ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 100 พันธสัญญา
บทที่ 100 พันธสัญญา
ท่านประมุขมู่ที่ใส่หมวกปิดบังใบหน้ากำลังยืนเอามือไขว้หลัง รอมาแล้วอยู่พักหนึ่งที่หน้าสำนักงานลัทธิเนี่ยฝาน เวลานี้พระอาทิตย์ยังไม่ตรงหัว ชัดเจนว่ายังเช้ามาก
‘พี่จี้มีเรื่องอะไรกันนะ’
เรื่องโรงทานมีปัญหาหรือเปล่า ไม่นี่ คะแนนความดีก็เพิ่มปกติดีนะ
สารพัดเรื่องราวในหัวของเด็กหนุ่ม ทว่าจนแล้วจนรอดฟางมู่ก็ไม่สามารถคาดเดาเหตุผลที่แท้จริงของรุ่นพี่ผู้ข้ามมิติได้เลยสักนิด
‘จะคิดมากไปทำไม เดี๋ยวก็เจอเจ้าตัวแล้วนี่นา’
นั่นสิ อีกฝ่ายเรียกเขามาหาแต่เช้า เขาก็มาแล้วนี่ไง อีกประเดี๋ยวก็คงรู้ความ ชัดเจนว่าไม่สมควรคิดมาก
ถึงแม้ในใจจะบอกเช่นนี้ ทว่าลึกๆ ในลางสังหรณ์กลับมีอะไรมากกว่านั้น
ใจสั่นแปลกๆ แหะ
“คุณชาย เชิญขอรับ”
“อื้ม”
ยังคงเป็นสาวกชายวัยกลางคนที่คุ้นหน้า ฟางมู่กะว่าวันหลังจะถามชื่อเขาสักหน่อย ไหนๆ ก็เจอกันบ่อยแล้ว สมควรทักทายบ้างก็ดีนะ
เดินนำหน้าพาคนข้ามมิติไปตามทางเดินเดิมๆ ที่เคยเข้ามารอบที่แล้ว จนกระทั่งออกมายังเรือนแยกขนาดเล็กซึ่งมีพื้นที่โล่งล้อมรอบ ครานี้กลับไม่มีผู้พิทักษ์ศรัทธาเฝ้าสี่ด้านอย่างครั้งที่แล้ว
สาวกชายวัยกลางคนเมื่อนำทางฟางมู่มาหยุดที่ประตูเลื่อนเสร็จ เจ้าตัวก็พลันเอ่ยออกมาขณะก้มหน้าราวกับมิต้องการจะสบตา
“อีกประเดี๋ยวเมื่อข้าจากไปแล้ว เชิญคุณชายเปิดประตูเข้าไปได้เลยนะขอรับ”
“อ่า…. อื้อ”
ฟางมู่รับคำเสร็จก็รอให้อีกฝ่ายจากไปก่อน เขายืนเกาหัวแกรกๆ เอ่อ เรือนก็อยู่แค่นี้ ข้าเองก็เปิดประตูได้แหละ
“พี่จี้ ข้ามาแล้ว”
ฟางมู่ตะโกนหวังว่าอีกฝ่ายจะขานรับ มิคาด กลับไม่มีเสียงตอบกลับเลยสักนิด
ก๊อกๆๆๆ
ฟางมู่เคาะประตู อะไรฟะ หรือพี่แกจะยังไม่ตื่น ทั้งเรียกก็แล้วอะไรก็แล้ว เรือนเล็กแค่นี้ ยังไงพี่แกก็ต้องได้ยินแหละน่า
“งั้นข้าเปิดเลยนะ?”
…….
ไร้การตอบสนอง ฟางมู่ลองคิดดู เอ จะว่าไปเมื่อกี้นี้สาวกคนนั้นก็บอกนี่นา ว่าให้ข้าเปิดประตูเข้าไปเลยน่ะ
โอเค ไม่เกรงใจแล้วนา
ครืดดดดดดด
เสียงประตูถูกเลื่อนดังครืดคราด ฟางมู่เคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งดังนั้นจึงพอจะจำสภาพด้านในได้บ้าง
ดังนั้นเลยตกใจยิ่ง
!!!!!!!
