ตอนที่ 125 ผลผลิตต่อหมู่ห้าร้อยจิน
หลิวจี้หายใจสะดุด มองเอ้อร์หลางด้วยความไม่อยากเชื่อ เด็กตัวเล็กแค่นี้กลับหาเงินกลับบ้านได้เป็นถุงใหญ่
สายเลือดของเขาหลิวจี้ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ!
“เอ้อร์หลาง” หลิวจี้ก้าวเท้าไปข้างหน้า ตบไหล่บุตรชายแรงๆ พลางกล่าวชื่นชม “เจ้าไม่เลวเลย พ่อเลี้ยงเจ้ามาไม่เสียเปล่าจริงๆ เก่งขึ้นแล้ว แถมยังรู้จักนำเงินกลับบ้านด้วย”
เมื่อเอ้อร์หลางได้ยินคำพูดนี้กลับไม่รู้สึกดีใจแม้แต่น้อย เขาขมวดคิ้ว สะบัดไหล่ให้มือใหญ่ที่วางอยู่บนไหล่หลุดออกพลางรวบเหรียญเข้าหาตนเองแล้วใช้ร่างทับลงไป พร้อมมองหลิวจี้อย่างระแวดระวัง อย่าคิดจะเอาเงินไปจากเขาได้แม้แต่เหวินเดียว!
หลิวจี้กระแอมเบาๆ อย่างกระอักกระอ่วน ลูบจมูกตัวเองด้วยความหงุดหงิด “เอ่อ ข้าจะไปทำอาหารเย็น”
ต้าหลางวางผลหยางเหมยลงแล้วพับแขนเสื้อขึ้น “ท่านน้า ข้าจะไปช่วยจะได้เร็วขึ้นหน่อย”
“ไปเถอะ” ฉินเหยาพยักหน้ายิ้มๆ เตือนหนุ่มน้อยว่า “ระวังหน่อย อย่าให้น้ำมันกระเด็นโดนเข้าล่ะ”
ต้าหลางพยักหน้า “รู้แล้ว” จากนั้นก็หมุนตัวเดินตามหลิวจี้เข้าไปในครัว
เหรียญอีแปะ全部交给她。
พอคนที่เกะกะสายตาออกไป เอ้อร์หลางถึงได้ลงจากโต๊ะ ตั้งใจจะมอบเงินที่หามาได้ทั้งหมดให้กับนาง
ฉินเหยาไม่ได้รับไว้ แต่ให้พวกเขาเก็บไว้เอง
เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็เป็นเงินที่พวกเขาหามาได้จากค่าขนม หากเก็บเล็กผสมน้อยไป อนาคตก็อาจกลายเป็นเงินก้อนโตได้
พอเห็นฉินเหยาไม่รับ เด็กน้อยทั้งสามก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
แต่ไม่นานก็ยุ่งง่วนอยู่กับการเตรียมทำน้ำหยางเหมยสำหรับพรุ่งนี้ พวกเขาต้องทำความสะอาดและคัดแยกผลที่เน่าออกไป
ขณะที่ต้าหลางกับหลิวจี้เตรียมอาหารเย็น เอ้อร์หลางก็พาน้องๆ มาคัดแยกผลหยางเหมยที่ชายคาโดยเลือกเฉพาะลูกที่ดีเก็บไว้แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดเตรียมไว้ใช้
จากนั้น เอ้อร์หลางก็วิ่งไปซื้อน้ำตาลกรวดจากพ่อค้าหาบเร่หลิวมาหนึ่งจินครึ่งในราคาสิบห้าเหวินต่อหนึ่งจิน รวมแล้วจ่ายไปยี่สิบสองเหวิน
หยางเหมยป่ากะละมังนี้สามารถต้มเป็นน้ำหยางเหมยได้สองไห คิดเป็นประมาณสี่สิบชาม
ซานหลางกับซื่อเหนียงช่วยกันใช้นิ้วมือและนิ้วเท้านับ แต่ก็ยังคำนวณไม่ออกว่า สองเหวินต่อหนึ่งชาม หากขายสี่สิบชามจะเป็นเงินเท่าไรกันแน่
เอ้อร์หลางกลอกตา คิดคำนวณอย่างรวดเร็ว สูตรคูณที่ฉินเหยาสอน เขาเป็นคนที่ท่องได้คล่องที่สุด เวลานี้จึงได้นำมาใช้จริงๆ แล้ว
“แปดสิบเหวิน ลบยี่สิบสองเหวิน พวกเราทำกำไรได้…ห้าสิบแปดเหวิน!” เอ้อร์หลางกล่าวอย่างตื่นเต้น
ซื่อเหนียงเอียงคอมองแล้วถามขึ้นว่า “พี่รอง ห้าสิบแปดเหวินเยอะหรือไม่”
“ซื้อชู่จวีได้สิบอัน” เอ้อร์หลางตอบ
สองพี่น้องฝาแฝดอุทานเสียงเบา ตาโตด้วยความตื่นเต้น เยอะจัง!
