันตามปกติ ยกเว้นคนเดียวที่ไม่ได้กลับมา
อาคิยามะ เออิชิ… หายไปตลอดทั้งบ่าย และติดต่อไม่ได้จนกระทั่งฉันเสร็จงานแล้วกำลังจะกลับบ้าน
—
– อาคิยามะ เออิชิ –
มือเล็กๆ สีขาวยื่นน้ำชาที่วานให้ไปซื้อมาให้ ผมมองมันด้วยอาการสับสนเล็กน้อยแล้วจึงรู้ตัวว่าต้องรับขวดน้ำนั้นมาก่อน
[‘ชาร้อนเหรอ?’]
เหมือนสมองที่เบลอๆ ของผมจะเบลอหนักขึ้นไปอีกหลังจากใช้แรงไปขนาดนั้น หรือไม่บางทีอะดรีนาลีนอาจจะเผาสมองของผมละลายไปบางส่วน
“นายไหวมั้ย?”
เหมือนเป็นเสียงที่ลอยมาจากที่ไกลๆ ทั้งที่ต้นกำเนิดเสียงนั่งใกล้ๆ ผมแค่นี้
[‘หูอื้อด้วยแฮะ’]
ผมคิดจะตอบเธอว่าไม่เป็นไร แต่พอมองเธอแล้วก็รู้สึกว่าไม่โกหกน่าจะดีกว่า
“ไม่ไหว… หายใจจะไม่ทัน…”
แทนที่เธอจะตอบอะไรกลับมา โอโตเมะกลับยื่นมือออกมาแทน ผมเห็นนะว่าเธอกำลังจะทำอะไร ในใจก็คิดนะว่าแบบนี้เธอจะเลอะเหงื่อของผม แต่ผมก็ยังนั่งนิ่งให้เธอเอามือมาแตะหน้าผาก
[‘โอ๊ะ… มือเย็นดีจัง’]
ในขณะที่ผมกำลังสบายเพราะมือเย็นๆ ของเธอ โอโตเมะกลับหน้ามุ่ยบ่นอะไรสักอย่างแต่ผมไม่สนใจเท่าไร ความคิดหมุนวนไปกังวลเรื่องเหงื่อของตัวเองอีกรอบ
“มันเลอะเหงื่อ…”
ไม่รู้ว่าคำพูดผมมันตลกตรงไหนแต่มันสามารถเรียกยิ้มของโอโตเมะได้ เธอปัดๆ เส้นผมที่ปรกหน้าแนบลีบไปกับหน้าผากเพราะเหงื่อออกออกไป
[‘นิ้วก็เย็นแฮะ นี่เธอก็ป่วยเหรอ?’]
“ร้อนมั้ย?”
[‘หมายถึงตัวฉันเหรอ?’]
กำลังเย็นสบายเพราะสัมผัสจากมือเธอผมเลยสับสนนิดหน่อยแต่ก็แค่แปบเดียวเท่านั้น
ผมตอบโอโตเมะไปตามความรู้สึกของตนเองแล้วเธอก็เสนอให้ผมมัดผมของตัวเองซะมันจะได้เย็นขึ้น
[‘ก็น่าจะดีนะ’]
ผมคิดงั้น แต่ว่าไม่มีอุปกรณ์สำคัญอย่างยางมัดผม พอบอกโอโตเมะไปเธอกลับบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มรวบเส้นผมของผมเข้าด้วยกัน
มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างตกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้รังเกียจ อันที่จริงผมรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมากเลยต่างหาก
“อยู่นิ่งๆ ซิ”
เธอดุผมที่พยายามดึงหัวตัวเองออกห่างจากตัวเธอเพราะกลัวว่าจะไปทำชุดของเธอเลอะ แถมยังบอกด้วยว่าเดี๋ยวตัวเองกลับไปอาบน้ำได้ อืมมม… คุ้นๆ ว่าเคยได้ยินแบบนี้มาก่อน
เมื่อขัดขืนไม่ได้ ผมเลยปล่อยให้โอโตเมะทำตามใจชอบ ผมเองก็พิงตัวเธอแล้วรับรู้สัมผัสนุ่มนวลเย็นสบายบนศีรษะ
“ตัวเธอหอมจัง…”
พอผ่อนคลายก็เผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ได้ยินเสียงคิกที่มาพร้อมแรงกระเพื่อมที่หน้าผาก ผมคิดว่าเธอคงจะผลักหัวผมออกแล้ว แต่เธอยังคงรวบเส้นผมของผมต่อไป
“พูดแบบนั้นมันคุกคามทางเพศนะ”
[‘เสียงฟังแล้วเหมือนกำลังกัดฟันพูดเลย…’]
“ขอโทษ…”
“ฉันไม่ได้รังเกียจหรอก แต่อย่าไปพูดกับคนอื่นเชียว”
[‘อ้าว ไม่ได้กัดฟันแฮะ อมอะไรไว้ในปาก?’]
“ก็พูดกับเธอ… คนเดียวแหละ…”
“งั้นเหรอ…”
“อืมม…”
“เรียบร้อย ดีขึ้นมั้ย?”
“อืออ… เหมือนจะดีขึ้น…”
รู้สึกเหมือนหน้าจะรับลมเย็นได้มากกว่าปกติ ผมลองส่ายหน้าไปมาเพื่อลองรับลมจากทิศทางต่างๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านี่ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะมาผ่อนคลาย
พอมองซ้ายมองขวาแต่กลับหาคู่กรณีไม่เจอสักคนผมก็เริ่มร้อนใจ ครั้นจะตัดสินใจเองก็กลัวผิดพลาดเพราะยังไม่ได้อ่านกฎระเบียบในหนังสือคู่มือเลยสักข้อ
โชคดีที่มีโอโตเมะอยู่ตรงนั้น เธอบอกผมว่าเดี๋ยวอาจารย์คงเข้ามาจัดการเอง แถมยังขู่เพื่อนๆ ในห้องอ้อมๆ ด้วยว่าให้พูดความจริงหากถูกถาม ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ผมรู้สึกแปลกใหม่มาก
ผมนึกภาพโอโตเมะที่เป็นผู้นำหรือจอมบงการไม่ออก ภาพจำของเธอคือเด็กสาวน่ารักสดใสที่บางทีก็ตามความคิดคนอื่นไม่ทัน มีความใสซื่อและไร้เดียงสา
แต่สิ่งที่เธอเพิ่งแสดงออกมาทั้งคำพูดและน้ำเสียง เป็นสิ่งที่ห่างไกลจากคำว่าไร้เดียงสาไปค่อนข้างไกล มันฟังดูเอาแต่ใจจนเหมือนบังคับ แต่กลับไม่มีใครในห้องที่โต้เถียงกลับมาตรงๆ
แปลกไป… เปลี่ยนไป… จนผมสงสัยว่าช่วงที่ไม่เจอกัน…
[‘เธอไปทำอะไรมา…’]
MANGA DISCUSSION