ครั้งที่แล้วที่เด็กหนุ่มมา ในห้องมีเพียงโต๊ะตัวหนึ่งเท่านั้นและพื้นที่โล่งๆ บวกกับเครื่องเรือนนิดหน่อย ทว่าครานี้… สิ่งเหล่านั้นในความทรงจำกลับไม่มีอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
กลายเป็นทางเดินยาวสายหนึ่ง
“หาาาา ??”
ฟางมู่เหงื่อหยดติ๋งๆ บ้าน้า นี่มันเรื่องอะไรกัน ที่นี่ควรจะมีห้องอยู่สิ ไฉนถึงกลายเป็นทางเดินไปได้
ซ้ำแล้วความยาวของทางเดินมันเกินขนาดของห้องที่มองมาจากภายนอกอีกนะ
ไม่ปล่อยให้อึ้งนาน ตอนนั้นนั่นเองที่ผู้พิทักษ์ศรัทธาคนหนึ่งปรากฏกายออกมาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“คุณชายมู่ เชิญ” เขาผายมือไปด้านหน้า ชัดเจนว่าให้เดินตรงไป
“เอ่อ… อือ”
ฟางมู่ถึงจะอึ้งแต่ก็พอจะทราบแล้วว่าประตูเมื่อครู่สมควรเป็น ‘วัตถุวิเศษ’ แบบหนึ่ง สามารถขยายขนาดห้องให้กว้างใหญ่ หรือไม่ก็อาจจะเป็นประตูมิติพาข้ามมาอีกสถานที่หนึ่ง
อื่ม สะดวกดีแหะ นี่ถ้าข้ามีบ้าง แบบนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาโดยสารเข้าเมืองเป็นชั่วโมงๆ เลยนะเนี่ย
ตึก ตึก ตึก…
เสียงฝีเท้าของฟางมู่ดังเป็นระยะตามฝีเท้าที่ก้าวเดิน เมื่อมาถึงจุดหนึ่งก็เริ่มมีหน้าต่างให้เห็น เผยวิวทัวทัศน์ด้านนอกเรือนในสถานที่นี้ ปรากฏว่าเป็นเรือนที่สามารถมองเห็นทั้งเมืองได้เลย
ที่นี่ไม่ใช่เมืองเหอเฉียนแน่ๆ การก่อสร้างดูเจริญกว่ามาก
“พี่ชายผู้พิทักษ์ ที่นี่คือเมืองอะไรหรือ?” เขาตัดสินใจถามคนนำทาง
“ฉางอัน”
!!!!
คำตอบของอีกฝ่ายทำเอาฟางมู่ตกใจไม่น้อย ฉางอัน? มันห่างไกลกับเมืองเหอเฉียนมากเลยนะ
แสดงว่าตะกี้ก็เป็นประตูมิติน่ะสิ
เดี๋ยวนะ… วัตถุวิเศษเมื่อกี้ระดับอะไรเนี่ย ระดับปฐพี หรือว่าจะเป็นระดับนภา? อืม ข้าต้องถามพี่จี้สักหน่อยแล้ว หากเป็นไปได้ข้าก็อยากมีสักอัน เชื่อว่าอะไรคงจะสะดวกสบายขึ้นมา
ถัดจากหน้าต่างก็เป็นห้องมากมายที่ด้านในมีคนทำงานอยู่
ทุกคนล้วนเป็นอิสตรี บ้างก็เขียนหนังสือ บ้างก็ดีดลูกคิด คาดว่าคงเป็นเจ้าพนักงานสักด้านของลัทธิเนี่ยฝานกระมัง
‘ก็นะ ลัทธิเองก็ต้องมีการบริหาร สตรีเหล่านี้คงจะเป็นพนักงาน’
