การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 442
บทที่ 442 – โรส เอลน่าและเอลเน่
เลทิเซียเงยหน้ามองเอลเน่ที่จับตัวเองเอาไว้ ทั้งสองคนมองหน้ากันเงียบๆ แต่ในตอนนั้นเองคนที่เงียบอยู่ตลอดอย่างโรสก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเอลน่า
เอลน่าเองก็เงยหน้ามองโรส..
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เอลน่า.. ตั้งแต่ที่เธอทิ้งฉันเอาไว้ก็หนีมาอยู่ที่นี่ต่อสินะ?”
ดวงตาของเลทิเซียจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเอลน่า มันไม่ใช่ดวงตาของความเกลียดชังหรือเคียดแค้น
แต่แตกต่างออกไป.. เหมือนจะเป็นมิตรก็ไม่ใช่จะเป็นศัตรูก็ไม่เชิง พอเห็นโรสยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้านี้ ก็อดคิดถึงวันเก่าๆ เธอก็พูดขึ้น
“อเล็ก.. ไม่สิ.. โรส มันดูประชดดีนะว่าไหมโรส ฉันตั้งใจมอบชื่ออเล็กให้เธอเพราะเธอเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด”
“ส่วนชื่อโรสฉันมอบให้ผลงานที่ผิดพลาดถึงแม้จะดูดีแต่ก็เป็นผลงานที่มีพิษร้าย เหมือนดอกกุหลาบที่ทั้งสวยงามและมีหนาม”
“แต่ดูตอนนี้สิ.. ตัวเธอเองก็กลายเป็นโรสเหมือนกันไปซะแล้ว..”
เอลน่ากล่าวพลางส่ายหน้า จะว่าเธอเป็นแม่ของโรสก็ถูก… แต่จะพูดให้ถูกคือเธอเป็นคนสร้างโรสขึ้นมากับมือ
ไม่ใช่การมีลูกหรืออะไรแบบนั้น แต่เป็นการปั้นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาเลย ทำให้โรสมีอัตลักษณ์บางอย่างที่พิเศษออกจากใครเพื่อน
นั่นคือ ‘จำทุกอย่างได้แน่นอน’ นี่คือความสมบูรณ์แบบของตัวโรส ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาหรือเจออะไรมาสมองของเธอก็จะจดจำข้อมูลไปเรื่อยๆ
ไม่มีทางลบเลือนสิ่งเก่าๆ เอลน่ามองว่าเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบ ส่วนอีกคนเธอก็เหมือนจะถูกเรียกว่าโรสเหมือนกัน
โรสที่ไม่สมบูรณ์แบบนั้นต่างจากโรสที่สมบูรณ์แบบ เพราะโรสที่ไม่สมบูรณ์แบบนั้นไม่มีอัตลักษณ์ใดที่พิเศษเลย
นอกจากความเป็น ‘อมตะ’ ความเป็นอมตะมองดูแล้วน่าพิศวงแต่มันกลับยังมีข้อผิดพลาดในข้อดังกล่าวคือ..
โรสที่ไม่สมบูรณ์แบบนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘อารมณ์ความรู้สึก’ สำหรับเป้าหมายเอลน่าในตอนนั้นที่อยากจะสร้างสิ่งมีชีวิต
แต่หากสิ่งมีชีวิตไม่รู้สักรู้สามันก็เป็นแค่ระบบบางอย่างเท่านั้นแหละ สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีความรู้สึกในแบบของมันเอง
แต่หากสิ่งที่เธอสร้างขึ้นไม่มีความรู้สึกมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการนั่นเอง.. แต่จะให้ทำลายทิ้งก็กระไร
เธอตัดสินใจทิ้งโรสที่ไม่สมบูรณ์แบบไปที่เกาะ.. หลังจากนั้นแผนการทดลองก็ถูกปิดตัวไป.. และแน่นอนทุกอย่างที่กล่าวไปคือ..
จากช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สองของโลกใบนี้ ซึ่งผ่านมาเกือบร้อยปีแล้วนั่นเอง.. พอได้ฟังคำพูดดูหมิ่นโรสที่ไม่สมบูรณ์
โรสก็ขมวดคิ้ว ยื่นมือเข้าไปจับคอเสื้อของเอลน่า..
“คนอย่างเธอไม่มีสิทธิ์เรียกยัยนั่นว่าโรสด้วยซ้ำ…..”
โรสดูเหมือนจะอารมณ์ขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เหมือนจะสงบลงแทบจะทันที.. เธอพูดต่อด้วยความสงบ
“สิ่งที่ฉันอยากจะถามมีอยู่ไม่กี่อย่าง.. ถ้าเธอเลี่ยงอีกครั้งต่อให้เป็นโลกนี้ที่เป็น ‘ปกของหนังสือ’ ฉันก็จะทำลายมันซะ!”
