“เอ้อร์หลาง พี่ใหญ่เจ้าไปไหนหรือ” ฉินเหยาถามด้วยความสงสัย
เอ้อร์หลางล้างมือเสร็จแล้ว กำลังตักน้ำให้ซานหลางและซื่อเหนียงล้างอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตอบว่า “ยังจับปลาอยู่ที่แม่น้ำขอรับ”
ฉินเหยาถามด้วยความสงสัย “วันนี้พวกเขาจับปลาได้หรือไม่”
ซื่อเหนียงรีบเอ่ยแทรกขึ้นว่า “พี่ใหญ่จับไม่ได้เลย แต่ท่านอาเล็กกับพี่จินเป่าจับได้!”
ฉินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ดังนั้นต้าหลางเลยไม่ยอมกลับบ้านหากยังจับปลาไม่ได้หรือ
นางกำลังคิดจะไปที่แม่น้ำเพื่อเรียกต้าหลางกลับมา แต่เจ้าตัวก็กลับมาเองแล้ว
ในมือยังถือไม้ปลายแหลมที่ฉินเหยาทำไว้ให้ก่อนหน้านนี้ แต่ในมือว่างเปล่าเช่นเดิม ไม่มีวี่แววของปลาเลย
“ท่านพ่อ ท่านน้า” ต้าหลางเรียกด้วยเสียงเศร้าซึม วางไม้ปลายแหลมลงอย่างระมัดระวังใต้ชายคาแล้วก้มหน้าล้างมือ จากนั้นก็เข้าบ้านไปกินข้าว
หลิวจี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น เขาใช้ตะเกียบจิ้มแขนต้าหลาง “เป็นอะไรไป จับปลาไม่ได้หรือ”
“ซื่อเหนียงบอกว่าหลิวเฝยกับจินเป่าล้วนจับได้ทั้งคู่ พวกเจ้าก็อยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือ พวกเขาเห็นว่าเจ้าจับไม่ได้เหตุใดถึงไม่แบ่งให้เจ้าสักตัวเล่า ปล่อยให้เจ้ากลับมามือเปล่าเช่นนี้น่ะรึ”
ต้าหลางจับปลาไม่ได้ เดิมทีก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว พอได้ยินท่านพ่อพูดเช่นนี้ก็ยิ่งเงียบขรึมเข้าไปใหญ่
หลิวจี้ยังคิดจะพูดต่อ แต่เมื่อฉินเหยามองมาด้วยสายตาเย็นเยียบ เขาก็ปิดปากเงียบแล้วคีบอาหารเข้าปากคำโต
ฉินเหยาพูดกับต้าหลางว่า “วันนี้จับไม่ได้ วันพรุ่งนี้ก็ค่อยจับต่อ สักวันเจ้าจะจับได้เอง อย่าใจร้อน”
ต้าหลางเงยหน้าขึ้นจากชาม มองนางด้วยดวงตาขาวดำตัดกันชัดเจนคู่นั้นแล้วพยักหน้าพลางตอบรับ
คืนนี้ไม่มีเนื้อ ไม่รู้ว่าหลิวจี้ไปซื้อไข่ไก่มาจากไหน ทำผัดไข่มาจานหนึ่งและต้มผักเขียวมาอีกชาม
รูปลักษณ์อาหารนั้นไม่ต้องพูดถึง แค่รสชาติพอเหมาะพอดี ฉินเหยาก็รู้สึกขอบคุณฟ้าดินแล้ว
ดูจากอาหารที่หลิวจี้ทำสองวันนี้ เจ้านี่ทำอาหารไม่เป็นเลยจริงๆ!
