ตอนที่ 202 ภัยจากแมลงศัตรูพืช
………………..
ในมือพกเงินสิบตำลึงสองเฉียนที่ได้จากการขายของในวันนี้ ฉินเหยาก็ขับเกวียนวัวพาเด็กๆ ทั้งห้าคนที่เพิ่งเลิกเรียนกลับสู่หมู่บ้านตระกูลหลิว
เกวียนวัวของนางเร็วกว่าเกวียนที่สารถีขับอยู่มาก เมื่อนางมาถึงหมู่บ้าน พระอาทิตย์ยามเย็นยังคงแขวนอยู่บนขอบฟ้า ทุ่งนาเต็มไปด้วยร่างของชาวบ้านที่กำลังวุ่นวายกับงาน
ฉินเหยาหยุดเกวียนวัวที่หน้าประตูโรงงาน ปล่อยให้เด็กทั้งห้ากลับบ้านไปก่อน ส่วนนางจะตามไปทีหลัง
นางต้องการไปสะสางบัญชีที่ได้รับในวันนี้กับช่างไม้หลิว พร้อมกันนั้นจะพูดคุยถึงรายละเอียดการปรับปรุงหีบหนังสือให้ดีขึ้นด้วย
ต้าหลางกับพวกตอบรับอย่างว่าง่าย ต่างคนต่างลากหีบหนังสือของตนกลับบ้านไปก่อน
จินเป่าแบกตะกร้าใส่หนังสือของตนเดินอยู่ด้านหลังสุดข้างๆ คือเอ้อร์หลางซึ่งเดินมือเปล่า เขามองดูคนสามคนด้านหน้าซึ่งลากหีบหนังสือของตน ในดวงตาเต็มไปด้วยความอิจฉา
เอ้อร์หลางนั้นเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเอง แต่เมื่อคิดว่าอีกไม่นานฉินเหยาคงจะให้ส่วนแบ่งยอดขายกับเขา อารมณ์ของเขาจึงถือว่ายังดีอยู่
แต่จินเป่านั้นไม่เหมือนกัน เขาอิจฉาจริงๆ แต่ก็รู้ดีว่าหีบหนังสือพลังเซียนของอาสะใภ้สามใบหนึ่งนั้นราคาตั้งห้าร้อยกว่าเหวิน ท่านพ่อท่านแม่ของเขาคงไม่ยอมซื้อให้แน่จึงได้แต่คิดในใจเท่านั้น
หรือบางที จะลองไปขอให้อาสะใภ้สามขายให้ในราคาทุนดี?
คิดได้ดังนั้น จินเป่าก็อดใจไม่อยู่ รีบบอกเอ้อร์หลางว่า “ข้ากลับบ้านก่อนนะ!”
พูดจบก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็ว ท่าทางร้อนใจเสียจนเอ้อร์หลางมองตามด้วยความสงสัย “เขาจะรีบไปไหนกัน”
ต้าหลางที่มองออกตั้งแต่ต้นกล่าวว่า “คงไปหาท่านป้าใหญ่กับท่านลุงใหญ่ให้ซื้อหีบหนังสือพลังเซียนให้กระมัง”
เอ้อร์หลางขานรับเสียงหนึ่ง แต่ก็แอบเสียดายเล็กน้อย “เขาน่าจะมาซื้อกับข้ามากกว่า”
ต้าหลางด่าเขาว่าคิดแต่จะหาเงินจนเสียสติไปแล้ว เงินใครก็จะเอาทั้งหมด ก่อนเตือนน้องชายให้เพลาๆ ลงบ้าง
“น้ำปุ๋ยดีๆ ไม่ควรปล่อยให้ไหลลงสู่ไร่นาผู้อื่นนี่” เอ้อร์หลางตอบเสียงอ้อมแอ้ม ไม่ได้คิดว่าความคิดเช่นนี้ของตนนั้นมันผิดตรงไหน
แต่กระนั้น ทุกคนล้วนเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด ความสัมพันธ์ในครอบครัวย่อมต้องคำนึงถึงบ้าง เอ้อร์หลางจึงปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรอีก
ต้าหลางถลึงตาใส่เขา ก่อนจะเร่งซานหลางและซื่อเหนียงที่มัวแต่เล่นอยู่ริมทางให้เดินเร็วยิ่งขึ้น งานบ้านหลายวันยังค้างคาอยู่ ต้องรีบทำให้เสร็จในช่วงวันหยุดนี้
เสื้อผ้า ถุงเท้าที่สกปรกต้องซักให้หมด ลานบ้านกับในบ้านก็ต้องกวาดเช็ดให้สะอาดสะอ้าน ถ้าพอมีเวลาเหลือยังต้องจูงหล่าหวงไปปล่อยที่ริมแม่น้ำ ให้มันได้อาบน้ำแล้วกินหญ้าอ่อนๆ
อ้อ แล้วก็ยังมีคอกไก่ที่ต้องทำความสะอาดอีก หากปล่อยให้น้าเหยาทำคนเดียว เกรงว่าคงเหนื่อยจนตายแน่
ต้าหลางคิดเรื่องงานอยู่เต็มหัว ทว่าน้องสามคนกลับมิได้คิดไกลถึงเพียงนั้น แม้พี่ใหญ่จะเร่งเร้า แต่ระหว่างทางก็ยังอดไม่ได้ที่จะถูกสิ่งต่างๆ ดึงดูดสายตา กว่าจะถึงเรือนก็เชื่องช้าเสียเหลือเกิน
ฝ่ายฉินเหยา เมื่อผูกเกวียนวัวให้เรียบร้อยแล้วก็เรียกช่างไม้หลิวออกมา จากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันคำนวณบัญชี
ครั้งนี้ นางนำเงินกลับมาสิบตำลึงกับอีกสองร้อยยี่สิบสี่เหวิน เมื่อหักต้นทุนแล้ว กำไรสุทธิอยู่ที่หกตำลึงกับอีกห้าร้อยสิบหกเหวิน
ส่วนค่าตอบแทนของเอ้อร์หลาง ฉินเหยาเองก็มิได้ลืม คิดให้หีบละหกเหวิน สิบห้าหีบก็เป็นเงินเก้าสิบเหวินพอดี
เมื่อหักเก้าสิบเหวินออกไป ทั้งสองก็แบ่งเงินกันคนละครึ่ง ตกเป็นเงินสามตำลึงกับอีกสองร้อยสิบสามเหวินต่อคน
นอกจากนี้ ยังมีหีบหนังสือสองใบที่ฉินเหยาให้ตระกูลติงไปเพื่อเป็นน้ำใจ ดังนั้นนางจึงรับเงินมาเพียงสามตำลึงถ้วน
ในตอนแรกช่างไม้หลิวไม่อยากรับเงินส่วนนี้ แต่เมื่อเห็นฉินเหยายืนกรานอย่างหนักแน่น สุดท้ายก็ได้แต่รับไว้ตามนั้น
คำนวณบัญชีกันอย่างชัดเจน จะเป็นผลดีต่อความร่วมมือในระยะยาว
เมื่อได้รับเงิน ทั้งสองต่างก็ยินดี พวกเขาพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับปรุงหีบหนังสือต่อไป
เมื่อพูดคุยตกลงกันเรียบร้อย ฉินเหยากับช่างไม้หลิวกำลังจะกลับบ้านก็เห็นจินเป่าจูงมือนางเหอวิ่งหน้าตั้งเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง “อาสะใภ้สาม ข้าจะซื้อหีบหนังสือขอรับ!”
นางเหอเดินตามมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด “เจ้าตัวแสบนี่ ตาร้อนอยากได้หีบหนังสือพลังเซียนของต้าหลางบ้านเจ้า นอนกลิ้งอาละวาดอยู่ในบ้านค่อนวัน ข้าจะโมโหตายอยู่แล้ว!”
