บทที่ 169 สุนัข
ทั้งสองเร่งฝีเท้ากลับบ้าน หลี่เยว่หานรีบเข้าไปในห้องของจินเสวี่ยเอ๋อร์โดยไม่พูดอะไรสักคำ ก่อนจะเห็นว่ามันเป็นระเบียบเรียบร้อย และไม่มีอะไรหายไป
ตอนนี้เมิ่งฉีฮ่วนออกมาจากห้องของตนแล้วพูดว่า “สิ่งของในห้องของข้าวางผิดที่ไปหมด แม้กระทั่งผ้าห่มก็ถูกแยกออกจากกัน”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็ผลักเมิ่งฉีฮ่วนออกไปแล้วรีบเข้าไปในห้องของเขา เมื่อเปิดลิ้นชัก หญิงสาวก็เห็นว่าลัญจกรหยกปลอมยังคงวางอยู่ในลิ้นชักโดยไม่มีร่องรอยการเคลื่อนไหวใด ๆ
“นางคงไม่พบลัญจกรหยกในห้องของท่าน นางจึงลักพาตัวหลิงซีไป และต้องการให้ท่านแลกเปลี่ยนลัญจกรหยกกับเด็ก!” หลี่เยว่หานคว้ามือเมิ่งฉีฮ่วนอย่างร้อนใจ “ข้าควรจะทำอย่างไรดี! หลิงซีจะมีอันตรายหรือไม่!”
“เรารู้จุดประสงค์ของนางแล้ว ตอนนี้หลิงซีคงยังไม่มีอันตรายใด ๆ” เมิ่งฉีฮ่วนกล่าวโดยคีบกระดาษไว้ระหว่างนิ้วของเขา “ข้าจะไปที่หมู่บ้านเพื่อดูว่ามีใครเห็นจินเสวี่ยเอ๋อร์กับหลิงซีหรือไม่ ส่วนเจ้ารอข่าวอยู่ที่บ้าน”
“ข้าจะไปกับท่านด้วย!” หลี่เยว่หานจับแขนเมิ่งฉีฮ่วนกลับ
เมิ่งฉีฮ่วนหยุด ก่อนจะปลอบใจหลี่เยว่หาน โดยพูดว่า “เด็กดี รออยู่ที่บ้านเถอะ ถ้านางให้คนมาส่งข้อความ เจ้าก็จดไว้ให้เร็วที่สุด”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็รู้สึกว่าเมิ่งฉีฮ่วนพูดถูก ดังนั้นเธอจึงไม่ยืนกรานอีกต่อไป
เมื่อเห็นเมิ่งฉีฮ่วนออกไปแล้ว หญิงสาวก็เดินไปรอบ ๆ ลานอย่างกังวลใจ
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนและเวลาอาหาร ทุกคนในหมู่บ้านจึงพากันกลับบ้าน ด้านนอกมีเสียงดังจอแจจากการพูดคุย
เมื่อมู่ชวนเข้าประตูมา เขาก็บังเอิญเห็นท่าทางกังวลของหลี่เยว่หาน จึงอดที่จะขมวดคิ้วและถามไม่ได้ว่า “อาหญิง เกิดอะไรขึ้นขอรับ?”
หลังจากได้ยินเสียงของเขา หลี่เยว่หานก็กลับมามีสติอีกครั้ง
ปกติแล้วมู่ชวนรักหลิงซีมากที่สุด ถ้ารู้ว่าเด็กหญิงหายไป ไม่รู้ว่าต่อไปเขาจะทำอย่างไร
หลี่เยว่หานพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุด “ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดว่าทำไมวันนี้อาเมิ่งของเจ้าถึงยังไม่กลับมา”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ มู่ฉวนก็เอียงศีรษะด้วยความสับสน “ข้าเพิ่งเจออาเมิ่งระหว่างทางกลับ เขาก็ดูกังวลเช่นกัน ข้าถามแล้วเขาก็บอกว่าหาท่านไม่เจอ เกิดอะไรขึ้นกับพวกท่านสองคน??”
