ตอนที่ 61 เจ้าฝันไปเถอะ
ช่างไม้หลิวยังเสริมว่า แบบร่างนี้เป็นของฉินเหยา หากจะสร้างใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนาง เขาจะไม่ทำให้
ด้วยเหตุนี้ แม้แต่หลิวต้าฝูก็ยังล้มเลิกความตั้งใจ เพราะการเช่าเครื่องโม่ของฉินเหยาดูจะคุ้มค่ากว่า
ฉินเหยาสบตากับช่างไม้หลิวอย่างลับๆ ทั้งสองตกลงกันว่า หลังจากนี้บ้านของเขาจะได้ใช้เครื่องโม่ฟรี
ผู้คนที่มุงดูความคึกคักจนพอใจแล้วก็เริ่มทยอยกลับ
สุดท้ายเหลือเพียงคนจากตระกูลหลิวที่ยังอยู่ข้างๆ เครื่องโม่
เมื่อครู่คนเยอะเกินไป นางชิวที่เพิ่งตั้งครรภ์กลัวจะถูกชนจึงไม่กล้าเข้าใกล้ ส่วนนางจางและนางเหอก็โดนเบียดจนออกไปยืนด้านนอก
ตอนนี้แม่สามีกับลูกสะใภ้ทั้งสามคนจึงมีโอกาสได้ดูเครื่องโม่ของฉินเหยาใกล้ๆ เมื่อเห็นหินโม่หมุน “ฟู่ว ฟู่ว” ได้เองก็รู้สึกพอใจมาก
แต่เมื่อได้ยินจากปากช่างไม้หลิวว่าเครื่องโม่นี้มีต้นทุนถึงสองตำลึงเงิน พวกนางก็อดคิดไม่ได้ว่ามันสิ้นเปลือง
“เครื่องโม่นี้ดีจริงๆ แต่พอคิดว่าต้องใช้เงินสองตำลึง…เฮ้อ…น้องสะใภ้ เจ้านี่ช่างกล้าจริงๆ” นางเหอพูดพลางมองเครื่องโม่ที่หมุนอยู่
นางเหอมองกังหันน้ำที่หมุนติ้วด้วยความเสียดาย พอคิดว่านี่สองตำลึงเชียวนะ คิ้วของนางก็ขมวดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หลิวเหล่าฮั่นมองฉินเหยาที่กำลังเอาหินไปอุดปิดน้ำด้วยความสงสัย “สะใภ้สาม เจ้าคิดประดิษฐ์เครื่องโม่นี้ขึ้นมาได้อย่างไรหรือ”
แค่ที่ดินสองหมู่ของนางกับเจ้าสาม ข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวมาอาจยังไม่พอสำหรับโม่ในเครื่องโม่นี้รอบหนึ่งด้วยซ้ำ
ในมุมมองของหลิวเหล่าฮั่นก็เหมือนกับการใช้มีดฆ่าวัวมาเชือดไก่นั่นแหละ ช่างสิ้นเปลืองโดยแท้
ฉินเหยาปิดทางน้ำในร่องแม่น้ำ กระแสน้ำจึงค่อยๆ ลดลง หินโม่ที่หมุนอยู่ก็ชะลอจนหยุดนิ่ง
นางอธิบายว่า “เครื่องโม่นี้ข้าสร้างไว้หาเลี้ยงชีพ และจะได้ช่วยให้คนในครอบครัวทำงานเบาลงด้วย”
“คนในครอบครัว?” นางเหอลองถามหยั่งเชิง “หากคนในตระกูลเราใช้ล่ะ น้องสะใภ้ เจ้าจะคิดเงินหรือเปล่า”
ฉินเหยายิ้มให้นางเหอ “แน่นอนว่าไม่คิดเงิน!”