ดวงตาของโรสเผยแววจริงจัง ราวกับว่าเธอพูดจริงทำ จริง แน่นอนว่าคนธรรมดาหรือไม่ก็คงคิดแบบนั้นนั่นแหละ
แต่สำหรับเอลน่า เอลน่าที่เป็นคนสร้างโรสขึ้นมาเองกับมือ เปรียบดั่งลูกสาวของเธอ ทำไมเธอจะไม่เข้าใจลูกสาวตัวเองล่ะ?
เธอกล่าวตอบโรสด้วยสีหน้าสงบนิ่ง อันที่จริงตอนคุยกับโรส.. เอลน่าไม่เคยมองว่าโรสเป็นลูกตัวเองหรือครอบครัวตัวเองหรอก
แม้จะมีความรู้สึกสงสารปนความรู้สึกผิดอยู่บางๆ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับความรู้สึกที่เธอรู้สึกต่อเลทิเซียด้วยซ้ำ
“เธอคิดว่าตัวเองกล้าจริงๆ เหรอโรส? คิดว่าฉันที่เป็นคนสร้างเธอจะไม่เข้าใจเธอเหรอ?”
“หากปกหนังสือถูกทำลาย หนังสือเองก็จะพังตามไปด้วย นั่นหมายความว่าไง ทุกอย่างจะหายไป..”
“ฉันถามเธออีกครั้งโรส เธอกล้าทิ้งเพื่อนๆ ของเธอที่อุตส่าห์จมปลักรอน้องของฉันอยู่ห้าร้อยปี.. ไม่สิตั้งแต่เรื่องของริวตะแล้วล่ะ”
“เธอเองก็เป็นคนชัดจูงให้เขาสร้างโลกแบบนั้นขึ้นมาเพื่อให้มีเรื่องราวแบบนี้ เพื่อให้ได้เจอกับน้องของฉัน เพื่อจะฟื้นคืนชีพเพื่อนไม่ใช่หรือไง?”
“อะไรนะ ไอ้พาลาดินห้าคนของโรงเรียนทั้งห้านั่นน่ะ ทำสัญญากับเด็กที่ชื่อเวโรเน่ และรอวันที่น้องของฉันไปเกิดใหม่และไปอยู่ข้างน้องของฉัน”
“ใช้ประโยชน์จากเธอ.. แท่งเหล็กแท่งนั้นเธอไม่ได้ต้องการแลกกับมันเพราะเอาไปสร้างอาร์ติแฟ็คแต่เพราะเลทิเซียต้องจับของสิ่งนั้นพอเป็นแบบนั้นเธอก็ใช้ประโยชน์จากการที่เลทิเซียสัมผัสเพื่อไปชุบชีวิตพวกเพื่อนๆ ของเธอ..”
“โรส ฉันพูดอะไรผิดไหม?”
เอลน่าพูดราวกับเห็นทุกอย่างมากับตา เวโรเน่ที่เหมือนตัวเองจะหลุดเข้าไปในหัวข้อของการสนทนาด้วยเธอก็ตะลึงไม่น้อย
อันที่จริงตอนแรกเธอก็ตกใจพอสมควร คนที่เลทิเซียพามาดจอส่วนใหญ่เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันเยอะมากจริงๆ
ซึ่งแต่ละคนเคยอยู่โรงเรียนลิเบอร์ทั้งหมดเลย.. ซึ่งพอฟังแล้วเหมือนทุกคนต่างพยายามจะใช้ประโยชน์จากเลทิเซียนั่นเอง
ทุกสิ่งที่เอลน่ากล่าวมานั้นเป็นความจริงทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะการต่อรองของโรสหรืออะไร ทุกอย่างล้วนเป็นความจริง..
โรสที่ได้ยินแบบนั้น.. เธอก็ถอนหายใจออกมา
“ฉันเป็นผู้ส่งสาส์นนะ.. เธอไม่ควรจะเข้าใจความคิดฉันได้”
“ต่อให้เธอกลายเป็นแม่มดเทียม ฉันก็ยังเข้าใจเธอได้อยู่ดี”
โรสรู้สึกว่า ไม่ว่าจะแผนการ ความรู้ ความฉลาดที่เธอสั่งสมมาทุกอย่างล้วนไม่สามารถเทียบเคียงกับคนตรงหน้าได้เลย
“แต่ก็เอาเถอะ.. ฉันจะตอบให้ก็ได้”
สายตาของเอลน่าหันไปมองเอลเน่เล็กน้อย.. ดวงตาของเธอเผยแววซับซ้อนเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันรู้สึกผิดต่อเอลเน่.. ฉันอยากจะลองรู้สึกแบบเธอบ้างว่าความรู้สึกรักสิ่งมีชีวิตที่ตนสร้าง.. มันมีความรู้สึกยังไง”
“อีกเหตุผลคงเป็นเพราะคำสาป.. ฉันไม่ต้องการจะถอนคำสาปให้ก็จริง แต่ก็อยากจะลองสร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ในโลกที่ไม่มีวิญญาณแน่นอนแบบนี้”
“ฉันถึงได้สร้างพวกเธอสองคนขึ้นมา.. แต่ไม่ว่าจะทำยังไง.. ทำยังไงฉันก็ไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของเธอเลยสักนิด”
“เพราะท้ายที่สุดฉันก็ทำเรื่องโหดร้ายกับพวกเธอสองคน ปล่อยโรสไปอยู่กับพ่อแม่บุญธรรม..”