หลี่เยว่หานสะดุ้ง เธอไม่คิดว่ามู่ชวนจะพบเมิ่งฉีฮ่วนระหว่างทางกลับ ตอนนี้ตนไม่รู้จะตอบอย่างไรแล้ว
“มีอะไรเกิดขึ้นกับหลิงซีหรือเปล่าขอรับ?” มู่ชวนสังเกตและเห็นว่าความวิตกกังวลของหลี่เยว่หานดูเหมือนจะไม่ได้เสแสร้ง
“…ใช่” หลี่เยว่หานพยักหน้าอย่างจนใจ “แต่อย่ากังวลไป ท่านอาเจ้ากับข้าจะพานางกลับมาให้เร็วที่สุด”
พอได้ยินประโยคนี้ มู่ชวนก็วางย่ามใส่ตำราของเขาลงอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะหยิบนกหวีดที่มีเอกลักษณ์ออกมาแล้วเป่าอยู่ครู่หนึ่ง
หลี่เยว่หานไม่รู้ว่ามู่ชวนกำลังทำอะไรอยู่ แต่เธอกังวลมากจนไม่มีเวลาสนใจว่าเด็กชายคิดจะทำอะไร
ไม่นานหลังจากมู่ชวนเป่านกหวีดก็มีเสียงดังขึ้นนอกประตู ราวกับว่าคนข้างนอกกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้น สุนัขที่มักจะเดินเล่นรอบ ๆ หมู่บ้านก็รวมตัวกันที่ลานบ้านเมิ่ง
ในหมู่บ้านมีคนเลี้ยงสุนัขกันเป็นจำนวนมาก ทุกคนต่างเลี้ยงสุนัขเฝ้ายามเพื่อป้องกันขโมย ทำให้พวกมันมีมากกว่าหนึ่งโหล
เมื่อหลี่เยว่หานเห็นสุนัขจำนวนมาก จิตใจของเธอก็บ้าคลั่ง หญิงสาวไม่พูดอะไร แต่เอาตัวขวางหน้ามู่ชวนไว้แล้วพูดว่า “มู่ชวน เจ้าไปที่ลานด้านใน อาหญิงจะไล่สุนัขเหล่านี้ออกไปก่อน”
แต่มู่ชวนกลับเดินออกมาจากด้านหลังหลี่เยว่หาน ในมือของเขาถืออะไรบางอย่างไว้ ภายใต้การจ้องมองอย่างประหม่าของหญิงสาว เด็กชายเดินมาข้าง ๆ สุนัขนำทางตัวใหญ่ที่สุดและวางสิ่งของไว้ใต้จมูกมัน
สุนัขนำทางดมและเงยหน้าขึ้นมองมู่ชวน
จากนั้นสุนัขตัวอื่น ๆ ก็เข้ามาดมมือของเด็กชาย
“ไปหามัน!” มู่ชวนสั่ง พวกสุนัขที่นำโดยสุนัขนำทางออกจากประตูบ้านเมิ่งไปอย่างเป็นระเบียบ และวิ่งไปทั่วทุกทิศทาง
เมื่อเห็นฉากนี้ หลี่เยว่หานก็ตกใจ “มู่ชวน นี่ นี่”
หลี่เยว่หานเห็นว่าสิ่งที่มู่ชวนถืออยู่ในมือคือถุงหอมที่ทำจากเครื่องเทศที่ตนทำฆ่าเวลาเมื่อคราวก่อน ตอนนั้นหญิงสาวต้องนอนอยู่บนเตียงและซ่อนตัวอยู่ที่บ้าน เพื่อหาอะไรให้เธอทำฆ่าเวลา เมิ่งฉีฮ่วนจึงซื้อสมุนพรหอมจำนวนมากจากอำเภอและขอให้เธอช่วยทำถุงหอม
เธอเติมผงเครื่องเทศทั้งห้าลงในวัตถุดิบทำถุงหอมที่เมิ่งฉีฮ่วนซื้อมา เมื่อมันเปื้อนกลิ่นแล้วก็ก็ยากที่จะล้างออก เพราะใส่ผงเครื่องเทศทั้งห้าไม่มาก ปกติแล้วจึงไม่ได้กลิ่นกัน
แต่สุนัขมีจมูกที่อ่อนไหว พวกมันสามารถแยกแยะกลิ่นเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
“ก่อนที่อาหญิงจะมา ข้ากังวลว่าหลิงซีจะหลงทาง จึงจงใจทำความคุ้นเคยกับสุนัขในแต่ละบ้าน พวกมันจะตามกลิ่นของถุงหอมเพื่อไปหาหลิงซีขอรับ” มู่ฉวนพูดอย่างสงบและเก็บนกหวีดสุนัขลง
ภาพตรงหน้าชวนทำให้หลี่เยว่หานประหลาดใจมากจนไม่รู้จะพูดอะไรไปพักหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน เมิ่งฉีฮ่วนก็กลับมาพร้อมจับตัวจินเสวี่ยเอ๋อร์ไว้ และอุ้มหลิงซีที่กำลังหลับไว้ในอ้อมแขนของเขา
ด้านหลังของชายหนุ่มก็มีฝูงสุนัขตามกลับมาด้วยเช่นกัน
มู่ชวนเอาเนื้อแห้งให้พวกสุนัขกิน พวกมันรีบพุ่งเข้ามาคาบอาหาร ก่อนจะแยกย้ายไป
ตอนนี้จินเสวี่ยเอ๋อร์ที่ถูกโยนลงบนพื้นเริ่มขยับตัว
นางเพิ่งวิ่งไปถึงสถานที่ซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านไป๋อวิ๋นมากนัก แต่ไม่นานก็ถูกเมิ่งฉีฮ่วนไล่ตามมาก่อนที่จะได้ติดต่อกับคนมารับ หญิงสาวต้องการจะวิ่งหนี แต่สุนัขหลายสิบตัวที่ติดตามชายหนุ่มมาก็เข้ามาขวางทางไว้ ทำนางตกใจมากจนขาพลิก
ดังนั้นอย่าพูดถึงการวิ่งเลย กระทั่งเดินก็ยังยาก!
