บทที่ 103 แจ้งความ
เหอม่านชิงกับหวงมี่มี่ที่กำลังสาละวนกับการนับข้าวของที่ขโมยมาถึงกับชะงัก เพราะคงไม่คิดว่าจะเจอน่าตกใจแบบนี้!
แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น เพราะไม่ใช่แค่แม่ลูกคู่นี้เท่านั้นที่อยู่ตรงนั้น คนตระกูลหวงทั้งครัว ยกเว้นหวงหมิงเจ๋อกับหลินเซียวอี้ที่ไม่รู้หายหัวไปไหน
สายตาอันเฉียบคมของหลี่เฟยฮวา พลันเหลือบไปเห็นนมผงวางโดดเดี่ยวอยู่บนโต๊ะ ทำให้มีบรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปทั่วห้อง
“ใครขโมยมา?” เสียงเย็นยะเยียบของเธอดังขึ้น ทำลายความเงียบจนน่าอึดอัด
สายตาเย็นชาของหลี่เฟยฮวา ตวัดมองไปยังคนตระกูลหวงที่แข็งทื่อราวกับโดนสาปเป็นหิน เธอหรี่ตามองเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“อ้าว เป็นอะไรกันไปหมด พูดไม่ออกกันแล้วเหรอ? งั้นเรามาคุยกันเรื่องของหวงหมิงลู่กันก่อนดีไหม”
พูดจบหลี่เฟยฮวาก็ลากเก้าอี้ไม้ในลานบ้านมานั่งอย่างสบายอารมณ์ แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “เมื่อกี้ฉันได้ยินพวกคุณบอกว่า หวงหมิงลู่ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ งั้นบอกฉันมาซิ ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาเป็นใครกัน?”
เหอม่านชิงถึงกับอ้าปากค้าง ใช้เวลาตั้งสติอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดตะกุกตะกักอย่างยากลำบาก “เธ…เธอพูดอะไร ฉันไม่…ไม่เข้าใจ!”
หลี่เฟยฮวายิ้มมุมปาก พลางมองไปที่หวงหมิงลู่พร้อมกับพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าพวกคุณไม่เข้าใจ หวงหมิงลู่ เราไปแจ้งตำรวจกันดีไหม?”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับทันที “ตกลง ฉันจะไปแจ้งความที่อำเภอเดี๋ยวนี้”
การเดินทางไปกลับอำเภอนั้นแสนสะดวก ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว ซึ่งต่างจากในเมืองลิบลับ
หลี่เฟยฮวาพยักหน้าเบา ๆ “งั้นก็ดีเลยสิ หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้ ใคร ๆ ก็เถียงไม่ออกหรอกนะ รู้ไหมว่าขโมยของเกินห้าร้อยหยวนเนี่ยเข้าทุกไปกี่ปี?” เธอแกล้งทำเป็นครุ่นคิด
หวงมี่มี่หน้าซีดเผือดรีบโพล่งออกไปทันที “ฉันไม่ได้ขโมยนะ! ของพวกนี้เป็นของที่บ้านทั้งนั้น!”
หลี่เฟยฮวายังคงทำหน้านิ่งเฉย พยักหน้าหงึกหงัก “อ้อ…เข้าใจแล้ว เป็นของเธอนี่เอง”
หวงมี่มี่หน้าซีดเผือก เถียงคอเป็นเอ็น “ฉันไม่ได้ทำนะ!”
หลี่เฟยฮวาไม่สนใจคำแก้ตัว พูดสั้น ๆ กับหวงหมิงลู่ว่า “คุณไปแจ้งความเถอะ”
เขาไม่รอช้า หมุนตัวเดินออกไปทันทีเหมือนกับรอจังหวะนี้อยู่แล้ว
หวงชิงหยูเห็นท่าไม่ดี รีบปรี่ไปปิดประตูบ้านดังโครม! หน้าตาตื่นตระหนก “หยุดนะ! นี่แกจะส่งน้องสาวตัวเองเข้าคุกหรือไง!”
