ตอนที่ 195 เกือบไปแล้ว
………………..
อาจารย์ติงเหลือบมองรายชื่อ ก่อนจะยืนยันอีกครั้ง “หลิวผิงหลิงใช่หรือไม่ เด็กผู้หญิง?”
ซื่อเหนียงพยักหน้ารับ “ใช่เจ้าค่ะ ข้าชื่อหลิวผิงหลิง เป็นเด็กผู้หญิง”
พูดจบ ซื่อเหนียงก็ได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างลังเล “เด็กผู้หญิงอย่างนั้นหรือ…”
ซื่อเหนียงเอียงศีรษะอย่างงุนงง เด็กผู้หญิงแล้วจะอย่างไรหรือ
อาจารย์เฉิงโบกมือ “เจ้าไม่ใช่บอกว่าเขียนหนังสือได้รึ ตรงนั้นมีพู่กันกับกระดาษ เขียนมาสักหนึ่งบท”
“ได้เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
ซื่อเหนียงรับคำ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือที่เตรียมไว้ล่วงหน้า คุกเข่านั่งลง ร่างน้อยๆ ของนางแทบจะสูงไม่พ้นโต๊ะเขียนหนังสือ นางเติมน้ำลงในจานฝนหมึก ฝนแท่งหมึกแล้วหยิบพู่กันขึ้นมา จุ่มหมึกลงบนกระดาษแล้วเริ่มเขียนโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
เพียงแค่ว่าตัวอักษรของนางค่อนข้างใหญ่ ลายมือจัดว่าเรียบร้อยพอใช้ ยังสามารถมองออกว่าสิ่งที่นางเขียนเป็นหนึ่งในบทจากหลุนอวี่
มีตัวอักษรตัวหนึ่งที่ยากเกินไป นางเขียนเป็นวงกลมแทน
เมื่อเขียนเสร็จ ซื่อเหนียงก็วางพู่กันลง อดกลั้นความต้องการที่จะนวดข้อมืออย่างยากลำบาก ก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ ถอยออกไปยืนข้างโต๊ะเขียนหนังสือ “ขอเชิญท่านอาจารย์ตรวจสอบเจ้าค่ะ”
อาจารย์ทั้งสามเดินเข้ามาพร้อมกัน ซื่อเหนียงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะตนเองก็รู้ว่าลายมือของตนนั้นไม่ได้ดีนัก
ทว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางก็ไม่ได้มีลายมือที่สวยงาม สอนนางได้แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
โชคดีที่ตอนนี้ยังอายุน้อย อาจารย์ทั้งสามจึงมีความเมตตาให้นางไม่น้อย สามคนพยักหน้า เก็บกระดาษแผ่นนั้นไปแล้วแจ้งว่านางสอบเสร็จแล้ว ให้ไปคอยฟังผลด้านนอก
ซื่อเหนียงนึกถึงสิ่งที่จินเป่าและจินฮวาเคยบอกเรื่องการให้เครื่องหมายถูกหรือผิด นางเองก็อยากรู้ว่าอาจารย์จะให้เครื่องหมายอะไรกับตน
น่าเสียดายที่เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็ต้องออกมาเสียก่อน ไม่มีโอกาสเดินเข้าไปดูด้วยตาตัวเอง
ซื่อเหนียงทำได้เพียงส่งสายตาให้กำลังใจแก่พี่ชาย ก่อนจะถอยออกไป
นางออกมาห่างจากเด็กหญิงคนก่อนหน้านี้นานถึงหนึ่งเค่อ สามารถคาดเดาได้ว่า อาจารย์คงถามอะไรไปมากมายและนางก็คงตอบไปไม่น้อย
“เป็นอย่างไรบ้าง กลัวหรือไม่” ฉินเหยารับตัวเด็กหญิงมากอดไว้ ปฏิกิริยาแรกของนางไม่ใช่การถามถึงผลสอบ แต่เป็นความห่วงใยต่ออารมณ์ของเด็กหญิง
หากจิตใจไม่มั่นคง ย่อมส่งผลให้ทำได้ไม่ดี
ต้าหลางและเอ้อร์หลางก็กรูกันเข้ามาห้อมล้อม กล่าวปลอบประโลมว่ารอสักครู่จะพานางไปซื้อขนมกิน
ซื่อเหนียงส่ายหัว นางไม่ได้กลัว เพียงแต่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรถึงเสียงถอนหายใจอย่างลำบากใจของอาจารย์ติงอย่างไร
“ท่านแม่ ข้ารู้สึกว่าอาจารย์ไม่ชอบข้า” ซื่อเหนียงกล่าวเสียงเบา
หัวใจของฉินเหยาสะดุดไปครู่หนึ่ง แต่บนใบหน้ายังคงมีสีหน้าผ่อนคลาย นางช่วยจัดผ้าคลุมศีรษะของเด็กหญิงก่อนจะกล่าวว่า “บางครั้งความรู้สึกของคนเราอาจไม่ถูกต้องเสมอไป เรารอดูผลกันก่อนเถิด”
ซื่อเหนียงพยักหน้า “อื้ม!”