นางเหออาจจะชอบของฟรีไปบ้าง แต่ก็เป็นคนมีน้ำใจ ช่วยเหลือฉินเหยาในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ ซึ่งเรื่องดีๆ แบบนี้ ฉินเหยาก็ยินดีจะตอบแทน
ท้ายที่สุดแล้ว ที่นี่คือสังคมตระกูลใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างคนอาจจะวุ่นวาย แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะหากสร้างความสัมพันธ์ที่ดีก็จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่มองไม่เห็นมากมาย
ตัวอย่างเช่น เครื่องโม่พลังน้ำของนางที่วางไว้ริมแม่น้ำในคืนนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าชาวบ้านจะมาขโมย
แม้หลิวจี้จะแยกครอบครัวออกมาแล้ว แต่ที่บ้านใหญ่ยังมีพี่น้องผู้ชายอีกสามคน
สองพี่สะใภ้ของเขาก็เป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน เหล่าสะใภ้อายุน้อยในหมู่บ้านก็มักจะช่วยเหลือพวกนาง หากสิ่งของในบ้านถูกขโมย เหล่าสะใภ้ที่รู้ทุกซอกทุกมุมก็จะช่วยหาตัวคนร้ายได้ทันที
การโม่ข้าวเป็นงานที่ลำบาก งานนี้จึงมักตกไปอยู่ในมือของสตรี เพราะบุรุษส่วนใหญ่ต้องออกไปทำงานในไร่นา
ตอนนี้ เมื่อได้รับการอนุญาตจากฉินเหยา นางเหอและนางชิวต่างตื่นเต้นและบอกว่าวันพรุ่งนี้จะนำข้าวสาลีจากบ้านมาลองโม่ดู เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องโม่
“ได้เลย ไม่มีปัญหา” ฉินเหยาพยักหน้าตอบรับ
อย่างไรก็ตาม นางก็มีเรื่องหนึ่งที่อยากให้คนที่บ้านใหญ่ช่วยอยู่
“ท่านพ่อ ข้าอยากใช้เครื่องโม่นี้ทำมาหากินจึงอยากสร้างโรงเรือนขึ้นมาสักหลังให้ดูเรียบร้อยหน่อย”
หลิวเหล่าฮั่นพยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปทางหลิวจี้ “เจ้าสาม พรุ่งนี้เช้านำเคียวมาหาพวกเราที่บ้าน เราจะไปเกี่ยวหญ้ากลับมาก่อนแล้วขึ้นเขาทางใต้ไปตัดไม้ไผ่มาสักสองสามต้น ใช้เวลาแค่วันเดียวก็สร้างโรงเรือนนี้จนเสร็จได้แล้ว”
พอได้ยินว่าจะต้องขึ้นเขาไปทำงาน หลิวจี้ก็ทำหน้าบึ้ง ไม่ค่อยเต็มใจนักและตอบรับแบบขอไปที
ฉินเหยายิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็ลำบากท่านพ่อกับพวกท่านแล้ว พรุ่งนี้เย็นมากินข้าวที่บ้านข้า ข้าจะไปซื้อเหล้าสองจินจากพ่อค้าหาบเร่หลิวมาให้ทุกคนดื่มกันอย่างเต็มที่”
แม่สามีและลูกสะใภ้ทั้งสามพากันยิ้มออกมา เพราะรู้ว่าฉินเหยาไม่ถนัดทำอาหาร พวกนางจึงตั้งใจว่าจะไปช่วยทำกับข้าวที่บ้านนางตั้งแต่เช้า
จินฮวากับซื่อเหนียงโผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมาถามเสียงเบาด้วยความคาดหวังว่า “ท่านแม่ / อาสะใภ้ พวกเราจะได้กินเนื้อหรือเปล่า”
“ได้กินสิ!” ฉินเหยาตอบรับทันที เพราะตัวนางเองก็อยากกินเหมือนกัน
หากคิดดูดีๆ พรุ่งนี้ก็ตรงกับวันที่บ้านพวกเขาจะได้กินเนื้อทุกๆ ห้าวันพอดี
แต่ว่าตอนนี้บ้านไม่มีเนื้อหมูเหลืออยู่เลย เพราะชาวบ้านในหมู่บ้านต่างยุ่งกับงานในไร่ ไม่มีใครเข้าเมืองเพื่อช่วยซื้อเนื้อมาให้
แต่สำหรับฉินเหยานั้น นี่ไม่ใช่ปัญหา นางมั่นใจว่าการจับปลาและล่าสัตว์ในวันพรุ่งนี้จะทำให้มีเนื้อวางบนโต๊ะอย่างแน่นอน
มีทั้งเหล้าและเนื้อ เด็กๆ ต่างตั้งตารออย่างตื่นเต้น
ทั้งสองครอบครัวปรึกษากันเรื่องแผนการสำหรับวันพรุ่งนี้จนเรียบร้อย ก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน
พอกลับถึงบ้าน หลิวจี้ก็ช่วยเทน้ำอุ่นสำหรับแช่เท้าและยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเปล่งประกายพลางถามว่า
“เมียจ๋า เจ้าคิดจะเก็บค่าบริการอย่างไร เครื่องโม่ของบ้านเราใช้ดีเพียงนี้ จะให้ชาวบ้านใช้แบบถูกๆ ไม่ได้เด็ดขาด!”