อย่างที่ฟางมู่กล่าว ลัทธิเองก็มีเรื่องราวให้แก้ไขวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งลัทธิใหญ่โตก็ยิ่งมากความ ประเดี๋ยวอันนั้นเสีย ประเดี๋ยวอันนี้ต้องซื้อใหม่ ดังนั้นเลยต้องมีคนคอยทำงาน
ซึ่งก็ชัดเจนแล้วว่าสตรีเหล่านี้ทำหน้าที่ดังกล่าว
‘ได้กลิ่นระบบการทำงานแบบบริษัทแหะ พี่จี้นี่สุดยอดไปเลย’
ชัดเจนแล้วว่ารุ่นพี่ผู้ข้ามมิติคนนี้ใช้ข้อดีขององค์ความรู้จากชาติภพที่แล้วได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างแท้จริง
‘น่าสนใจนะ ข้าควรจะเอาเป็นแบบอย่างบ้าง’
ผู้พิทักษ์ศรัทธานำทางฟางมู่จนมาถึงห้องๆ หนึ่ง ดูจากการตกแต่งภายนอกก็รู้แล้วว่าที่นี่เป็นสถานที่สำคัญ พวกเขาหยุดอยู่หน้าห้องแล้วคนนำทางก็เคาะประตูก่อนจะเอ่ยอย่างนอบน้อมออกไป
“คุณชายมู่มาถึงแล้วขอรับ”
“เข้ามาเถอะ”
มีเสียงอันคุ้นเคยดังมาจากด้านใน ฟางมู่ไม่มั่นใจ แต่เหมือนจี้หลางเสินจะน้ำเสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
ประตูถูกเปิดขึ้นอีกครั้งเผยให้เห็นด้านในห้องกว้าง ฟางมู่เดินเข้าไปก็พบว่ายามนี้ตรงกลางมีโต๊ะอาหารซึ่งเต็มไปด้วยของกินน่ารับประทานมากมายนัก
มีทั้งคนที่ยืนอยู่และคนที่นั่ง ชัดเจนว่าคนที่นั่งล้วนฐานะสูงกว่าคนที่ยืน
ทว่าใบหน้าของคนที่นั่งกลับทำให้ฟางมู่ตกใจสุดขีด
แน่นอนว่าทั้งสามคนที่นั่ง ฟางมู่รู้จักทุกคน
เจ้าลัทธิเนี่ยฝาน จี้หลางเสิน
องค์ชายสามแห่งราชวงศ์ถัง หลี่หลงซ่าง
และ…
ผู้ใช้ระบบครอบครอง เตมูร์ซา
!!!!
ฟึบบบบ ฟางมู่พกไม้ตีสุนัขมาด้วยเขาชักมันออกมาทันที แน่ล่ะ ในฐานะประมุขพรรคขอทานไหนเลยไม่พกอาวุธสักหน่อย
“หึ”
เตมูร์ซาเห็นแล้วว่าฟางมู่รู้จักตน ไม่รอช้าเขาโยนน่องไก่ที่กินค้างเอาไว้ทิ้งไปด้านหลัง จากนั้นก็ดีดเท้าพุ่งทะยานเข้าหาฟางมู่อย่างเร็วรี่
ทั้งจี้หลางเสินและหลี่หลงซ่างต่างไม่มีใครขยับตัว
แม้กระทั่งผู้ติดตามของทั้งสองคนอย่างขันทีคนสนิทและผู้พิทักษ์ศรัทธาก็ไม่ขยับ
‘เกิดอะไรขึ้น’
ฟางมู่คิดในใจว่าผิดท่าแล้ว อีแบบนี้ชัดเจนว่าการเรียกเขามาพบแต่เช้าน่าจะเป็นกับดัก แต่ยังไม่ทันไตร่ตรองอะไรให้ดี เตมูร์ซาที่ฟางมู่จำได้ว่าโหดเหี้ยมเกินพรรณาก็มาปรากฏตรงหน้าเขาเสียแล้ว
ไม่ได้มาดี!
พลั่ก พลั่ก พลั่ก พลั่ก…. พลั่ก!!!