ซานหลางเป็นคนรองสุดท้ายที่ออกมา เขาถูกบ่าวชายพาออกมา ดวงตาของเขาแดงก่ำ และยังคงพึมพำบทกวีที่ท่องจำจากที่บ้าน บ่าวชายทำสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะเงยหน้าตะโกนเสียงดัง
“พ่อแม่ของหลิวจื่อหมิง รีบมารับลูกของพวกท่านไปได้แล้ว!”
ฉินเหยากับคนอื่นๆ รีบปรี่ขึ้นไปหา “เกิดอะไรขึ้น”
บ่าวชายกล่าวว่า “เมื่อครู่ตอนพบอาจารย์เขาเผลอสะดุดล้มไปทีหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะกระแทกอะไรเข้าจนเจ็บ รีบพาเด็กไปให้หมอตรวจเถอะ อย่าให้เกิดเรื่องใหญ่!”
พอส่งเด็กให้คนในบ้านของเขาแล้ว บ่าวชายก็รีบหันหลังเดินหนีไปทันที ราวกับกลัวจะถูกกล่าวหาหรือโยนความผิดให้
ฉินเหยาได้ยินดังนั้นก็รีบอุ้มซานหลางขึ้นไปวางบนรถม้าแล้วถามเขาว่าล้มกระแทกตรงไหน
ซานหลางลืมตาแดงก่ำราวกับกระต่าย ชี้นิ้วเล็กๆ ไปที่หัวเข่าพร้อมกับส่งเสียงครวญครางเบาๆ
ฉินเหยาดึงขากางเกงขึ้นดูก็พบว่าหัวเข่าแค่ถลอกเล็กน้อย มีรอยแดงจางๆ เป็นแค่บาดแผลเล็กน้อยที่แทบไม่นับว่าเป็นแผล นางจึงโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
“ตกใจแทบแย่ ข้านึกว่าเป็นอะไรร้ายแรง” หลิวจ้งลูบหน้าอกของตนก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เจ้าล้มได้อย่างไร ตอบคำถามท่านอาจารย์เสร็จแล้วค่อยล้มหรือว่ายังไม่ได้พบอาจารย์ก็ล้มเสียแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้างก็โล่งอกไปตามๆ กัน ตราบใดที่การทดสอบผ่านพ้นไปแล้วก็ไม่มีปัญหา
แต่ว่าดันสะดุดล้มก่อนออกมา พวกอาจารย์จะไม่เข้าใจผิดคิดว่าเขามีข้อบกพร่องโดยกำเนิดใช่หรือไม่
ฉินเหยาหันไปมองพี่น้องตระกูลหลิว สองพี่น้องก็มองกลับมาที่นาง เอาเถอะ รอผลก่อนดีกว่า
ความจริงแล้ว ซานหลางก็แสดงออกได้ไม่เลว แม้ว่าจะขี้กลัวไปบ้าง แต่ก็สามารถตอบคำถามของอาจารย์ได้ทั้งหมด
และทันทีที่อาจารย์เห็นเขาก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่าเขากับซื่อเหนียงเป็นฝาแฝดกัน ใบหน้าเล็กๆ นั้นเหมือนกันราวกับแกะ แต่มีนิสัยต่างกันสุดขั้ว ทำให้อาจารย์ทั้งสามรู้สึกเพลิดเพลินไม่น้อย
เพียงแต่ว่าเจ้าตัวเล็กนี่ดูขี้ขลาดเกินไป ไม่ช่างพูดเหมือนกับน้องสาวของเขา
ซานหลางยังจำได้ว่า ก่อนที่อาจารย์จะให้เขาออกมาได้กล่าวไว้ประโยคหนึ่ง “เป็นชายชาตรี จะมาขี้ขลาดได้อย่างไร เชิดหน้าผายอกแล้วก้าวออกไป”
จากนั้น พอเขาเชิดหน้าขึ้นก็ดันสะดุดบันไดหินล้มหน้าคะมำไป
หลังจากฟังเจ้าตัวเล็กเล่าจบ ฉินเหยาก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นกุมหน้าผาก ท่านอาจารย์ทั้งสามคนนี้จะมายุ่งอะไรกับนิสัยของคนอื่นเขา ช่างว่างเสียจริง!