“ทำไมเจ้าถึงลักพาตัวหลิงซี!” แม้หลี่เยว่หานจะโกรธมาก แต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรจินเสวี่ยเอ๋อร์ กลับไปสังเกตดูหลิงซีก่อน เมื่อแน่ใจว่านางเพียงแค่หลับไป จึงหันมาตั้งคำถามกับอีกฝ่าย
มือของจินเสวี่ยเอ๋อร์ถูกเมิ่งฉีฮ่วนมัดเอาไว้ด้านหลัง ดังนั้นจึงไม่สามารถขยับได้ นางทำได้เพียงดิ้นรนและนั่งบนพื้น ฝนดอกหลี*[1] โปรยบนใบหน้าของนาง “ข้าถูกกล่าวหา ข้าจะลักพาตัวหลิงซีไปได้อย่างไร! หลิงซีกลับมาเอาน้ำ พอได้น้ำแล้ว นางบอกว่าอยากให้ข้าไปส่ง ดังนั้นข้าจึงตามนางไป แต่พอเดินอยู่ดี ๆ ก็หลงทาง!”
“ทำไมหลิงซีถึงง่วงขนาดนี้?” หลี่เยว่หานกัดฟันด้วยความโกรธ ตอนนี้มีคนจำนวนมากเฝ้าดูความตื่นเต้นอยู่นอกประตู เมื่อเมิ่งฉีฮ่วนกลับมาพร้อมกับจินเสวี่ยเอ๋อร์ ชายหนุ่มไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำให้ผู้คนพบเห็น
“เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึที่เด็ก ๆ จะเหนื่อยหลังจากเดินทางไกล?” จินเสวี่ยเอ๋อร์ร้องไห้และพูดว่า “น้องสะใภ้ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบข้า แต่เจ้าไม่สามารถใส่ร้ายข้าได้ ข้า… ข้ายังคงเป็นแม่เล็กของพวกเด็ก ๆ นะ!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลี่เยว่หานก็โกรธมากจนอยากจะตบนาง แต่ถูกมู่ชวนหยุดไว้
“แม่เล็ก ไปซะเถอะ” มู่ชวนพูดอย่างเย็นชา “แม้ในอดีตเจ้าจะเป็นอนุของพ่อข้า แต่ครอบครัวของเราไม่มีอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้พวกเราพี่ชายน้องสาวต่างก็ถูกเลี้ยงดูโดยอาเมิ่ง จึงไม่เหมาะที่จะสนับสนุนผู้อื่น ตั้งแต่เจ้ามา หลิงซีก็ประสบอุบัติเหตุครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับพวกเรามันยากจริง ๆ ที่จะไม่สงสัยเจ้า”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลี่เยว่หานก็ทำหน้าบึ้ง
สุดท้ายมู่ชวนก็ยังเด็ก คำพูดจึงยังปรานี ถ้าหลี่เยว่หานเป็นคนพูดคำเหล่านี้ เธอคงจะด่าจินเสวี่ยเอ๋อร์จนอีกฝ่ายไม่สามารถผายลมออกมาได้อีกแน่!
[1] ฝนดอกหลี มาจากสำนวน ดอกหลีต้องฝน หมายถึง คนที่แม้จะร้องไห้ออกมาก็ยังคงงดงาม
MANGA DISCUSSION