แต่คนเราน่ะ ทำไม่เป็นก็เรียนรู้กันได้
ดังนั้น หลังมื้ออาหาร ฉินเหยาจึงให้คำแนะนำและเอ่ยข้อเรียกร้องของตนเกี่ยวกับฝีมือการทำอาหารสองวันที่ผ่านมาแก่หลิวจี้ หวังว่าเขาจะพัฒนาต่อไป
นางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน แต่ในมือกลับเช็ดมีดสั้นที่ไม่ได้ใช้มาหลายวันจนมีฝุ่นจับไปมา
หลิวจี้จะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร ทำได้เพียงพูดไม่หยุดว่า “ใช่ ใช่ ใช่ เมียจ๋าพูดได้ถูกแล้ว!”
หลังจากพวกต้าหลางพี่น้องล้างหน้าเสร็จและเข้าห้องไปนอนแล้ว ฉินเหยาก็เดินมาที่เตาไฟเอ่ยกับหลิวจี้ที่กำลังทายาบนใบหน้าว่า
“พรุ่งนี้เจ้าไปซื้อกระเบื้องที่หมู่บ้านเซี่ยเหอกับข้าหน่อย”
นอกบ้านไม่มีตะเกียง กลางคืนในชนบทนั้นมืดเสียจนยื่นมือออกไปก็ยังมองไม่เห็น จู่ๆ ด้านหลังก็มีคนปรากฏตัวขึ้นทำเอาหลิวจี้ตกใจเสียจนยาที่อยู่ในมือแทบจะเสียบเข้าจมูกตัวเอง
เขาหันกลับมาอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าเป็นฉินเหยาก็โล่งใจ เอ่ยประจบประแจงว่า “เมียจ๋า เจ้าเงียบขนาดนี้จะทำให้ข้าตกใจตายหรือไร”
ฉินเหยาพูดจบก็เดินจากไป ไม่แม้แต่จะชายตามองเขาเลยสักนิด
หลิวจี้จุปากใส่แผ่นหลังที่เดินจากไป แต่ไม่นานก็ต้องเป็นกังวลเรื่องอาหารกลางวันสำหรับวันพรุ่งนี้อีก
หากพวกเขาไปกันหมด แล้วใครจะคอยทำอาหารกลางวันให้คนที่มาช่วยงานเล่า
สำหรับเรื่องนี้ฉินเหยาเตรียมการไว้นานแล้ว ช่วงบ่ายตอนนางไปซื้อไม้ในหมู่บ้าน นางแวะไปที่เรือนเก่า ขอให้นางเหอสะใภ้ใหญ่มาช่วยทำอาหารกลางวันให้
แม้นางเหอจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับฉินเหยามากนัก แต่ทุกครั้งที่พูดคุยกัน นางล้วนไม่เคยเสียเปรียบมาก่อนจึงตอบรับด้วยความยินดี
รุ่งเช้าวันถัดมา
หลังจากกินอาหารเช้าเป็นน้ำแกงก้อนแป้งแสนจืดชืดที่หลิวจี้ทำแล้ว ฉินเหยาก็แยกอาหารที่จะใช้สำหรับเป็นมื้อกลางวันวันนี้ไว้บนเตา กำชับต้าหลางและเอ้อร์หลาง ก่อนจะลงกลอนประตูห้องหลักแล้วหยิบมีดสั้นสำหรับป้องกันตัว ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเซี่ยเหอ
เดิมหลิวจี้ก็เป็นคนที่อยู่ว่างไม่ได้อยู่แล้ว การต้องอยู่ในหมู่บ้านตลอดหลายวันมานี้ทำให้เขาอึดอัดแทบตายแล้ว
อาจเป็นเพราะเห็นว่าเขาทำอาหารรสชาติแย่ติดกันมาหลายวันแล้วแต่ฉินเหยาก็ยังไม่ว่าอะไรเขา หลิวจี้เลยเริ่มใจกล้ามากขึ้น พูดไม่หยุดตลอดทาง
“เมียจ๋า เหตุใดเจ้าต้องถือมีดหักๆ นี่ไว้ตลอดด้วยเล่า”
“เมียจ๋างดงามแต่กำเนิด มีดนี่ไม่คู่ควรกับบุคลิกเจ้าเลยสักนิด”
ฉินเหยาไม่สนใจเขา
“เมียจ๋า ข้าได้ยินต้าหลางบอกว่าคราวก่อนที่เข้าป่าเจ้าล่าหมีดำตัวใหญ่มาได้ มันคงขายได้เงินไม่น้อยเลยใช่หรือไม่ ได้ถึงร้อยตำลึงหรือเปล่า”