ซานหลางยังคงเศร้าอยู่ เขาจับชายเสื้อของฉินเหยาแน่นแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ท่านแม่ ข้าไม่ใช่ชายชาตรีหรือ”
ฉินเหยาตอบกลับอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา “เจ้าใช่สิ! เพียงแค่เป็นชายชาตรีที่พิเศษกว่าคนอื่น ชายชาตรีก็มีอยู่หลายประเภท มิใช่ว่าจะมีเพียงแบบเดียว”
บรรดาบุรุษที่อยู่รอบข้างหันขวับมามองพร้อมกันด้วยความสนใจ ก่อนจะถามต่ออย่างใคร่รู้ “น้องสะใภ้สาม เช่นนั้นชายชาตรียังแบ่งเป็นประเภทใดได้อีกหรือ”
ฉินเหยาถลึงตาใส่ “ถามอีกข้าจะตีคนนั้น”
ทันใดนั้นทุกคนก็เงียบกริบ พวกเขาเดินไปเดินมาอยู่ข้างรถม้า รอให้การสอบของอีกสองกลุ่มที่เหลือเสร็จสิ้นและรอผลประกาศ
การรอครั้งนี้ยาวนานไปจนถึงช่วงโพล้เพล้ การสอบจึงสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์
หลังจากการสอบจบลง พวกเขายังต้องรออีกประมาณหนึ่งเค่อ ก่อนที่อาจารย์ทั้งสามจะเดินออกจากประตูมาเพื่อประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียน
ซานหลางดีใจเพียงครู่เดียว ก่อนจะตั้งตารอคอยชื่อของน้องสาวด้วยความกังวลพร้อมกับท่านแม่และคนอื่น
แต่เมื่ออาจารย์ประกาศมาถึงชื่อที่ยี่สิบแปดแล้วก็ยังไม่มีชื่อของหลิวผิงหลิง สีหน้าของพวกแม่ลูกก็เริ่มเคร่งขรึมขึ้น
“ลวี่เหลียง!”
“ข้าอยู่นี่ อยู่ตรงนี้!” ผู้ปกครองของเด็กที่ถูกเรียกชื่ออีกคนรีบขานตอบด้วยความยินดี
ตอนนี้เหลือเพียงชื่อสุดท้ายแล้ว
อาจารย์ติงพลันเงยหน้าขึ้น กวาดมองไปรอบๆ ราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่างในกลุ่มฝูงชน
ซื่อเหนียงราวกับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าวอย่างตื่นเต้น สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เมื่อสายตาทั้งสองสบประสาน อาจารย์ติงก็หรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะประกาศชื่อสุดท้ายที่ได้รับคัดเลือก
“หลิวผิงหลิง”
“ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ!” ซื่อเหนียงยกมือขึ้นในทันทีราวกับว่านางเฝ้ารอช่วงเวลานี้มาโดยตลอด รอยยิ้มเจิดจรัสและภาคภูมิใจบนใบหน้าของนาง เปรียบได้กับแสงอาทิตย์ยามเที่ยงแสนร้อนแรง
อาจารย์ติงลอบถอนหายใจในใจ โชคดีที่เลือกนาง มิเช่นนั้นสายตาร้อนแรงเช่นนี้คงไม่ได้เห็นแล้ว
“ท่านแม่! ซื่อเหนียงได้รับเลือกแล้ว!” เอ้อร์หลางกล่าวด้วยความตื่นเต้น
กลัวว่านางจะไม่รู้ ซานหลางจึงเสริมอีกประโยคว่า “ท่านแม่! ซื่อเหนียงได้รับเลือกแล้วนะขอรับ พวกเราสามารถไปสำนักศึกษาด้วยกันได้แล้ว!”
ฉินเหยามองดูรอยยิ้มแห่งความยินดีของเด็กๆ นางยกมือขึ้นลูบหน้าอกของตน ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา
“แง!” เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงดังขึ้นจากทางด้านหลัง หลิวจ้งรีบหันกลับไปอย่างเจ็บปวดใจ แล้วดึงบุตรสาวที่ไม่ได้รับเลือกเข้ามาหา ลูบใบหน้าเล็กๆ ของเด็กหญิงพลางปลอบโยน “ไม่เป็นไรๆ ปีหน้ายังมี ปีหน้าค่อยมาใหม่นะ”
ต้าหลางและฉินเหยาสบตากัน ต่างลอบคิดในใจว่าเกือบไปแล้ว!
………………..
MANGA DISCUSSION