เมื่อเห็นคู่แม่ลูกปรากฏตัว ฉินเหยาก็ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย จึงบอกให้ช่างไม้หลิวกลับไปก่อน ส่วนตนเองพาสองแม่ลูกเดินเข้าไปยังคลังเก็บของ ให้จินเป่าเลือกหีบหนังสือด้วยตัวเอง
มองดูลูกชายร้องลั่นวิ่งเข้าไปเลือกหีบอย่างตื่นเต้น นางเหอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ อย่างปลดปลง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองฉินเหยาด้วยความรู้สึกลังเลแกมวิตกกังวล
ยังไม่ทันที่นางจะพูด ฉินเหยาก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “ข้าคิดสองร้อยเหวินก็พอ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นของที่ข้ากับช่างไม้หลิวทำร่วมกัน ต้องเก็บทุนคืนไว้นิดหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงอธิบายได้ยาก”
นางเหออุทานออกมาด้วยความยินดี คิดไม่ถึงว่าฉินเหยาจะลดราคาให้มากถึงเพียงนี้ นางถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ในใจก็รู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้งอยู่ไม่น้อย
“ชะ…เช่นนั้น ข้าขอขอบคุณอาสะใภ้สามแทนจินเป่าด้วยนะ” นางเหอหยิบเงินสองพวงออกมาจากถุงเงินแล้วยื่นให้ฉินเหยา ได้ส่วนลดไปตั้งสามร้อยกว่าเหวิน นางรู้สึกเกรงใจไม่น้อย
ฉินเหยารับเงินไว้แล้วยิ้มบางๆ พลางส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร พวกเราครอบครัวเดียวกัน”
“ใช่ๆๆ ครอบครัวเดียวกันช่างดีจริงๆ” นางเหอกล่าวสนับสนุน
แม้ว่าหีบหนังสือแต่ละใบจะหน้าตาคล้ายกันหมด แต่จินเป่าก็ยังคงตั้งใจเลือกอย่างพิถีพิถัน สุดท้ายเลือกเอาใบที่เขาคิดว่าพิเศษที่สุดออกมา เพราะหักใจลากไม่ได้จึงกอดเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเลยตลอดทาง
สามคนยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือนเก่าเตรียมจะแยกจากกัน นางเหอชวนฉินเหยาให้เข้าไปทานข้าวในบ้านอย่างกระตือรือร้น แต่ฉินเหยาปฏิเสธ เพราะยังต้องกลับไปดูข้าวสาลีที่เกี่ยวไว้ว่าเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
เมื่อพูดถึงข้าวสาลี รอยยิ้มของนางเหอก็จางลง คิ้วขมวดเบาๆ ก่อนจะส่ายหัวแล้วกล่าวว่า
“ปีนี้ข้าวสาลีหลายแปลงโดนแมลงลง เจริญงอกงามได้ไม่ดีนัก ได้ยินว่าแถวเชิงเขานั่น แทบไม่เหลืออะไรเลย เสียหายหมด ไม่มีผลผลิตสักนิดเดียว”
แต่กลัวฉินเหยาจะเป็นห่วงมากไป นางเหอจึงรีบเสริมว่า “แต่ที่ดินของหลิวต้าฝูที่อยู่ติดแม่น้ำไม่เป็นอะไร ที่นาสิบหมู่ของเจ้าก็น่าจะปลอดภัยเช่นกัน”
หัวใจของฉินเหยากระตุกวูบ “แมลงระบาดหนักขนาดนั้นเลยหรือ”
นางเหอถอนหายใจ “ดูแล้วไม่น่าจะดีนัก แต่ทุกๆ หลายปีก็ต้องเจอแบบนี้สักครั้ง ยังดีที่ครอบครัวเรามีข้าวที่เก็บไว้จากปีที่แล้วอยู่จึงไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่”