“แต่ก็ต้องโทษข้า หากไม่ใช่เพราะต้องหาเงินมาใช้หนี้ของข้า เจ้าก็คงไม่ต้องเสี่ยงเข้าไปในป่า…”
ฉินเหยายังคงไม่สนใจเขาเช่นเคย
จนกระทั่งหนึ่งชั่วโมงผ่านไปหลิวจี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพูด ฉินเหยาจึงชำเลืองตามองเขาด้วยความหงุดหงิดแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหุบปากบ้างไม่เป็นหรือไง”
หลิวจี้จึงรีบหุบปากในทันที
บาดแผลบนใบหน้าของเขาหายเร็วมาก ตอนนี้เหลือเพียงรอยเขียวจางๆ เล็กน้อยเท่านั้น
เส้นผมของเขาใช้กิ่งฟืนเกล้าขึ้นกลางศีรษะ ปอยผมที่รวบไม่หมดห้อยตกลงมาด้านข้างตามสบาย ดูปล่อยตัวไม่จริงจัง ยิ่งประกอบกับท่าทางของเขาก็ยิ่งดูเป็นคนไม่เอาถ่าน
แต่ท่าทางเช่นนี้ไม่ใช่ท่าทีเฉยชาไม่ใส่ใจของพวกใจคออำมหิต แต่เป็นท่าทีของพวกขี้ขลาดแต่ชอบอวดเก่งต่างหาก
ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนที่หลงตัวเอง คิดว่าตนมีบุคลิกสง่างามและหล่อเหลาไร้เทียมทานเสียเต็มประดา
“ข้าถามเจ้าหน่อย พวกเขามักบอกว่าเจ้าหน้าตาดีใช่หรือไม่” ฉินเหยาถาม
หลิวจี้ยิ้มขึ้นมาทันที ถามด้วยความยินดีว่า “เมียจ๋า เจ้ารู้ได้อย่างไร”
หรือว่าในที่สุดนางก็เห็นแล้วว่าเขาหน้าตาดี ตัดสินใจว่าจะทำดีต่อเขาแล้ว?
ฉินเหยาหัวเราะเยาะเบาๆ กล่าวอย่างมั่นใจว่า “พวกเขายอเจ้าจนเสียคนแล้ว”
หลิวจี้: “……”
“เดินเร็วๆ หน่อย!” ฉินเหยาเร่งเสียงเย็นชา
หลิวจี้รีบเดินตามไปอย่างขัดใจ
นางคงจะอิจฉาในความหล่อเหลาของเขาแน่ๆ!
ฉินเหยานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ชี้ไปที่ใบหน้าของเขาแล้วถามว่า “เหตุใดหลินเอ้อร์เป่าถึงตีแค่ใบหน้าเจ้าเล่า ช่วงที่ถูกจับไป เจ้าไปทำอะไรเข้า”
นางจางแม่สามีเคยเล่าว่า หลินเอ้อร์เป่านั้นไม่เคยเอาชีวิตใคร เพียงให้ไปใช้งานแรงงานในเหมืองเพื่อใช้หนี้ ตามหลักแล้วหลิวจี้ไม่น่าถูกซ้อมจนใบหน้ากลายเป็นหัวหมูแบบนี้ได้
ไม่คิดว่านางจะถามเรื่องนี้ขึ้นมา หลิวจี้ชะงักไปเล็กน้อย ตอบเลี่ยงๆ ว่า
“พวกเขาอิจฉาในความหล่อเหลาของข้าน่ะ”
เพราะใบหน้านี้ดึงดูดใจสตรีนัก บรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ในเหมืองถึงกับเอาของกินมาให้เขาบ่อยๆ กระทั่งภรรยาของหัวหน้าคุมงานยังบอกให้หัวหน้ามอบงานเบาๆ ให้เขาทำอีกด้วย
อย่างนี้พวกบุรุษจะไม่คลั่งได้หรือ
พวกนั้นกลัวว่าภรรยาที่บ้านจะหลงเสน่ห์เขาเข้าจึงหาทางไล่เขาออกจากเหมือง
เขาช่างน่าสงสารนัก ไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ เพียงพูดคุยกับสตรีเหล่านั้น หยอกเย้าพวกนางจนหัวเราะอารมณ์ดี พวกบุรุษก็รับไม่ได้กันแล้ว
พวกบุรุษน่ะ เวลาริษยาขึ้นมาแล้วบ้าคลั่งยิ่งกว่าสตรีเสียอีก!