หวงหมิงลู่ยักไหล่ “ก็เมื่อกี้พวกคุณพูดเองไม่ใช่เหรอ”
บรรยากาศรอบตัวเย็นเยียบลงฉับพลัน เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า
“ผมไม่ใช่คนของตระกูลหวงมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“แต่ฉันเลี้ยงดูแกมา 27 ปีแล้วนะ!” หวงชิงหยู ตะคอกเสียงดังอย่างเหลืออด ความโกรธแล่นริ้วบนใบหน้าของเขา “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราซื้อแกมา แกคงถูกขายไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้!”
หลี่เฟยฮวามองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แล้วยังจะหวังให้เขารู้สึกกตัญญูอีกหรือไง?”
แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงของหวงหมิงลู่ ก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำเอาคนฟังอึ้งไปเลย
“ผมดูแลหวงหมิงเจ๋อ มาตั้งแต่อายุแค่ 4 ขวบ ทั้งทำกับข้าว ตัดหญ้าให้หมูกินทุกวัน พอเรียนจบ ป.6 ผมก็ได้ที่ 1 พอครูใหญ่รู้ฐานะทางบ้านเลยยกเว้นค่าเทอมให้ 6 ปีเต็ม แทบจะไม่ได้ใช้เงินที่บ้านเลย”
“ช่วงปิดเทอมพ่อก็ส่งไปทำงานในเมือง พอเข้าเมืองผมก็ส่งเงินกลับบ้านทุกเดือน คิด ๆ ดูแล้ว ที่พ่อแม่เลี้ยงดูผมมาก็แค่ 4 ปีแรกเท่านั้นแหละ ผมถือว่าผมตอบแทนบุญคุณพ่อแม่จนหมดแล้ว”
หวงชิงหยูได้ยินดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก ไม่คิดว่าลูกชายจะจำเรื่องราวได้แม่นยำขนาดนี้!
ยังไม่ทันที่หวงชิงหยู จะหาคำพูดมาแก้ต่าง เขาก็พูดต่อทันที “เอาแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ดีแล้วล่ะที่ผมไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพวกคุณ!”
คำพูดนี้ทำเอาทุกคนช็อค แม้แต่หลี่เฟยฮวายังอดไม่ได้ที่จะหันขวับไปมองหวงหมิงลู่ทันที
“แกพูดว่าอะไรนะ!?” หวงชิงหยู โมโหจนหน้าแดงก่ำ เหมือนโดนตบหน้ากลางสี่แยก
“แกหมายความว่ายังไง!”
หวงหมิงลู่เบือนหน้าหนี ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม แต่สายตากลับจ้องเขม็งไปที่เงินในมือของหวงมี่มี่ พร้อมกับพูดเสียงเย็นเยียบ
“หวงมี่มี่ คืนเงินมาเดี๋ยวนี้”
หวงมี่มี่สะดุ้ง รีบหดมือโดยสัญชาตญาณ ใบหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่อยากคืนเงินให้แม้แต่น้อย
หลี่เฟยฮวามองเหตุการณ์ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “หวงมี่มี่ เธอรู้รึเปล่าว่าเดี๋ยวนี้สถานีตำรวจเค้ามีเทคโนโลยี ที่เรียกว่า DNA ด้วยนะ”
หวงมี่มี่หันขวับไปมองหลี่เฟยฮวาด้วยสีหน้างุนงง ก่อนจะถามอย่างตะกุกตะกักว่า ” อะ… อะไรนะ A อะไรนะ”
หลี่เฟยฮวายิ้มมุมปากเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกวน ๆ ว่า
“รู้จักเทคโนโลยีเปรียบเทียบลายนิ้วมือมั้ยล่ะ? บนธนบัตรมันมีลายนิ้วมือนะ เหมือนที่เธอเพิ่งขโมยเงินฉันไปนี่ไง ต่อไปตำรวจเขาก็ใช้เทคโนโลยีนี้จับโจรขโมยเงินอย่างเธอยังไงล่ะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ซีดเผือดลงทันตา เห็นได้ชัดว่ากำลังหวั่นใจ ก่อนจะพูดเสียงตะกุกตะกักราวกับคนทำอะไรไม่ถูกว่า
“มะ… ไม่จริงหรอก ไม่มีทาง!”
“เชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของเธอ แต่ถ้าตำรวจมาเดี๋ยวก็รู้เองแหละ ว่าบนธนบัตรจะมีลายนิ้วมือฉันกับเธอหรือเปล่า?” หลี่เฟยฮวาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจสุด ๆ จนแม้แต่หวงหมิงลู่ที่ยืนฟังอยู่ด้วยยังแอบเชื่อไปด้วยเลย
ฝ่ายหวงมี่มี่ได้แต่ยืนเม้มปากแน่น ราวกับตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
หลี่เฟยฮวาเห็นท่าทางแล้ว คงไม่ได้เงินคืนง่าย ๆ เลยหันไปสะกิดแขนสามีแล้วกระซิบบอกว่า “ไปกันเถอะ!”
หวงหมิงลู่พยักหน้าหงึกหงัก รีบเดินตามเธอออกจากบ้านตระกูลหวงไปทันที ทิ้งให้คนในบ้านยืนอึ้งตะลึงงันจนลืมขยับตัว
พอพ้นประตูบ้านมาแล้ว เขาก็หันมาถามเธอว่า “แล้ว…แล้วทีนี้เราจะไปไหนกันต่อล่ะ?”
หลี่เฟยฮวาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ฉันเคารพการตัดสินใจของคุณนะ ถ้าอยากแจ้งความ ฉันก็จะไปเป็นเพื่อน”
“แจ้งความเถอะ” หวงหมิงลู่ตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ถึงผมจะไม่รู้ว่าตัวเองถูกพ่อแม่ทิ้งหรือเปล่า แต่ถ้าผมถูกลักพาตัวมาจริง ๆ แล้วพ่อแม่ที่แท้จริงยังตามหาผมอยู่ก็คงจะได้เจอกัน แต่ถ้าฉันเลือกเงียบก็เท่ากับทรยศทั้งพ่อแม่และตัวเอง”
หลี่เฟยฮวาเข้าใจดีว่าการตัดสินใจแบบนี้มันยากแค่ไหน โดยเฉพาะกับเด็กตัวเล็ก ๆ
อย่างกรณีของหวงหมิงลู่นี่ถือว่ายังโชคดี เพราะก่อนหวงหมิงเจ๋อจะเกิด เหอม่านชิงก็รักและเลี้ยงดูเขามาอย่างดี แต่พอมีลูกของตัวเอง ความรู้สึกที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนไป ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
แต่ลองนึกภาพครอบครัวที่ซื้อเด็กมาเลี้ยงแล้วรักเหมือนลูกแท้ ๆ สิ พอพ่อแม่ที่แท้จริงมาเจอ ด้านหนึ่งก็ผูกพันกับครอบครัวที่เลี้ยงดูมา อีกด้านก็สงสารพ่อแม่ที่แท้จริงที่ตามหา ความรู้สึกแบบนี้มันทรมานและสับสนสุดๆ
แต่สิ่งที่เราต้องไม่ลืมก็คือ ทั้งคนซื้อและคนขายล้วนทำผิดกฎหมายด้วยกันทั้งคู่!
หวงหมิงลู่พูดถูก เพราะถ้าปล่อยคนซื้อไปง่าย ๆ แบบนี้ เท่ากับทรยศต่อความรักและความยากลำบากของพ่อแม่ที่ตามหาลูกมาอย่างยาวนาน แถมยังเป็นการทำร้ายจิตใจตัวเองที่ถูกหลอกอีกต่างหาก
หลี่เฟยฮวาถอนหายใจยาว ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “งั้นฉันจะไปแจ้งความกับคุณ”
เธอเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีดำขลับทอประกายระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า “หวงหมิงลู่ ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณตรงนี้เสมอ”
สองหนุ่มสาวเดินทางถึงอำเภอ ก็มุ่งหน้าไปยังสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที
เรื่องที่เกิดขึ้นทำเอาตำรวจถึงกับอ้าปากค้างกันไปหมด
พวกเขาไม่เคยพบเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ลูกบุญธรรมมาแจ้งความพ่อแม่บุญธรรมตัวเองเนี่ยนะ?
ในพื้นที่ชนบทอันแสนห่างไกลแบบนี้ มันช่างไม่ธรรมดาเอาเสียเลย…
MANGA DISCUSSION