เอ้อร์หลางยักไหล่ “น่าเสียดาย ขายได้แค่ไม่กี่วันต่อปี ไม่เช่นนั้นคงทำเงินได้มากกว่านี้”
แต่เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ามากกว่านี้เล่า แฝดชายหญิงนึกภาพไม่ออก แต่ก็ไม่ส่งผลต่อความสุขในตอนนี้แม้แต่น้อย
อาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลิวจี้ยกขึ้นโต๊ะทีละจาน
เนื้อสามจินถูกนำไปผัดทั้งหมด ก่อนยกออกจากกระทะก็ราดน้ำปรุงรสเคลือบไว้ชั้นหนึ่ง เข้ากันได้ดีกับข้าวขาวเม็ดโต ยังมีน้ำแกงไข่หนึ่งถ้วยกับผักผัดรวมมิตรอีกหนึ่งจาน
มื้ออาหารที่มีทั้งสีสัน กลิ่นหอมและรสชาติครบถ้วนเช่นนี้ ห้าคนแม่ลูกไม่ได้กินมานานแล้ว พอหลิวจี้วางจานกับข้าวจานสุดท้ายลงก็ได้ยินแต่เสียงตะเกียบคีบอาหารดังเต็มโต๊ะ
ราวกับลมพายุพัดอาหารหายวับ พวกเขาทำท่าอดอยากราวกับหนีมาจากค่ายผู้ลี้ภัยอย่างนั้น หลิวจี้ตกใจก่อนจะรีบหยิบตะเกียบมาร่วมวงทันที
หากช้าไปกว่านี้ละก็ เขาคงไม่ได้กินเนื้อแน่ๆ!
ฉินเหยากินข้าวไปสี่ชาม ซดน้ำแกงไข่ไปอีกสองชามกว่าจะวางตะเกียบลงได้ นางลูบท้องตัวเองที่เริ่มตึง ก่อนหรี่ตาลง เพลิดเพลินกับรสชาติที่ยังติดปลายลิ้น
ทันทีที่ต้าหลางกับเอ้อร์หลางวางตะเกียบลงก็พุ่งตัวไปต้มหยางเหมยในครัว ในขณะที่ซานหลางกับซื่อเหนียงช่วยกันเก็บจาน แต่เนื่องจากตัวเล็ก มือก็เล็กจึงยกของใหญ่ไม่ไหว สุดท้ายก็เป็นหลิวจี้ที่เก็บกวาดจนเรียบร้อย
พอทำทุกอย่างเสร็จก็ดึกมากแล้ว ทั่วทั้งหมู่บ้านเงียบสงัด ไร้ซึ่งเสียงใดๆ
ทั้งครอบครัวง่วงงุนกันถ้วนหน้า ต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องนอน
ก่อนนอน ฉินเหยาบอกเด็กๆ ว่ามีขนมวางไว้ในตู้เตี้ยในห้องโถง อยากกินเมื่อไรก็หยิบเองได้
พี่น้องต้าหลางทั้งประหลาดใจและดีใจในคราวเดียวกัน ความรู้สึกที่ว่าในบ้านมีขนม และจะกินเมื่อไรก็ได้เช่นนี้ พวกเขาไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน
ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย แม้แต่เด็กในหมู่บ้านก็ยังไม่มีใครถูกพ่อแม่ตามใจเช่นนี้
หลิวจี้ที่อยู่ในห้องได้ยินก็ถึงกับชะงัก คิดว่าฉินเหยาคงมีเงินใช้จนเหลือเฟือถึงใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักประหยัดเช่นนี้
เด็กพวกนั้นจะรู้ถึงความยากลำบากในการหาเงินได้อย่างไร คอยดูเถอะ พี่น้องทั้งสี่คนนี้จะต้องกินขนมในบ้านจนหมดเกลี้ยงแน่ๆ
แต่เขาคิดผิดไปถนัด สิ่งที่จินตนาการไว้กลับไม่เกิดขึ้น ถึงจะไม่มีผู้ใหญ่คอยควบคุม พี่น้องทั้งสี่เองก็กินขนมไปไม่น้อย แต่ก็ยังเหลือขนมกว่าครึ่งในตู้ เก็บไว้กินอีกสองสามวันก็ไม่ใช่ปัญหา
ต้าหลางยังแบ่งขนมให้เขาสองชิ้นด้วย “ท่านพ่อ อันนี้อร่อย ท่านลองชิมดูสิ”
พูดจบก็หยิบขนมเม็ดบัวที่คัดมาอย่างดีสองชิ้นให้ซื่อเหนียงนำไปส่งให้แม่เลี้ยงของพวกตน
ฉินเหยาคาบขนมไว้ กินไปพลางเดินเข้าไปในหมู่บ้าน
นางไปหาผู้ใหญ่บ้านเพื่อเร่งสรุปสถานที่ก่อสร้างโรงงาน