“ทิ้งโรสที่ไม่สมบูรณ์แบบไปที่เกาะร้าง เดี๋ยวสักวันเธอก็คงจมลงสู่ใต้ทะเลไปพร้อมกับเกาะ..”
“นั่นคือบาปของฉัน ทั้งที่เอลเน่ยังไม่เคยทำเลย.. ฉันน่ะไม่สามารถเข้าใจอะไรเอลเน่ได้เลย…”
เอลน่าแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาอย่างช่วยไม่ได้.. เอลเน่เองก็หันไปมองหน้าเอลน่า เธอรู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งโกหก
เอลเน่เธอสำนึกผิดแล้วจริง.. รู้ว่าตัวเองผิด เพียงแค่เธอไม่มีความกล้า.. ไม่มีความกล้า แม้การกระทำของเอลน่าในครั้งนั้น
จะทำให้เอลเน่ต้องตกระกำลำบากมาเยอะ ต้องประสบพบเจอความตายที่ไม่ดับสิ้นอยู่หลายหน.. แต่ถึงแบบนั้นแล้ว
สำหรับเอลเน่.. เอลน่าก็ยังเป็นเพื่อนคนสำคัญอยู่ดี หากเพื่อนยอมรับผิดเธอก็ไม่คิดจะโกรธเคืองอะไรอยู่แล้ว
เอลเน่.. เดินเข้าไปหาเอลน่า.. โรสที่ได้รับคำตอบก็ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ตรงนี้ต่อแล้วเธอจึงกล่าวขึ้น
“งั้นฉันขอตัวเลยแล้วกัน.. สิ่งที่ฉันอยากรู้ก็มีเพียงแค่นี้แหละ”
“ฉันรู้ว่าที่เธอมาที่นี่เพื่ออยากจะเจอโรสอีกคน.. เธออยู่ที่แล็บ ถึงฉันจะไม่บอกเธอก็คงรู้อยู่แล้วก็เถอะ”
“….ขอบใจ…คุณแม่..”
พูดเสร็จแล้วเธอก็จากไป เอลน่าที่ได้ยินโรสพูดแบบนั้นเธอก็ตะลึงเล็กน้อย
“มีสองอย่างที่ผิด ฉันไม่ใช่แม่เธอ.. แล้วก็ถ้าคิดว่าฉันเป็นแม่ก็ใช้ขอบคุณแทนขอบใจสิ”
เอลน่ากล่าว แต่ก็ไม่ทันแล้ว.. เอลน่าเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเอลเน่…
“เอลน่า..”
“เอลเน่..”
ทั้งสองคนเรียกชื่อกันและกันก่อนที่เอลเน่จะยกมือขึ้นแบมือยื่นออกไปข้างหน้า เอลน่าเองก็ตอบสนองแบมือและยื่นมาประกบกับมือเอลเน่
ทั้งสองคนค่อยๆ กำมือซึ่งกันและกันราวกับทุกอย่างได้ย้อนกลับไปยังยุคแรกเริ่ม.. ยุคที่ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
เอลเน่อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้…
“เอลเน่… ฉันขอโทษนะ”
“ไม่หรอก.. ที่ต้องขอโทษมันฉันต่างหากที่ไม่ใส่ใจเธอเลย”
“ไม่ใช่ ฉันต่างหากที่เห็นแก่ตัว”
“ฉันเองก็เห็นแก่ตัวเหมือนกันแหละ! เยอะกว่าเธอด้วย”
“ฉันต่างหากที่เยอะกว่า!”
“ไม่ ฉันเยอะกว่า!”
ทั้งคู่เถียงกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะเงียบลง.. พร้อมกับหัวเราะออกมาราวกับปลดเปลื้องภาระบางอย่างลงจากอกได้หนึ่งอย่าง แล้ว
เอลเน่หัวเราจนน้ำตาไหล เมื่อทั้งคู่หัวเราะเสร็จเอลเน่ก็เช็ดหางตาตัวเองพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเธอ.. จริงๆ นั่นแหละ เอลน่า..”