ฉินเหยาถอดรองเท้าและถุงเท้า วางเท้าลงในน้ำอุ่นอุณหภูมิกำลังพอดี พิงหลังกับพนักเก้าอี้อย่างสบายตา หลับตาลงเล็กน้อยแล้วถามว่า “เจ้าคิดจะเก็บเท่าไรเล่า”
หลิวจี้หัวเราะแห้งๆ “นี่เป็นเครื่องโม่ที่เจ้าสร้างขึ้นมา ข้าว่าปล่อยให้เมียจ๋าตัดสินใจดีกว่า”
“แต่ว่า…” เขาเสริมอีกว่า “ข้าว่าน่าจะคิดค่าบริการตามระยะเวลาใช้ เช่น หนึ่งชั่วยามห้าเหวินอะไรพวกนี้”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ หนึ่งวันสิบสองชั่วยามก็จะได้หกสิบเหวิน หนึ่งเดือนก็หนึ่งพันแปดร้อยเหวิน” แค่คิด หลิวจี้ก็ตาลุกวาว
ฉินเหยาหัวเราะเบาๆ “เจ้าฝันลมๆ แล้งๆ ไปเถอะ”
หลิวจี้เงียบ เหตุใดจู่ๆ นางถึงมาด่าว่าเขาอีกแล้วล่ะ
แต่หญิงตรงหน้าคือบ่อเงินบ่อทอง หากนางสามารถหาเงินได้ถึงหนึ่งพันแปดร้อยเหวินในหนึ่งเดือนจริงๆ นางก็คือพระโพธิสัตว์ของบ้านหลังนี้!
“เมียจ๋า ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่าคิดเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม”
พอเห็นว่านางแช่เท้าเสร็จแล้ว หลิวจี้ก็ยื่นผ้าขนหนูมาให้ ฉินเหยาเช็ดเท้าให้สะอาดก่อนจะพูดขึ้นว่า “ลองเก็บที่หนึ่งชั่วยามห้าเหวินก่อนแล้วกัน”
ได้ยินดังนั้น หลิวจี้ก็บ่นอุบ “ก็เหมือนที่ข้าบอกไม่ใช่หรือ แล้วเจ้ามาด่าข้าทำไม”
ฉินเหยามองเขาอย่างเหนื่อยหน่าย “ราคาเหมือนที่เจ้าบอกก็จริง แต่ในหนึ่งวันจะมีคนมาใช้งานครบสิบสองชั่วยามได้อย่างไร อีกอย่างกังหันน้ำก็อาจจะพังได้ วันหนึ่งมีคนใช้สักห้าหรือหกชั่วยามก็นับว่าดีแล้ว”
หลิวจี้ไม่เคยคิดเรื่องกังหันน้ำพังมาก่อน “อ้าว” เขาร้องออกมา “มันพังง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”
“ง่ายสิ” ฉินเหยาตอบ “อย่างไรมันก็เป็นไม้ ในแม่น้ำมีพวกเศษหญ้าหรือของต่างๆ ที่อาจลอยเข้าไปติดได้ ดังนั้นจะต้องระวังเป็นพิเศษ”
ความตื่นเต้นของหลิวจี้ลดลงไปเกินครึ่ง เขาเทน้ำล้างเท้าแล้วเดินหนีไปทันที
ฉินเหยาเดินตรวจประตูหน้าต่างให้เรียบร้อยแล้วแวะไปดูห้องของต้าหลางกับน้องๆ จนมั่นใจว่าปลอดภัย ก่อนกลับเข้าห้องของตัวเองไปนอนคิดคำนวณ
หากเครื่องโม่เปิดให้บริการได้วันละห้าชั่วยามก็จะได้เงินวันละยี่สิบห้าเหวิน รวมเป็นเจ็ดร้อยห้าสิบเหวินต่อเดือน
ข้าวสารอย่างดีหนึ่งจินราคาแปดเหวิน ซึ่งเงินจำนวนนี้สามารถซื้อได้ถึงเก้าสิบสามจินครึ่ง ถือว่าเป็นรายได้ที่ดีมาก
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดการณ์ที่ดีที่สุด สถานการณ์จริงจะเป็นอย่างไรคงต้องรอทดสอบดูก่อน
คิดไปคิดมา ฉินเหยาก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาราวๆ หกโมงเช้าของวันใหม่
มีกลิ่นข้าวโชยออกมาจากครัว หลิวจี้มักตื่นมาตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อทำอาหารเช้าและงานบ้าน ระหว่างรอข้าวสุกเขาก็ไปซักผ้าที่แม่น้ำ
ในเวลานี้ สตรีในหมู่บ้านยังยุ่งอยู่กับงานบ้านในครัวเรือนจึงไม่มีใครเห็นว่าเขาที่เป็นบุรุษมานั่งซักผ้าอยู่
เรื่องนี้ทั้งคู่ต่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด ฉินเหยาไม่พูดมันออกไป ส่วนหลิวจี้เองก็ปิดบังไม่ให้ใครรู้
ดังนั้นจึงยังไม่มีใครรู้ว่า หลิวจี้ต้องทำอาหาร งานบ้าน และซักผ้าทั้งหมด
ฉินเหยาลุกจากเตียง ไปที่หลังบ้านเพื่อทำกิจวัตรออกกำลังกายตอนเช้าของนาง โหนบาร์สองร้อยครั้ง
หลังจากเหงื่อออกท่วมตัว นางก็อาบน้ำล้างหน้าล้างตาและได้เวลาอาหารเช้าพอดี
MANGA DISCUSSION