คิดถึงตรงนี้ หลิวจี้ก็ถ่มน้ำลายไปทางพงหญ้าข้างทางราวกับกำลังถ่มน้ำลายใส่หน้าพวกบุรุษอัปลักษณ์ในเหมืองเหล่านั้น
ฉินเหยาเหลือบมองหลิวจี้ที่แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างสงสัย “เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ทำอะไร”
ใบหน้านี้ของหลิวจี้นั้นไม่เลวจริงๆ แต่บุคลิกแย่เกินไปไม่ถึงขั้นที่สามารถทำให้คนอื่นอิฉาริษยาได้หรอก
หลิวจี้ยืดอกอย่างมั่นใจ “แน่นอนสิ!”
ฉินเหยามุมปากกระตุกน้อยๆ นางคงต้องฝืนใจเชื่อเขาสินะ
ระหว่างที่พูดคุยกันก็มาถึงหมู่บ้านเซี่ยเหอพอดี
หลิวจี้เดินไปถามไถ่ชาวบ้านถึงที่ตั้งของเตาเผากระเบื้องอย่างขันแข็ง พอรู้ตำแหน่งแล้วก็นำทางฉินเหยาไปอย่างกระตือรือร้น
สิ่งใดผิดปกติมักมีเงื่อนงำ ตอนทำอาหาร ฉินเหยายังไม่เคยเห็นเขากระตือรือร้นเช่นนี้เลย
และก็เป็นไปตามคาด เมื่อไปถึงเตาเผากระเบื้องพบเถ้าแก่เนี้ยผู้เปี่ยมเสน่ห์ ฉินเหยาก็เข้าใจในทันที
พอหลิวจี้เห็นเถ้าแก่เนี้ยก็พูดจาไพเราะเป็นน้ำไหล เรียกนางว่าพี่สะใภ้อย่างอ่อนหวาน
เถ้าแก่เนี้ยเดิมคิดว่าอีกฝ่ายช่างไร้มารยาท แต่พอเงยหน้าขึ้นเห็นเขาหน้าตาดีเช่นนี้ ใบหน้าของสตรีที่แต่ไรมาปากจัดหยาบคายกลับผุดความขวยเขินอย่างไม่อาจควบคุม
เมื่อเห็นหลิวจี้ได้คืบจะเอาศอกยื่นมือออกไปหมายจะสัมผัสมือเถ้าแก่เนี้ย ฉินเหยาก็ตบเข้าที่มือนั้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว!
เพียะ! เสียงนั้นดังสนั่นเสียจนคนที่ได้ยินยังอดตัวสั่นไม่ได้
หลิวจี้กุมหลังมือที่บวมแดงขึ้นอย่าวรวดเร็ว กัดฟันอดทนกับน้ำตาที่เอ่อคลอขึ้นเพราะความเจ็บ
เขาค่อยๆ ถอยไปหลบอยู่ด้านหลังฉินเหยาอย่างเงียบๆ
แหงนหน้ามองฟ้า ลอบสูดลมหายใจเข้าลึก
MANGA DISCUSSION