เสียงไม้ตีสุนัขหวดเข้าหาเตมูร์ซาจากสีทิศแปดทางกลายเป็นเงาไม้ไผ่เลือนลางมากกว่ายี่สิบไม้ครอบคลุมทั้งร่างของชาวมองโกล ภาพนี้ทำเอาองค์ชายสามดวงตาสว่างวาบ เห้ย สหายของพี่ใหญ่เหมือนจะพอมีฝีมือนี่นะ
“ว้าว~”
เตมูร์ซากลับผิวปากอย่างรื่นรมย์ เขาเอียงตัวหลบทุกไม้ที่ฟาดเข้ามาพร้อมกับเอามือข้างหนึ่งไขว้หลังเอาไว้ ส่วนอีกมือ… ก็ยกขึ้นมาปัดป้องไม้ตีสุนัขบ้างเป็นฟางครั้ง
!!!!
ฟางมู่เหงื่อแตกพลั่ก ให้ตายเหอะ ฟาดไปตั้งหลายไม้ยังเอาอีกฝ่ายไม่อยู่ ดังนั้นเจ้าตัวเลยรู้แล้วว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของเตมูร์ซา ฝีเท้าเด็กหนุ่มก้าวไปด้านหลัง ก่อนที่จะหยิบป้ายไม้ออกมาทั้งหมดสี่อัน
ป๊อง~
“หงหง!” เป็นภูตหงสู่ทั้งสี่ตนที่เดิมทีฟางมู่ทิ้งเอาไว้ให้เฝ้าเซียงคงในถ้ำบนภูเขาหลางนั่นเอง เพราะจี้หลางเสินบอกว่าให้ฟางมู่รีบมา ดังนั้นเขาเลยยังไม่ได้เอาเหล่าภูตกลับไปส่งที่โรงเรือนสกุลฟาง
“ถ่วงเวลาให้ที!”
หนี! นี่คือคำเดียวที่ปรากฏในหัวของฟางมู่ เพียงปะทะกันระยะสั้นๆ ขนาดเขาใช้ไม้ และอีกฝ่ายใช้มือ การปะทะสั้นๆ กลับทำให้มือเขาชาไปหมด ร่างกายของอีกฝ่ายแข็งกร้าวจนทำฟางมู่กลัว
“โว้วววว แม้กระทั่งภูตเจ้าก็มีด้วยรึ?”
เตมูร์ซาหัวเราะหยัน เขาพุ่งเข้าหาเหล่าภูตมันเทศแล้วยิ้มกว้าง ก่อนที่จะเคลื่อนตัวหลบพวกภูตหงสู่ได้อย่างคล่องแคล่ว ถ่วงเวลาเหรอ เอ่อ… ทำได้แค่ให้อีกฝ่ายต้องวิ่งอ้อมเล็ดรอดเท่านั้น ประมานสามสี่วินาทีเอง
“ไอ้เวรเอ้ย”
สี่วินาทีก็มากพอแล้วสำหรับที่เด็กหนุ่มจะล้วงเข้าไปในอกเสื้อ มันมีโอสถโคถึกที่ฟางมู่ซื้อมาตุนเอาไว้เพื่อต้องใช้ เขาคิดว่าหากกินพวกนี้เข้าไปก็คงจะมีแรงต่อกรกับอีกฝ่ายมากขึ้น
มิคาด
หมับ! ก่อนที่เขาจะหยิบออกมาฝ่ามือหยาบหนาของเตมูร์ซาก็จับเข้าที่ข้อมือของฟางมู่แล้วออกแรงบีบจนเด็กหนุ่มกระดูกแทบร้าว
ใบหน้าหล่อเหลาต่างเชื้อชาติแสยะยิ้มกว้าง
“จับได้แล้ว~” เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงคลุ้มคลั่ง
ซูมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
รัศมีกดดันบางอย่างถาโถมเข้าใส่ฟางมู่จนตัวเขาสั่นสะท้านไปหมด ราวกับเรี่ยวแรงหายไปไม่เหลือ พลังใจหดหายราวกับแค่จะยืนให้ตัวตรงต่อหน้าอีกฝ่ายยังเป็นเรื่องยาก
ฟางมู่เอ่ยออกมาโดยไม่อยากจะเชื่อ
“ระ-รัศมีราชันย์?” ความรู้สึกนี้ชัดเจนมาก มันคล้ายกับที่หลี่เจียงถานแผ่กระจายออกมาในถ้ำบนภูเขาหลางไม่มีผิด
“โฮ่” เตมูร์ซาเบิกตากว้าง “ยังมีรัศมีแบบอื่นนอกจากรัศมีเข่นฆ่าของข้าอีกหรือ? รัศมีราชันย์ อืม ชื่อดูอหังการดี”
ฟางมู่เหงื่อแตกพลั่ก ไม่ใช้รัศมีเดียวกัน แต่ก็ชัดเจนว่า… คล้ายๆ กัน
มาถึงตอนนี้จี้หลางเสินก็ถอนหายใจ
“เตมูร์ซา สมควรพอได้แล้วกระมัง”
พอ? สมควรพอ? ฟางมู่งงไปหมด
“ก็ได้ ก็ได้ แหม ไม่สนุกเลย” วูบ รัศมีเข่นฆ่าหายไปจนหมด ชาวมองโกลหนุ่มปล่อยมือฟางมู่แล้วเดินสบายๆ กลับไป
“หงหง หงหง หงหง”
เหล่าภูตทันเทศทั้งสี่ตนวิ่งเข้ามาหาฟางมู่ เอาลำตัวอ้วนกลมของพวกมันสร้างเป็นกำแพงบังเจ้านายของพวกมันเอาไว้ หนอย ไอ้หนุ่ม เอ็งมาจับมือเจ้านายพวกเรา แน่จริงก็เข้ามาอีกสิ เข้าจะเอารากมันเทศยัดก้นเจ้าเอง
ฟางมู่เหงื่อแตกพลั่ก จะว่าไงดี เมื่อกี้ในความรู้สึกของเขานั้นเหมือนว่าเพิ่งจะ… ไปเยือนประตูยมโลกมา
ไม่มีครั้งไหนอีกแล้วที่จะเข้าใกล้ความตายขนาดนี้มาก่อน
แค่เพียงเตมูร์ซาลงมืออีกที เมื่อกี้เขาคงตายไปแล้ว
‘บ้าน่า… ทำไมฝีมือต่างกันขนาดนี้’
ฟางมู่อุส่าห์ใช้คะแนนมากมายไปกับการเพิ่มศักยภาพของตนเอง แต่ไม่คิดจริงๆ ว่าไฉนตนถึงพ่ายแพ้ง่ายได้ขนาดนี้
จี้หลางเสินถอนหายใจ เขาลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาฟางมู่ผู้กำลังสั่นกลัว
“ไม่เป็นอะไรนะ?”
เสียงอบอุ่นเอ่ยออกมา จากนั้นก็ประคองเด็กหนุ่มรุ่นน้องขึ้นแล้วเดินไปยังโต๊ะอาหาร
ชัดเจนว่าฟางมู่ไม่ต้องการ เขากลัวมาก กลัวสุดๆ แน่ล่ะ เตมูร์ซาคือคนที่เขาเห็นในภาพนิมิตบอกว่าต้องการชีวิตของพวกเขาผู้้ระบบนี่นา
“พี่จี้ นี่มันอะไร?”