เรื่องที่กังวลได้รับคำตอบกระจ่างแล้ว ไม่มีอะไรให้เป็นห่วงอีก ทำให้การเลือกสถานที่เสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็ว
ฉินเหยาเลือกพื้นที่รกร้างติดถนนแปลงหนึ่ง
ที่แห่งนี้ปกติแล้วไม่มีคน ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ บรรดาหญิงชาวบ้านจะมาเก็บผักป่า ดินที่นี่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์นัก อีกทั้งยังเป็นที่ดินสาธารณะของตระกูล เมื่อฉินเหยาขอเช่า ทุกคนจึงไม่คัดค้าน
ค่าเช่าก็ไม่แพง ปีละแปดร้อยเหวินเท่านั้น
ฉินเหยารู้ดีว่าคนในหมู่บ้านให้เกียรตินางจึงคิดค่าเช่าถูกเช่นนี้
และเมื่อโรงงานกังหันน้ำของนางก่อตั้งขึ้น ทุกคนในหมู่บ้านตระกูลหลิวก็จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทน
เมื่อเลือกสถานที่เสร็จแล้ว วันเดียวกันก็จัดการเอกสารที่เกี่ยวข้องให้เรียบร้อย โดยมีเหล่าผู้อาวุโสในหมู่บ้านเป็นพยาน
เมื่อได้สัญญาเช่ามาก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับแผนการต่อไป
ฉินเหยาวางใจลงและเริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยวที่สำคัญที่สุดของปี
ตั้งแต่ต้นเดือนก่อนนี้ ชาวบ้านก็จับตามองที่ดินสิบหมู่นั้นของนาง
รวงข้าวที่หนักอึ้งอิ่มเต็มทำให้ใครเห็นก็อดอิจฉาไม่ได้
ตอนนี้ในที่สุดก็จะได้ตัวเลขที่แน่นอนแล้ว กล่าวได้ว่าทุกคนในหมู่บ้านล้วนตั้งตารอคอย
จากประสบการณ์เก็บเกี่ยวข้าวสาลีในเดือนสอง ครั้งนี้ฉินเหยาและหลิวจี้กลับไม่ได้รู้สึกลำบากเท่าใดนัก
สิ่งสำคัญคือ เมื่อเห็นเมล็ดข้าวสีทองในถังไม้ ความสุขจากการเก็บเกี่ยวก็กลบความเหนื่อยล้าไปทั้งหมด
ฉินเหยามีแรงมาก นางเป็นผู้ฟาดข้าว ส่วนหลิวจี้รับหน้าที่เกี่ยว
เด็กทั้งสี่ในบ้านก็ไม่ได้ว่าง พวกเขาขายน้ำหยางเหมยเพียงสองวันก็ทำเงินได้หนึ่งร้อยเหวินแล้ว
จากนั้นก็ตามหลังพ่อแม่ เด็กโตช่วยขนฟ่อนข้าว ส่วนเด็กเล็กถือถุงผ้าเล็กๆ ช่วยเก็บเมล็ดข้าวที่ร่วง
เมล็ดข้าวทุกเมล็ดล้วนไม่อาจปล่อยทิ้งให้เสียเปล่า
เมื่อเก็บเกี่ยวหมู่แรกเสร็จ ชาวบ้านก็รีบมาล้อมดูหลิวกงชั่งน้ำหนักเมล็ดข้าวให้ครอบครัวฉินเหยา
“ห้าร้อยจิน!” หลิวกงกล่าวอย่างตื่นเต้น
เพียงสามคำสั้นๆ กลับสร้างคลื่นความตื่นตะลึงในหมู่ชาวบ้าน
หมู่ละห้าร้อยจิน นี่หมายความว่าอย่างไร
โดยทั่วไปแล้ว ที่นาที่ดีที่สุดที่ได้รับการดูแลอย่างดี จะให้ผลผลิตไม่เกินสี่ร้อยห้าสิบจินต่อปี
แต่สภาพที่ดินของฉินเหยาพวกชาวบ้านต่างรู้ดี โดยปกตินางแค่รดน้ำ กำจัดวัชพืช หลังจากหว่านเมล็ดแล้วก็ไม่เคยใส่ปุ๋ย เป็นการเพาะปลูกแบบกึ่งปล่อยตามธรรมชาติ
แต่ในสภาพเช่นนี้กลับได้ผลผลิตหมู่ละห้าร้อยจิน จะไม่ให้ตกตะลึงได้อย่างไร
หลิวกงยิ้มกว้างจนปากแทบปิดไม่สนิท ในฐานะเจ้าของที่ดินปล่อยเช่า ยิ่งผู้เช่ามีผลผลิตมากเท่าไร พวกเขาก็จะได้ค่าเช่ามากขึ้นเท่านั้น จะไม่ให้ยินดีได้อย่างไร
MANGA DISCUSSION