ทว่าสำหรับพวกญาติในตระกูล ที่ขายข้าวส่วนเกินไปหมดตั้งแต่ปีก่อนเพื่อเอาเงินมาจ่ายค่าแรงงานเกณฑ์ ปีนี้จะรอดไปถึงฤดูเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงหรือไม่ก็ยังพูดยาก
ช่วงหลายวันมานี้ฉินเหยามัวแต่วุ่นอยู่กับการทำหีบหนังสือที่โรงงานจึงไม่ได้สังเกตถึงเรื่องนี้
ขณะเดินกลับบ้านผ่านเส้นทางริมแม่น้ำ นางมองเห็นฟางข้าวที่ตั้งเรียงกันเป็นกองๆ ตามขอบนา มันมีสีดำคล้ำและเต็มไปด้วยรอยแมลงกัดกินจึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่นางเหอพูดนั้นยังถือว่าเบานัก
ไร่ข้าวสาลีของหมู่บ้านที่อยู่ติดเชิงเขาส่วนใหญ่ต่างก็โดนแมลงศัตรูพืชกินเสียจนหมด เจ้าพวกนี้เพียงแค่เกาะลงจุดหนึ่งก็ลุกลามทั้งผืนนา ที่ดินของใครที่กระจายเป็นแปลงเล็กแปลงน้อยยังพอรักษาไว้ได้บ้าง แต่ไร่ที่เชื่อมติดกันเป็นผืนใหญ่กลับเสียหายอย่างหนักหนาสาหัส
ฉินเหยาหยิบรวงข้าวขึ้นมากำหนึ่ง เมื่อบีบก็พบว่าเป็นเปลือกกลวงไม่มีเนื้อ เมล็ดข้าวด้านในถูกแมลงกัดกินจนเกลี้ยง เหลือเพียงฝุ่นสีเทาร่วงลงเต็มมือ
ในท้องนา มีชาวนาบางคนเริ่มกวาดฟางข้าวที่เสียแล้วมากองรวมกันแล้วจุดไฟเผาทิ้ง หวังว่าไฟร้อนแรงจะช่วยฆ่าแมลงให้หมด เพื่อไม่ให้กระทบถึงฤดูเพาะปลูกถัดไป
เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เหล่าชาวนาก็ได้แต่ตั้งใจดูแลพืชผลรุ่นถัดไปให้ดีที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่มีปัญหา
ในใจก็คิดว่า เพียงกัดฟันอดทนไว้ ขอแค่ผ่านพ้นไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็พอ
ฉินเหยากลับถึงบ้านด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ลานหน้าบ้านเต็มไปด้วยฟ่อนข้าวที่คนงานรับจ้างสองคนช่วยเกี่ยวกลับมา
สองคนนี้เกี่ยวข้าวมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ที่เหลืออีกหน่อยพรุ่งนี้ใช้เวลาครึ่งวันก็จะเกี่ยวเสร็จ
อาศัยแสงสุดท้ายของอาทิตย์ยามอัสดง ฉินเหยาตรวจดูข้าวสาลีของบ้านตน พบว่ามีจุดดำไม่น้อย หัวรวงข้าวดูเหมือนจะอวบอิ่ม แต่พอจับดูกลับกลวงไปเกินครึ่ง ใจของนางพลันหนักอึ้งทันที
ซื่อเหนียงตะโกนเรียกมาจากในลานบ้าน “ท่านแม่ กินข้าวได้แล้วเจ้าค่ะ!”
ฉินเหยาปัดเศษเปลือกข้าวออกจากมือ ลุกขึ้นแล้วขานรับ “มาแล้วๆ”
นางเก็บความวิตกทั้งหมดไว้ในใจ ยิ้มน้อยๆ แล้วเดินเข้าบ้านไป ล้างมือเตรียมกินข้าว
หลังมื้อเย็นสิ้นสุดลง ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าคุ้นเคยดังขึ้นนอกลานบ้าน ใบหูของฉินเหยาขยับเล็กน้อยแล้วหันไปมองที่ประตูใหญ่
หลิวจี้ซึ่งควรจะอยู่ที่ตัวอำเภอเพื่อรอผลสอบ กลับสะพายห่อสัมภาระเดินทางกลับมาในสภาพที่เต็มไปด้วยฝุ่น
………………..
MANGA DISCUSSION