เป็นปกติที่เด็กหนุ่มจะถามออกไปด้วยความสงสัย ไม่ใช่คนตรงหน้าคือศัตรูหรอกหรือ ไฉนพวกท่านถึงนั่งรับประทานอาหารกันได้อย่างสนิทสนมเช่นนี้
“ฟางมู่ ไม่ต้องตกใจไปหรอก เจ้าสู้เขาไม่ได้ก็ไม่แปลกอะไรเลย… พวกข้าก็แพ้กันมาหมดแล้ว”
ชัดเจนแล้วว่าการต่อสู้ที่ทั้งจี้หลางเสินและองค์ชายสามร่วมมือกันเต็มที่แพ้เพราะอะไร นั่นก็เพราะว่ารัศมีเข่นฆ่าของเตมูร์ซาร้ายกาจเกินไป ต่อให้ขนจอมยุทธกำลังภายในขั้นนภาไปสู้ แต่เมื่ออยู่ในอาณาเขตของรัศมีเข่นฆ่า พลังพวกเขาก็เหลือแค่… ระดับปฐพีเท่านั้น
ไม่ต้องบอกก็รู้ได้เลย ว่าทุกคะแนนที่เตมูร์ซาได้มาล้วนเอาไปลงกับเรื่อง ‘ต่อสู้’ ทั้งสิ้น
ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เมื่อเกิดในชนเผ่าเร่ร่อนที่หากไม่แข็งแกร่งก็ต้องตาย ดังนั้นหากจะให้ความสำคัญด้านการเข่นฆ่ามากกว่าด้านโอสถหรือสร้างลัทธิ
ราวกับเตมูร์ซาเกิดมาเพื่อครอบครองพลังสังหารอย่างไรอย่างนั้น
หากฟางมู่ใช้แว่นตรวจสอบกับเตมูร์ซาเพื่อขอดูทักษะการฆ่าของอีกฝ่ายล่ะก็ น่ากลัวว่าฟางมู่อาจจะตกใจเสียจนสิ้นสติ นั่นก็เพราะว่าทักษะการเข่นฆ่าของเตมูร์ซามีมากมายหลากหลายเกินไปโดยแท้จริง
เจ้าลัทธิหนุ่มถอนหายใจ หน้าเหวอๆ ของฟางมู่บ่งบอกชัดเจนว่าไม่เข้าใจ ดังนั้นจี้หลางเสินจึงอธิบายต่อ
“รัศมีเข่นฆ่าคือวัตถุวิเศษที่จะทำให้ความสามารถในการเข่นฆ่าของศัตรูรอบตัวสิบเมตรลดลงครึ่งหนึ่ง กล่าวคือความสามารถในการสู้ของเจ้าจะลดลงไปครึ่งนึง…. ใช่แล้ว พวกเราก็แพ้เพราะเหตุนี้แหละ”
ดูสีหน้าจนใจของรุ่นพี่ผู้ข้ามมิติแล้วฟางมู่ก็ใจหาย
พวกเราก็แพ้เพราะสิ่งนี้?
หรือว่า… ทุกคนในห้องแพ้ให้กับเตมูร์ซาแล้ว ? …ใช่ คิดว่าเป็นแบบนั้นแน่ๆ
“แหม ต่อให้ไม่ใช่รัศมีเข่นฆ่า พวกเจ้าก็สู้ข้าตรงๆ ลำบากน่า อย่าคิดมากสิ” เตมูร์ซาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน
สีหน้าของจี้หลางเสินบอกเป็นัยๆ ว่าที่เขากล่าวมาเป็นเรื่องจริง
“เสี่ยวมู่ เจ้าไม่ต้องกังวล เขาไม่ได้ต้องการชีวิตของพวกเรา”
ฟางมู่งงงัน อ่าว ใช่เหรอ?
“ก็ตามนั้นแหละ” เตมูร์ซาเริ่มดื่มสุรา “ข้าไม่ได้ต้องการชีวิตคนบ้านเดียวกันหรอก” เขาเริ่มกินอาหารต่อ “แม่งเอ้ย ของกินโคตรอร่อย เทียบกับอาหารที่ทุ่งหญ้าแล้ว ของกินพวกนั้นแม่งขยะชัดๆ”
จี้หลางเสินถอนหายใจ จากนั้นก็เทน้ำชาให้เด็กหนุ่มดื่มแก้ตกใจ
ฟางมู่ยังไม่ทันดื่มก็หันไปมององค์ชายสาม
“ไฉนท่านมาอยู่ที่นี่ พี่หลี่ล่ะ พี่หลี่เป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่หลงซ่างแค่นเสียง
“ไม่ถามถึงพ่อเจ้าก่อนรึไง บิดาเจ้าก็อยู่กองทัพเดียวกับเจ้าเจี๋ยหลี่นะ”
ฟางมู่เบิกตากว้าง “ท่านพ่อของข้าน่ะหรือ?… แล้วตกลงพี่หลี่กับท่านพ่อเป็นไงบ้าง”
องค์ชายสามเบ้ปาก ขนาดบอกไปแล้วนะว่าพ่อของเขาก็อยู่ด้วย ตอนเอ่ยปากถามก็ยังอุส่าห์เอาชื่อเจี๋ยหลี่นำหน้าอยู่ดี
“ทั้งคู่ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง สำหรับเจ้าแล้วเร็วๆ นี้คงจะมีข่าวดีล่ะมั้ง” เขาเบะปาก
เห็นได้ชัดว่าต่อให้หลี่หลงซ่างจะมิได้อยู่ที่นอกด่านแล้ว แต่ก็ยังเกาะติดสถานการณ์การรบของที่นั่นอยู่เสมอ ดังนั้นเลยทราบเรื่องที่เจี๋ยหลี่กำลังจะกลับมารับตำแหน่งที่ฉางอัน
ข่าวดี? ข่าวดีอะไรหว่า ฟางมู่งงไปชั่วขณะ
“เรื่องอื่นไว้เอ่ยคราวหลังเถอะ” จี้หลางเสินส่ายหน้า “ที่พวกเราเรียกเจ้ามา จริงๆ แล้วก็มีเรื่องสำคัญ…”
พวกเรา?
ฟางมู่รู้ได้ในทันทีจากคำแทนตัวของจี้หลางเสิน เขาใช้คำว่าพวกเรา ดังนั้นผู้ที่เรียกตัวฟางมู่มา ก็ย่อมรวมเตมูร์ซาคนนี้ด้วย!
นี่มันบ้าอะไรกัน
ทำไมพวกเขาถึงได้ดูเหมือน… เป็นพวกเดียวกันล่ะ
“พี่จี้ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” แววตาฟางมู่ดูไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด
เตมูร์ซาหัวเราะทัน เอาน่องไก่ชี้มาทางฟางมู่
“ข้าชอบเจ้าหนูนี่นะ หัวช้าดี”
อ่าว หลอกด่ากันนี่หว่า
หลี่หลงซ่างแย้ง
“เจ้าหนูบ้าอะไรกัน ไอ้หมอนี่อายุพอๆ กับข้า”
ผู้ใช้ระบบครอบครองส่ายหน้า “ข้าว่าระหว่างเจ้ากับเขาคงต้องมีใครสักคนกินนมน้อยสิท่า… ส่วนอีกคนก็กินนมเยอะไปหน่อย”
ฟางมู่คิ้วกระตุก เอ่อ ข้าเตี้ยกว่าองค์ชายสามแล้วมันหนักหัวใครฟะ
“พอได้แล้ว เข้าธุระเถอะ” จี้หลางเสินส่ายหน้าอย่างระอา
“ก็ได้ ก็ได้” เตมูร์ซาชี้กระดูกไก่มาทางผู้ใช้ระบบความดี “เจ้าชื่อฟางมู่สินะ”
“ใช่”
“ข้าเตมูร์ซา… ชื่อในชาตินี้ล่ะนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ฟางมู่ไม่ยินดีที่ได้รู้จักเลยสักนิด
“เอาล่ะ ข้าจะไม่อ้อมค้อมแล้ว ฟางมู่ จากนี้ไป… เจ้าต้องมาทำพันธสัญญากับข้า ถ้าเจ้าไม่ยอม ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งซะ” ทั้งแววตาและน้ำเสียงของเขาดูไม่เหมือนคนกำลังล้อเล่นเลยสักนิดเดียว